ธาราวดีรู้สึกว่าชลธีผิดปกติไป เธอจึงออกปากถามมุกดาว่ามันเกิดเรื่องอะไรขึ้น
“แม่ แม่อย่าเพิ่งร้อนใจไป หมอพูดว่าเป็นระยะการฟื้นฟู สมองของเขาได้รับการกระทบกระเทือนอย่างหนัก ดังนั้นจึงส่งกระทบไปยัง IQของเขาอยู่เล็กน้อย เขาจำพวกเราทั้งหมดไม่ได้ อีกอย่างเขาไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ” มุกดาดึงธาราวดีมาอีกฝั่งหนึ่ง เพื่อพูดกับเธอ
“อ้อ มิน่าล่ะแกเลยไม่ได้บอกกับพวกเราทันที เพราะกลัวว่าพวกเราจะเป็นห่วงงั้นสิ? แต่ไม่เป็นไรนะลูกสาว ใช่ว่าฉันกับพ่อของแกไม่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมา แกความจำเสื่อมไปตั้งหลายปี พวกเราก็ดูแลแกมาตลอด พวกเรามีประสบการณ์ เดี๋ยวแม่จะมาเยี่ยมบ่อยๆ ” ธาราวดีไม่ได้แปลกใจมากมายอะไร
ตอนหลังเธอมาได้ยินมาว่า อุบัติเหตุรถชนในครั้งนั้นมันน่าเศร้ามาก มีคนเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ การที่ชลธีฟื้นตัวกลับมาอยู่ในสภาพนี้ได้ถือว่าปาฏิหาริย์มาก เรื่องอื่นถือว่าไม่สำคัญแล้ว ขอแค่คนมีชีวิตรอดกลับมาได้ก็พอแล้ว
“คุณนีรชา ลำบากคุณจริงๆ เลย ให้ฉันย้ายเข้ามาไหมล่ะ ฉันจะได้คอยช่วยคุณดูแลอักลี่กับชลด้วย”
ธาราวดีอยากจะมาตั้งแต่แรกแล้ว ทว่ามุกดาก็ไม่อนุญาตมาตลอด ตอนนี้เธอเลยเอ่ยปากถามแบบนี้ออกมา
“ไม่ต้องเลย ฉันเองก็ไม่ได้ทำอะไร มุกต่างหากที่ทำงานหนักมาก แม่ธาราวดีเอง คุณก็มีเรื่องอีกมากมายเลย มาเยี่ยมได้ก็ถือว่าดีมากพอแล้ว ฉันขอบใจคุณมากนะ!” นีรชาดึงมือของธาราวดีเอาไว้ ทั้งสองคนต่างน้ำตาคลอเบ้าด้วยกันทั้งคู่
“แม่ ไม่ต้องเลย ฉันสามารถจัดการกับมันได้” มุกดาพูดกับธาราวดี
ธาราวดียังต้องดูแลยศัสวิน แม้ว่ายศัสวินจะผ่าตัดบริเวณช่วงหลังมาแล้ว ทว่าก็ฟื้นตัวได้ไม่ดีเท่าไหร่ บวกกับตอนที่มุกดาถูกคนหลอกไปนั้น เขาก็ไม่สนใจบริเวณด้านหลังของตนเองเลย และเดินทางไปอเมริกาไปหาหลักฐานความผิดกับฟิลลิป จนเกิดอาการเจ็บปวดบริเวณช่วงหลังเพิ่มขึ้นมาอีกหลายจุด
“พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงผมเลย ช่วงหลังของผมไม่ได้เป็นอะไรแล้ว หยกเธอมีประสบการณ์มากในการดูแลคนที่สูญเสียความทรงจำ มุกในตอนนั้น หยกเขาเป็นคนดูแลคนเดียวมาตั้งสองปี ผมที่อยู่ในประเทศก็ไม่ได้ช่วยอะไรมากเลย” ยศัสวินปวดใจกับลูกสาวของตนเอง เขาก็ทุ่มเทสุดกำลังเพื่ออยากให้ธาราวดีได้ช่วยเหลือลูกสาวเล็กๆ น้อยๆ
“ไม่ต้องช่วยจริงๆ ไม่ใช่ว่ายังมีฉันอยู่ทั้งคนเหรอ? ในทางกลับทุกวันฉันก็ไม่ได้ทำอะไรเลย” นีรชาพูดกับธาราวดี ฉันเข้าใจความหวังดีของแม่ธาราวดีนะ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกับในบ้านดองกันเธอก็รู้เรื่องดี
สุดท้ายธาราวดีก็ไม่ได้ดื้อรั้นกับนีรชาและมุกดาต่อ พอกินข้าวเที่ยงเสร็จก็กลับบ้านเลย
“คุณตา คุณยาย คุณน้าครับ สวัสดีครับ” ชลธีทำตัวเป็นเด็กที่มีมารยาทมากคนหนึ่ง เขายืนบอกลากับพวกของธาราวดีอยู่ตรงประตู
ธาราวดีก็โบกมือลา จังหวะที่เธอหันตัวกลับไป บนใบหน้าก็มีน้ำตาไหลลงมาทันที
“ที่รัก คุณพูดสิว่าทำไมลูกสาวของเราถึงได้มีโชคชะตาที่แสนลำบากอย่างนี้?” ธาราวดีพูดออกมาอย่างปวดใจ
“ไม่ใช่โชคชะตาที่แสนลำบากแต่นั่นเป็นวิบากกรรมในโชคชะตาของเธอเอง ในช่วงวัยรุ่นใครไม่เจอกับคนเลวบ้างล่ะ ตอนที่พวกเรายังเป็นวัยรุ่นก็ไม่ใช่เป็นแบบนี้เหมือนกันเหรอ? แต่พวกเราก็ผ่านพวกเขามาได้สำเร็จ ตอนนี้ก็ใช้ชีวิตอย่างดีมากไม่ใช่เหรอ?” ยศัสวินพูดปลอบใจธาราวดี
“พ่อ แม่ ผมมีสาวที่ชอบแล้วนะ รอสักพักผมจะพามาไปให้ดูนะ” ณฐวรไม่อยากให้บิดามารดาลำบากใจจนเกิดเหตุ จึงพูดเรื่องที่ทำให้พวกเขาสบายใจขึ้นมา
“จริงเหรอ? ณัฐแกมีแฟนแล้วเหรอ ลูกเต้าเหล่าใคร? แต่เรื่องนี้ก็ไม่สำคัญอะไร เป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ได้ขอแค่ตาณัฐเราชอบก็พอ พวกเราก็ชอบทั้งนั้นแหละ” ธาราวดีกับยศัสวินเป็นพ่อแม่ที่เปิดใจมาก
“ตอนนี้ผมขอไม่พูดนะ รอวันที่กลับไป พวกคุณก็ดูเอาเองนะ” ณฐวรเริ่มมีลูกเล่นขึ้นมาในเวลานี้
“ไอ้ตัวแสบ ไปเริ่มซนแบบนี้มาตั้งแต่ตอนไหน!” ธาราวดีพูดไปก็ตีไปที่หัวไหล่ของณฐวรหนึ่งที เพราะว่าตั้งแต่เด็กณฐวรเป็นเด็กที่เชื่อฟังมากคนหนึ่ง ไม่เคยซนแบบนี้มาก่อนเลย แต่วันนี้กลับไม่ยอมเปิดเผยว่าที่ลูกสะใภ้เสียนี่ ธาราวดีกับยศัสวินเริ่มสงสัยในตัวแฟนสาวของณฐวรเพิ่มมากขึ้น
“คุณเป็นภรรยาของผม เราต้องนอนด้วยกันใช่ไหม?” ชลธีถามมุกดา อยู่ทางด้านหลัง
“ทำไมคุณถึงพูดออกมาแบบนี้?” มุกดารู้สึกว่าเวลานี้ชลธีไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วทำไมเขาถึงรู้ว่าต้องนอนกับภรรยาของตัวเองด้วยล่ะ
“ในโทรทัศน์เป็นแบบนี้นี่ ผัวเมียเขานอนด้วยกัน คืนนี้ผมก็จะนอนกับคุณ คุณสวยจริงๆ นะ” แม้ว่าตอนนี้ IQ ของชลธีจะไม่แตกต่างจากอักลี่นัก แต่ร่างกายของเขาเป็นผู้ใหญ่อยู่ทนโท่ เมื่อดูโทรทัศน์แล้ว สามารถตอบสนองได้ดีกว่าอักลี่อยู่แล้ว
“ได้ค่ะ งั้นวันนี้คุณต้องเชื่อฟังนะ ฉันอนุญาตให้คุณนอนข้างๆ ฉันได้ อีกเดี๋ยวตอนกินข้าว คุณต้องใช้ตะเกียบกิน ใช้มือกินไม่ได้แล้วนะ” เพราะตอนนี้ชลธีใช้มือในการจับอาหาร เพราะเขาใช้ตะเกียบไม่เป็น
“ได้เลย! คุณช่างแสนดีจริงๆ เลย คุณภรรยา!” ชลธีเห็นว่ามุกดาอนุญาตให้คืนนี้ให้ตนเองไปนอนด้วยแล้ว จากนั้นก็เดินออกไปอย่างดีใจ และไปดูรูปภาพกับอักลี่ต่อ เพราะเขายังจำเป็นให้อักลี่คอยอธิบายความหมายให้เขาฟังอยู่
ช่วงเวลากินข้าว ชลธีใช้ตะเกียบกินอาหาร แม้ว่าบนศีรษะของเขาจะมีเม็ดเหงื่อผุดออกมาทั่ว แต่เขาก็ยังยืนหยัดต่อไป
“นี่ คุณใช้แบบนี้ได้นะ มันจะทำให้สบายขึ้นเยอะเลย คุณอย่าเพิ่งไปคีบไข่กับถั่วสิ คุณคีบพวกผักอะไรพวกนี้ก่อน” มุกดาใช้ความอดทนในการสอนชลธี
เธอมิอาจให้คนอื่นมาเห็นว่า IQ ของชลธีที่ใช้งานไม่ได้ บริษัทฮอนดากรุ๊ปยังต้องใช้หน้าตาของชลธีเพื่อแสดงต่อหน้าคนอื่น
“ได้” ชลธีตั้งใจฝึกมาก แต่ว่าเขาเป็นคนที่ฉลาดอยู่แล้ว เมื่อกินข้าวแล้ว เขาก็สามารถคีบเนื้อได้ แต่มือยังสั่นอยู่
“ไม่เป็นไรนะ วันนี้คุณเก่งมากแล้ว ต่อไปทุกวันต้องใช้ตะเกียบในการกินข้าว ฝึกเยอะๆ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง” มุกดาชื่นชมชลธี
“อื้อ งั้นวันนี้ผมไปนอนข้างๆ คุณได้แล้วใช่ไหม?” ชลธียังไม่ลืมเรื่องนี้ พอเขาถามตรงๆ มาแบบนี้ มุกดาถึงกลับหน้าแดงทันที นีรชากับนัทธ์ก็ทำทีแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน มุกดาเลยเดินจูงชลธีออกมาทันที
“จะนอนแต่หัวค่ำเลยเหรอ?” ชลธีถามกลับอย่างเซ่อซ่า
“นั่งให้ดีนะ เวลาคุณนั่งต้องหลังตรง ใช่แหละ แบบนั้นแหละ” มุกดาดึงชลธีเข้ามาในห้องนอน แล้วเธอก็ให้เขานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างจริงๆ จังๆ
“ไม่ใช่บอกว่าจะนอนแล้วไม่ใช่เหรอ? ผมง่วงนอนแล้วนะ!” ทุกวันนี้ชลธีต้องนอนเยอะๆ ซึ่งมันเชื่อมโยงกับอาการเลือดคั่งในสมองของเขา
“อย่าเพิ่งนอน กินยาก่อน” มุกดาหยิบยาที่อนุชิตให้ออกมา จากนั้นก็เทยาออกมาสองเม็ดและให้ชลธีกิน
“นี่คืออะไร?” เมื่อเห็นยาแคปซูลสีแดงๆ ชลธีก็ยื่นมือออกไปเอาเม็ดยามา
“กินเถอะ กินแล้วมันจะทำให้หล่อมาก ต้องกินวันละสองเม็ดทุกวัน รู้เรื่องไหมคะ?” มุกดาพูดหลอกล่อชลธี
“ได้เลย” ชลธีเชื่อฟังและจัดการกินยาทันที มุกดาเทน้ำให้เขาหนึ่งแก้ว และเขาก็ดื่มน้ำตาม
“คุณภรรยา ไอ้อันนี้มันไม่อร่อยเลย ผมไม่ชอบกิน” ชลธีมองมุกดาด้วยหน้าตาน่าสงสาร
“ต้องกินนะ กินอันนี้แล้วมันจะทำให้ดูดีมาก พอออกไปข้างนอกจะทำให้คนอื่นชอบคุณ” มุกดาพูดเกลี้ยกล่อมชลธีต่อไป
“อ้อ งั้นผมก็ต้องหน้าตาดีเหมือนกับคุณใช่ไหม?” ชลธียื่นมือออกมาดึง พละกำลังของเขาถือว่าเยอะมาก เผลอแวบเดียวก็ดึงมุกดาเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตนเองทันที