เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 70 ไปเที่ยวด้วยกัน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

วันถัดมา ไป๋มู่ชิงต้องกลับไปซื้อเสื้อที่ห้างสรรพสินค้าดังคืนทุกชุดตามคำสั่งของเขา ตอนเธอรูดบัตรชำระเงินสังเกตเห็นว่าบัตรใบที่หนานกงเฉินให้เธอมานั้นเป็นบัตรทองที่ไม่จำกัดวงเงิน

หนานกงเฉินให้บัตรเธอมาใช้ง่ายๆแบบนี้ ไม่กลัวว่าเธอจะเอาไปใช้อย่างอื่นเหรอ?

ดูแล้วผู้ชายคนนี้สายเปย์นะเนี่ย แต่ก็ไม่รู้ว่ากับผู้หญิงคนอื่นเขาจะใจกว้างแบบนี้เหมือนกันมั้ย อีกอย่างบัตรเสริมแบบนี้ก็ไม่รู้ให้ออกไปกี่ใบแล้ว

นั้นมันก็เป็นเงินของบ้านตระกูลหนานกง เขาจะให้ใครมันก็เรื่องของเขา เธอไม่มีสิทธ์ิเข้าไปยุ่งเกี่ยวอยู่แล้ว

หลังออกจากห้างสรรพสินค้าชื่อดัง เธอก็มาที่โรงพยาบาลด้วยความดีใจ เธอเอาบัตรเครดิตสีทองใบนั้นวางบนมือจ้างเฟยหยาง: “เฟยหยางไม่ต้องเครียดเรื่องค่าใช้จ่ายประจำวันของเด็กๆแล้วนะ ใช้บัตรนี้รูดได้เลย ไม่จำกัดวงเงิน”

จ้าวเฟยหยางมองใบหน้าที่เต็มไปด้วยความดีใจของเธอ แล้วก้มมองไปที่บัตรเครดิตสีทองในมือ ก่อนยิ้มให้เธอบางๆ “เขาให้เธอเหรอ?”

“ใช่แล้ว”

“เขาให้ไว้ทำอะไร?”

“ก็ให้ฉัน…..ไว้ใช้จ่ายไง” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างไม่ค่อยมั่นใจ ความจริงแล้วหนานกงเฉินก็ไม่ได้บอกว่าบัตรใบนี้ต้องคืนให้เขาเมื่อไหร่ แต่เธอเห็นว่าเป็นแค่บัตรเสริมใบหนึ่งหนานกงเฉินคงไม่คิดจะเอาคืนแล้ว เธอเลยเอามาให้จ้าวเฟยหยางไว้ใช้ยามฉุกเฉิน”

จ้าวเฟยหยางแทบไม่ได้คิดอะไรก็ยื่นบัตรคืนให้เธอ

“เอาไป…….” จ้าวเฟยหยางยังไม่ทันจะพูดว่า’เอาไปคืนเขาเถอะ’ ก็มีสาวสวยคนหนึ่งเดินออกมาจากระเบียง

เธอยื่นมือมาแย่งบัตรที่อยู่ในมือจ้างเฟยหยางไป แล้วโยนคืนให้ไป๋มู่ชิง ก่อนจะยกมือชี้หน้าจ้าวเฟยหยางและพูดขึ้นเสียงดัง : “จ้าวเฟยหยาง! นี่หมายความว่าไง? เงินของเธอคุณรับไว้ได้ แต่พอเป็นเงินของฉันคุณไม่รับไว้แม้แต่แดงเดียว คุณชอบเธอใช่มั้ย? หึ! ฉันดูออกตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณชอบเธอ”

“หยวนกุย อย่าพูดไปเรื่อยสิ” ไป๋มู่ชิงเดินเข้าไปจับแขนเธอไว้และส่งสัญญาณให้เธอเบาๆเสียง “ที่นี่เป็นโรงพยาบาลเบาๆเสียงหน่อยได้มั้ย”

“ไม่ได้!” หยวนกุยที่เพิ่งทะเลาะกับจ้าวเฟยหยางไปก่อนหน้านี้สะบัดมือไป๋มู่ชิงออกแล้วพูดด้วยน้ำเสียงมีอารมณ์ : ” เสี่ยวลี่เป็นเด็กที่ฉันกับเขาเก็บมาเลี้ยงเมื่อสองปีก่อน เขาก็เป็นลูกฉันเหมือนกัน มันเป็นความรับผิดชอบของฉันด้วย แล้วทำไมถึงรับแต่เงินช่วยเหลือจากเธอแต่ไม่ยอมรับเงินของฉัน?”

“นั้นก็เพราะว่า…….” ไป๋มู่ชิงมองจ้าวเฟยหยางที่ยืนอยู่ข้างมแวบหนึ่ง ก่อนจะดึงหยวนกุยเดินออกไปนอกห้องผู้ป่วย พอถึงตรงทางเดินที่จะมุ่งหน้าไปยันสวนดอกไม้เธอก็ปล่อยมือ เธอมองหน้าหยอนกุยและถามขึ้น: “เธอไม่ใช่เดินทางไปพักผ่อนต่างประเทศแล้วเหรอ? แล้วนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่?”

‘เพิ่มกลับมาวันนี้” หยวนกุยยังอารมณ์ไม่ดีขึ้น

“เพราะเสี่ยวลี่ถึงรีบกลับมาเหรอ?”

“ก็ใช่สิ ไม่คิดว่ากลับมาแล้วต้องมาอารมณ์เสียขนาดนี้” หยวนกุยพูดเสร็จก็จ้องมองเธออย่างจับผิด “ที่เขายอมรับเงินช่วยเหลือจากเธอ เพราะเขาชอบเธอใช่มั้ย”

ไป๋มู่ชิงยิ้ม: “กุย นี่เธอยังดูไม่ออกอีกเหรอว่าเฟยหยางเริ่มหวั่นไหวกับเธอแล้วนะ แต่เพราะถานะทางครอบครัวของเธอสองคนแตกต่างกันมาก เขาจำเป็นต้องแยกแยะเรื่องนี้ให้ชัดเจน ถึงไม่อยากรับเงินจากเธอไง”

หยวนกุยมีสีหน้าแปลกใจ “จริงเหรอ?”

“จริงแท้แน่นอน”

“แต่เขาก็ไม่ควรทำถึงขนาดไม่นึกถึงชีวิตเสี่ยวลี่นี่นา”

การผ่าตัดของเสี่ยวลี่มีความเสี่ยงสูงมาก ก่อนหน้านี้เฟยหยางก็ยังไม่คิดจะให้เขาผ่าตัด ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นตบบ่าเธอเบาๆ เธอกลับมาก็ดีละ ฉันจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงว่าเฟยหยางจะลำบากอยู่คนเดียว”

“เธอจะมาเป็นห่วงเขาทำไม?” หยวนกุยย่นคิ้ว

“ฉันกับเขาเป็นเพื่อนสนิทกันที่นา ก็ต้องเป็นห่วงกันเป็นธรรมดา” ไป๋มู่ชิงขยิบตาให้เธอ “ไม่พูดกับเธอละ ฉันไปหาเสี่ยวลี่ดีกว่า”

พูดจบเธอก็เดินออกจากสวนดอกไม้ลอยฟ้า ไปยันทางขึ้นลิฟต์

ไป๋มู่ชิงนำภาพวาดที่ร่างเสร็จไปครึ่งหนึ่งขึ้นมาวาดต่ออย่างตั้งใจ

พรุ่งนี้เป็นวันที่เสี่ยวลี่ต้องเข้าห้องผ่าตัดแล้ว เธอต้องเร่งมือวาดให้เสร็จเพื่อมอบให้เสี่ยวลี่ก่อนที่เขาจะเข้าห้องผ่าตัด

ระหว่างที่กำลังวาดรูป คุณผู้หญิงมีเข้ามาถามถึงอาการเธออย่างเป็นห่วง พี่เหอยังนำซุปไก่ตุ๋นมาให้เธอหนึ่งถ้วย เธอได้รับกันดูแลดีจนรู้สึกอึดอัด

รอจนให้พวกท่านออกจากห้องไป ในห้องเงียบสงบลงได้ชั่วครู่ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก

ไป๋มู่ชิงจำต้องวางดินสอลง แล้วลุกขึ้นไปเปิดประตู พอประตูเปิดออกก็เห็นหนานกงเฉินยืนพิงขอบประตูอยู่หน้าห้อง เธอเตรียมจะดันประตูปิด

หนานกงเฉินรีบเอามือขวางประตูไว้ด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ไป๋มู่ชิง ทำแบบนี้หมายความว่าไง?”

พอปิดประตูไม่ได้ ไป๋มู่ชิงจึงต้องยอมปล่อยให้ประตูเปิดออกแล้วจ้องมองเขา “ดึกแล้ว ฉันจะเข้านอนแล้ว”

หนานกงเฉินเหมือนจะเมา เธอได้กลิ่นเหล้าจางๆลอยมาจากตัวเขา

ไป๋มู่ชิงแอบกังวงในใจ เขาคงไม่ใช่อยากขึ้นเตียงกับเธอนะ? อย่านะเห็นเขาว่าผู้ชายเวลาเมาจะแข็งแกร่งมาก เธอยังอยู่ในช่วงแรกของการตั้งครรภ์ ยังต้องระมัดระวังเป็นพิเศษอยู่

หนานกงเฉินพยายามทรงตัวแล้วชี้ไปที่ตัวเอง “ไม่เห็นเหรอว่าฉันเมาแล้ว?”

“เห็น แล้ว……ยังไง?”

“แล้วเธอว่ายังไงล่ะ?” หนานกงเฉินเอามือจับต้นคอเธอแล้วดันเธอเข้าสู่อ้อมกอดก่อนจะก้มหน้าลงไปหาเธอ ลมหายใจที่มีกลิ่นเหล้าจางๆรดบนหน้าเธอ “อาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อให้สามี ปรนนิบัติกล่อมสามีนอน…….นี่ไม่ใช่หน้าที่ของภรรยาหรอกเหรอ?”

จริงๆด้วย! เขามาเพราะเรื่องนี้จริงๆ

ตั้งแต่ออกจากโรงพยาบาล จนมามีเรื่องที่เธอแอบเข้าไปหอไหว้บรรพบุรุษ ทำให้เกิดความคับข้องใจต่างๆขึ้นมากมาย ทั้งสองเลยไม่เคยนอนร่วมเตียงกันอีก เธอนึกว่าเขาอาจจะเบื่อจนไม่อยากแตะต้องเธออีกแล้ว ไม่คิดว่า…….

ทำไงได้ ไป๋มู่ชิงจำต้องประคองเขาเข้ามาในห้องนอน แล้วพาเขาไปนั่งตรงโซฟาก่อนจะเข้าไปเปิดน้ำใส่อ่างอาบน้ำให้เขา และช่วยเขาถอดเสื้อออก

ถึงจะแต่งงานกับเขาได้สามเดือนกว่าแล้ว คลอเคลียใกล้ชิดกันก็หลายครั้ง และยังตั้งท้องลูกเขาอีก แต่นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอต้องช่วยเขาถอดเสื้อ ยังไม่ทันได้เริ่มลงมือเธอก็รู้สึกหน้าแดงจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ

เสื้อที่เขาใส่แกะกระดุมออกจากรางยากไปอีก

หนานกงเฉินไม่ได้เมามาก เขาแค่เหนื่อยจนไม่อยากขยับตัว เลยต้องมากวนเธอ เห็นเธอหน้าแดงเป็ลูกตำลึง มือก็สั่งนิดๆ ทนไม่ไหวจึงพูดขึ้น: “ทำไมต้องแกล้งทำเป็นอาย?”

“ใครแกล้งทำ?” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างไม่พอใจจ้องมองเขาแวบหนึ่ง พูดขึ้นเสียงเบา “ก็ฉันไม่เคยช่วยผู้ชายถอดเสื้อมาก่อนนิ”

“ไม่เคยถอดจริงเหรอ?” ที่จริงหนานกงเฉินจะพูดว่า ‘เขาดูแล้วเธอก็ไม่เคยถอด’

แต่เท่าที่เขารู้มาสังคมไฮโซ พวกคุณหนูไฮโซไม่มีใครที่ไม่รักสวยรักงาม ไม่ชอบเที่ยวผับบาร์ไม่ใช่เหรอ? ตั้งยี่สิบกว่าแล้วยังไม่เคยขึ้นเตียงกับผู้ชายมาก่อนจะเป็นไปได้ไง?

“ก็ใช่ว่าฉันอยากจะแต่งกับคุณซะเมื่อไหร่ เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องโกหกคุณมั้ง?”

“ที่พูดก็ใช่” หนานกงเฉินรู้สึกรำคาญที่เธอค่อยๆแกะกระดุมทีเม็ดอย่างเชื่องช้าไม่ทันใจ เขาจึงยกมือกระชากกระดุมออกจากรางเสื้อ ก่อนจะลุกขึ้นจากโซฟาและเดินเข้าห้องน้ำอย่างโยกเย่เล็กน้อย

ไป๋มู่ชิงอยากหลบออกไปแต่ก็กังวลว่าเขาจะล้มในห้องน้ำ เลยต้องถือเสื้อครุมเดินตามเข้าไป

เข้ามาแล้วก็คงหนีไม่พ้นที่ต้องช่วยเขาถอดกางเกงและช่วยเขาอาบน้ำ

หน้าเธอแดงมากขึ้น มือก็สั่นหนักกว่าเดิม ที่น่าเศร้ากว่านั้นคือหัวเข็มขัดของเขามันทันสมัยเกินไปเธอแกะยังไงก็แกะไม่ออกนั่งคลำไปคลำมาอยู่นานแล้ว

รอบนี้หนานกงเฉินไม่ได้ช่วยเธอ เขาเอามือกอดอกพิงเคาน์เตอร์ล้างมือ และมองเธอด้วยรอยยิ้มร้ายกาจ

ไป๋มู่ชิงปรายตามองเขาเงียบๆ ผู้ชานคนนี้……เปลือยท่อนบนนานขนาดนี้ไม่หนาวหรือไง?

กว่าจะแกะหัวเข็มขัดเขาออกได้ก็เป็นนาน ไป๋มู่ชิงรีบดึงกางเกงเขาลงโดยไม่แม้แต่จะมองช่วงล่างของเขา ก่อนจะรีบหมุนตัวชี้ไปที่อ่างอาบน้ำ “เข้าไปสิ”

หนานกงเฉินหุบยิ้มและเดินเข้าไปในอ่างอาบน้ำ เขาเอาตัวแช่ลงไปในน้ำอุ่นเกือบมิด รู้สึกความเหนื่อยล้าทั้งหลายหายไปทันที เขาหลับตาลงซึมซาบความรู้สึกสบายที่เกิดขึ้น

“เธอจะเข้ามาอาบด้วยกันมั้ย?” เขาถามขึ้น

ไม่มีเสียงตอบรับ เขาเลยลืมตาขึ้นมองไปรอบๆ ไม่มีแม้แต่เงาของไป๋มูนชิงแล้ว

ไป๋มู่ชิงหลบออกไปอย่างเงียบ ๆ เพราะกลัวว่าหนานกงเฉินจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ แล้วผลักเธอลงอ่างอาบน้ำด้วย

หนีออกจากห้องน้ำได้แล้วยังไง? เธอจะหนีออกจากห้องนอนด้วยหรือไง?

คืนนี้ดูท่าแล้วยังไงก็คงไม่รอดเงื้อมมือของเขาแล้ว ทำไงดี? เธอควรทำยังไงดี?

ไป๋มู่ชิงเดินไปเดินมาคิดหาวิธีเอาตัวรอด แต่คิดยังไงก็คิดไม่ออก จนกระทั้งได้เสียงน้ำในห้องน้ำหยุดลง

มองจากประตูเห็นหนานกงเฉินกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำแล้ว เธอจึงรีบขึ้นไปบนที่นอน ก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมตัวแล้วแกล้งทำเป็นหลับ

นอกจากแกล้งหลับแล้ว ก็ดูจะไม่มีวิธีอื่นแล้ว

เธอเงียบหูฟังเสียงหนานกงเฉินเดินออกจากห้องน้ำ ก่อนจะหยุดอยู่หน้าประตูห้องน้ำชั่วครู่ แล้วเดินตรงมาทางเตียงนอน

เธอรู้สึกตื่นตกใจเล็กน้อย ก่อนได้กลิ่นหอมของครีมอาบน้ำจางๆ เขาค่อยๆกอดเธอเข้าสู่อ้อมแขนจากด้านหลัง ริมฝีปากอุ่นกดเข้ากับลำคอเธอและเริ่มจูบเบา ๆ

เขาตรงเข้ามาอย่างไม่รีรอแบบนี้ ทำเอาความหวังสุดท้ายในใจไป๋มู่ชิงมลายไปสิ้น ดูท่าแล้วคืนนี้เธอคงไม่รอดแน่แล้ว ได้แต่หวังว่าเขาจะเบาๆมือกับเธอหน่อย!

ตัวเธอยังเต็มไปด้วยกลิ่นหอมจากการอาบน้ำ พอผสมเข้ากับกลิ่นกายเธอที่หอมสดชื่นเฉพาะตัว ก็กระตุ้นอารมณ์ของเขาให้ลุกโชนขึ้นมาได้โดยง่าย

ตอนแรกเขาแค่รู้สึกเหนื่อยล้า อยากหาร่างนุ่มๆมากอดนอนซะคืน แต่ไม่คิดว่าแค่กอดก็ไม่อย่างปล่อยมือ

หนานกงเฉินพลิกตัวเธอหันมา ฝ่ามือค่อยๆเลิกชุดนอนเธอขึ้น

ผ้าขนหนูผืนใหญ่ที่พันอยู่รอบเอวเขาหลุดออกไปตั้งแต่ขยับขึ้นเตียงมากอกเธอ เผยให้เห็นร่างเปลือยเปล่าของเขาเต็มตา ร่างกายของไป๋มู่ชิงเองก็เกิดความโหยหาขึ้นมาทันที

แต่สติชนะความยาก เธอทำเป็นงอตัวแล้วทำเสียงครางด้วยความเจ็บปวด

หนานกงเฉินสัมผัสได้ถึงความทรมานของเธอจึงเงยหน้าถาม “เป็นอะไร?”

“ปวดท้อง” เธอตอบด้วยสีหน้าทรมาน

หนานกงเฉินจ้องมองเธอด้วยแววตาที่รู้ทันจนไป๋มู่ชิงไม่รู้จะหลบยังไง

” เหรอ?” เขายกมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์

“จริงๆนะ คุณช่วยทำเบาๆหน่อยได้มั้ย?” เธอพูดขอร้อง

เธอไม่ได้คาดหวังว่าหนานกงเฉินจะไม่ทำอะไรเธอ แค่อยากขอให้เขาทำเบาๆนิดหนึ่ง จะได้ไม่กระทบต่อลูกในครรภ์

“เบาหน่อย?” หนานกงเฉินไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ “หมายความว่าที่ผ่านมาฉันรุนแรงเหรอ?”

“บางที……ก็รุนแรงมาก” ไป๋มู่ชิงตอบตามตรงอย่างไม่เกรงใจ

จุดนี้เขาไม่ปฏิเสธ แต่ถ้าเธอไม่ทำให้เขาโมโหบ่อยๆ เขาจะทำรุนแรงกับเธอเหรอ?

เขาก้มลงไปจูบริมฝีปากเธอ จากนั้นก็ค่อยๆย้ายริมฝีปากของเขาไปตรงใบหูจงใจให้ลมหายใจเป่ารดข้างหูเธอ : “แค่เธอเป็นเด็กดีไม่ดื้อ ฉันก็จะทำเบาๆอย่างอ่อนโยน”

ลมหายใจที่เป่ารดมาทำให้ไป๋มู่ชิงขนลุกซู่ทั้งตัว เธอค่อยๆยกแขนขึ้นโอบกอดเขาไว้อย่างลืมตัวพูดด้วยน้ำเสียงคล้ายละเมอ “ฉันจะเป็นเด็กดีไม่ดื้อ……”

ถึงแม้จะรู้ว่าเธอแกล้งทำเป็นปวดท้อง แต่หนานกงเฉินก็ยังอ่อนโยนกับเธอตั้งแต่เริ่มจนสุดทาง ความอ่อนโยนที่ไม่ได้มีให้บ่อยๆ

ไป๋มู่ชิงรู้สึกตัวอีกครั้ง เธอค่อยๆขยับตัวออกจากอ้อมกอดเขา เธอหลับตาลงเพื่อรับรู้ความรู้สึกตรงบริเวณท้องน้อยว่าไม่มีความผิดปกติอะไร ก่อนจะถอนหายใจโล่งอก

เธอนอนตะแคงข้างจ้องมองใบหน้าหนานกงเฉิน ตอนนี้เขาดูเหนื่อยจนตาจะปิดอยู่แล้ว

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ทุกครั้งที่เขาเสร็จกิจก็จะลุกกลับห้องนอนตัวเองทันที แต่วันนี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ดูแล้วคงไม่คิดจะกลับห้องแล้ว

เธอลุกขึ้นห่มผ้าให้เขา พอจ้องมองใบหน้าเขาก็อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงความอ่อนโยนของเขาที่มีต่อเธอเมื่อครู่ที่ผ่านมา

ไป๋มู่ชิงรีบสะบัดหัวก่อนจะเตือนตัวเองในใจ ไป๋มู่ชิงทำไมถึงเจ็บแล้วไม่รู้จักจำนะ แค่เขาทำดีด้วยนิดๆหน่อยๆก็ทำเป็นฝันละเมอไปไกลอีกละ

ผู้ชายคนนี้คือใคร? เขาคือคนที่เย็นชาและร้ายหัวใจ!

เช้าวันถัดมา ไป๋มู่ชิงตื่นมาเห็นหนานกงเฉินยังหลับอยู่ซึ่งไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก

ที่ผ่านมาทุกครั้งที่ได้นอนร่วมเตียงกัน เวลาเธอตื่นมาจะไม่เห็นเขาบนที่นอนแล้ว วันนี้ก็ไม่ใช่วันหยุดนี่นา ทำไมเขายังนอนอยู่ล่ะ

ดูท่าแล้วเมื่อคืนเขาคงเหนื่อยมาก พอเสร็จธุระกับเธอเขาก็หลับยาวจนตอนนี้ยังไม่ตื่นเลย

เพื่อไม่ทำให้เขาตื่น เธอค่อยยกแขนเขาที่พาดอยู่ตรงเอวเธอออก ยังไม่ทันจะลุกขึ้นจากที่นอน เธอก็โดนเขาดึงกลับเข้าอ้อมกอดอีกครั้ง

ไป๋มู่ชิงทำเสียงเบาๆในลำคอตอนนี้ร่างอันอบอุ่นของเธอแนบไปกับตัวเขา

ขณะนี้ร่างกายเปลือยเปล่าของทั้งสองไม่มีเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียว

เพื่อกันไม่ให้อารมย์เขาเกิดครุกรุ่นขึ้นจนอยากทำกิจกรรมรอบเช้าอีกรอบ เธอจึงถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “คุณชายใหญ่ แปดโมงเช้าแล้ว คุณไม่ไปทำงานเหรอคะ?”

ไม่คิดว่าวิธีนี้จะได้ผล หนานกงเฉินรีบหยิบโทรศัพท์บนหัวเตียงขึ้นมาดูแล้วโยนกลับที่เดิม เขาละมือจากตัวเธอแล้วลุกขึ้นนั่ง

หนานกงเฉินที่เพิ่งตื่นมีอาการงัวเงียเล็กน้อย เขาหันไปมองไป๋มู่ชิงทีอยู่ข้างๆ นึกในใจเขามานอนอยู่ห้องนี้ได้ไง

ไป๋มู่ชิงเห็นสายตาเขาที่มองมา ใบหน้าก็เห่อร้อนขึ้นก่อนจะรีบดึงผ้าห่มมาคลุมตัวให้แน่น หนานกงเฉินทำเสียงขัดใจในลำคอ ก่อนจะลุกจากเตียงไปเข้าห้องน้ำ

รอจนประตูห้องน้ำปิดลง เธอถึงดึงผ้าห่มออกจากตัว ก่อนจะลงจากเตียงไปหยิบเสื้อคลุมที่ตกอยู่บนพื้นห้องขึ้นมาใส่

เสียงโทรศัพท์บนหัวเตียงเตือนขึ้นสองครั้ง ไป๋มู่ชิงมองผ่านๆไปที่โทรศัพท์หนานกงเฉินแวบหนึ่ง เห็นข้อความเตือนบนแอพพลิเคชั่นเกมส์พอดี

หนานกงเฉินไม่ได้ลบแอพฯเกมส์ออกเหรอ? แถมยังออนไลน์อยู่ กำลังใช้แอพทำคะแนนอัพเลเวลอยู่เหรอ?

นึกว่าเขาจะไม่ล็อกอินเข้ามาอีกแล้วซะอีก? ไม่นึกว่า……

ไป๋มู่ชิงแอบยิ้ม ขณะที่กำลังจะวางโทรศัพท์กลับไปบนโต๊ะ มือก็ไปกดโดนอัลบั้มรูปในโทรศัพท์ สายตาของไป๋มู่ชิงกระทบเข้ากับเงาภาพของผู้หญิงคนหนึ่ง

มือที่ถือโทรศัพท์อยู่กระตุกเล็กน้อย พร้อมสีหน้าประหลาดใจของไป๋มู่ชิง

อัลบั้มรูปในโทรศัพท์มือถือของหนานกงเฉิน มีเพียงหมวดหมู่เดียว จำนวนรูปในอัลบั้มก็ขึ้นแค่หนึ่งรูป นั้นหมายความว่าไม่มีรูปอื่นในอัลบั้มแล้วนอกจากรูปของหญิงสาวคนนี้

ต้องเป็นคนที่โชคดีแค่ไหนนะถึงจะได้ครอบครองอัลบั้มรูปทั้งหมดบนโทรศัพท์มือถือของเขาแบบนี้ เธอแทบไม่คิดวิเคราะห์อะไรมากก็พอเดาออกว่าต้องเป็นรูปของคุณหนูจูซึ่งเป็นรักแรกของเขาแน่นอน

ถึงแม้จะรู้ว่าการแอบดูโทรศัพท์ของคนอื่นเป็นเรื่องที่เสียมารยาทอย่างมาก แต่ไป๋มู่ชิงก็อดไม่ได้ที่เปิดอัลบั้มรูปขึ้นมาดู เพียงเพราะว่าคุณผู้หญิงเคยบอกเธอว่า [คุณผู้หญิงจิ้ง] คล้ายกับคุณหนูจูที่เป็นรักแรกของหนานกงเฉินมาก

ตอนนั้นที่คุณผู้หญิงบอกเรื่องนี้กับเธอ เธอก็คิดมาตลอดว่าเห็นหน้าตาคุณหนูจูซะครั้ง เพื่อดูว่าเหมือนกันจริงอย่างที่ว่ามั้ย แต่น่าเสียดายคุณหนูจูที่ว่าไม่ได้เหลืออะไรไว้ให้ดูเลย เธอจึงไม่รู้ว่าจะไปดูได้ที่ไหน

ในที่สุดวันนี้ก็มีโอกาสแล้ว ขออภัยกับความไร้มารยาทของเธอด้วยนะ

ผู้หญิงในรูปยังดูเด็กอยู่เลย ดูแล้วน่าจะประมาณยี่สิบต้นๆ หน้าตาไม่ได้สวยจัดอะไร อันที่จริงยังเทียบเลขาเหยียนไม่ได้เลย แต่มีรูปร่างที่สมส่วน และดวงตากลมโตที่สดใสน่ารัก

เด็กผู้หญิง…….ดูแล้วมีส่วนละม้ายคล้ายคลึงกับ [คุณผู้หญิงจิ้ง] จริงๆ โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้น คุณผู้หญิงไม่ได้โกหกเธอจริงๆ คุณหนูจูคนนี้มีดวงตาที่คล้าย [คุณผู้หญิงจิ้ง] อย่างมาก

ไป๋มู่ชิงค่อยๆกำโทรศัพท์แน่นขึ้น ในใจรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย ถ้ายังนั้นที่หนานกงเฉินทำลายภาพวาดอย่างฉุนเฉียวนั้นก็เพราะคุณหนูจูคนนี้เหรอ?

แล้วเรื่องที่เธอเจอที่โถงด้านหลังของหอไหว้บรรพบุรุษล่ะ ตกลงเป็นแค่ฝันไปเหรอ?

ใช่แล้ว มีครั้งหนึ่งที่หนานกงเฉินโกรธมากจนพูดว่าที่ยังให้เธออยู่ต่อ ส่วนหนึ่งเพราะเธอมีส่วนคล้ายคลึงกับคุณหนูจูคนนี้

เธอพยายามจ้องดูว่ามีส่วนคล้ายคุณหนูจูคนนี้ตรงไหน แต่ดูยังไงก็ดูไม่ออก ทำไมถึงบอกว่ามีส่วนคล้ายเธอนะ?

ได้ยินเสียงลูกบิดประตูดังขึ้นไป๋มู่ชิงรีบกดปิดหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะวางกลับบนโต๊ะตามเดิม

หนานกงเฉินออกจากห้องน้ำมา ยังเห็นเธอนั่งอยู่บนขอบเตียง เลิกคิ้วขึ้นถามเย้า “ทำไม? อารมณ์ค้างเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงก้มมองตามสายตาเขา ถึงได้รู้ว่าสาบเสื้อนอนเธอคลายออกจนเห็นเนินอก!

เมื่อกี้มัวแต่แอบดูโทรศัพท์ของหนานกงเฉิน จนลืมใส่เสื้อให้เรียบร้อย เธอรุ้สึกหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอีก จึงรีบจับเสื้อให้เข้าที่ก่อนจะก้มหน้าเดินเข้าไปห้องเปลี่ยนเสื้อ

พอเธอแต่งตัวเสร็จ หนานกงเฉินก็ออกจากห้องเธอไปแล้ว

ในห้องอาหารชั้นหนึ่ง คุณผู้หญิงมองมาที่หนานกงเฉินที่แต่งตัวสบายๆ ถามขึ้นด้วยความสงสัย “ทำไม? วันนี้ไม่ได้ทำงานเหรอ?”

วันทำงานแต่ไม่ไปทำงาน นี่ไม่เหมือนหลานผู้บ้างานเธอเลยนินา

“วันนี้ต้องไปดูงานที่เมืองหยานครับ” หนานกงเฉินเริ่มก้มหน้าทานอาหารเช้าบนจาน

“ได้ยินเมืองหยานสองคำ” ในใจไป๋มู่ชิงรู้สึกแปลกๆ

เมืองหยานเป็นเมืองที่เธอเติบโตมา เป็นเมืองเก่าที่ติดทะเล เธอไม่ได้กลับไปหลายปีแล้ว

“ก็บอกแล้วไม่ใช่เหรอว่า เรื่องดูงานปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเซิ่นเคอ ไม่ต้องไปด้วยตัวเอง” คุณผู้หญิงพูดขึ้น เธอผู้เป็นประมุขของบ้านตระกูลหนานกง จะคอยปกป้องดูแลเขาผู้เป็นสายเลือดเดียวของบ้านหนานกงทุกทีทุกวเวลา

“ใช่แล้ว พี่เฉิน เรื่องเล็กแค่นี้ปล่อยให้ฉันไปแทนเถอะ” เซิ่นเคอพูดเสริม

เขาก็ไม่เข้าใจว่าทำไม ปกติหนานกงเฉินเป็นคนที่ไม่ชอบออกงานที่สุดขนาดเจรจาธุรกิจหลายร้อยล้านยังไม่ไปเองเลย แต่กับการเปิดขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเมืองหยานพี่เขากลับจะไปด้วยตัวเอง

“ไม่เป็นไร” หนานกงเฉินพูดไม่เห็นด้วย “ในเมื่อทุกคนก็รู้จักฉันแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอีก”

“ถึงไม่จำเป็นต้องหลบซ่อน ก็ไม่จำเป็นต้องออกไปตลอด มันไม่ปลอดภัย”

“คุณย่า คุณย่าดูละครมากไปแล้วครับ” หนานกงเฉินยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเทนมสดแก้วหนึ่งให้คุณผู้หญิง “ค่อยๆทานนะครับ ผมไปก่อนนะ”

“เดี๋ยวก่อน” คุณผู้หญิงห้ามเขาไว้ กำลังจะสั่งให้เขายกเลิกการไปดูงาน พี่เหอที่ยืนอยู่ข้างๆก็พูดขึ้น “คุณผู้หญิงคะ เมืองหยานเป็นเมืองที่ทิวทัศน์สวยงามและอากาศดี ให้คุณชายใหญ่ไปเถอะค่ะ ถือว่าได้ไปพักผ่อน”

พี่เหอหยุดนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “แต่ถ้าคุณผู้หญิงยังเป็นห่วง ก็ให้นายหญิงน้อยไปเป็นเพื่อนก็ได้นะคะ ไปกันสองคนจะได้คอยดูแลกัน”

คุณผู้หญิงเข้าใจความหมายของพี่เหอ แต่เมืองหยานเป็นเมืองที่จะว่าใกล้ก็ไม่ใกล้ จะว่าไกลก็ไกล ยังไงก็ต้องใช้เวลานั่งเครื่องเป็นชั่วโมง แล้วตอนนี้ไป๋มู่ชิงก็ตั้งท้องอยู่

แต่เมืองหยานก็เป็นเมืองที่ดีจริงๆ เหมาะแก่การเป็นที่ที่ให้คู่รักพากันไปเดต เมื่อก่อนหนานกงเฉินก็เจอกันคุณหนูจูที่นั้น เมืองที่สวยงามขนาดนั้น ให้เขาสองคนไปสร้างสัมพันธ์ให้รักกันมากขึ้นก็ดีเหมือนกัน

คิดได้เช่นนี้ คุณผู้หญิงก็ตัดสินใจให้เขาทั้งสองไปด้วยกัน

ถึงแม้ไป๋มู่ชิงจะรู้สึกผูกพันกับเมืองหยานอยู่ไม่น้อย และอยากกลับไปดูซักครั้ง แต่แค่คิดว่าต้องไปกับหนานกงเฉินความรู้สึกตื่นเต้นดีใจก็หายแวบไปในพริบตา

เธอรีบพูดขึ้นก่อนคุณผู้หญิงจะตอบรับ “ให้เลขาเหยียนเลขาหวง ไปกับคุณชายใหญ่เถอะค่ะ หนูรู้สึก……เวียนหัว”

แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเธอโกหก ไม่ใช่แค่หนานกงเฉินที่ฟังออก คุณผู้หญิงเองก็ฟังออก

แต่เพราะหนานกงเฉินเองก็ไม่ได้อยากเดินทางไปกับเธอ จึงพูดเห็นด้วยกับเธอ “ใช่ ยิ่งเวียนเครื่องจะทรมานมาก อยู่บ้านดีกว่า”

“แค่ชั่วโมงเดียวเอง ไม่ทันได้เวียนหัวก็ถึงเมือหยานแล้ว” คุณผู้หญิงแกล้งทำเป็นไม่พอใจก่อนพูดกับไป๋มู่ชิง “ให้เฉินออกไปคนเดียว เธอไม่กลัวอาการเขากำเริบเหรอ? เธอไม่กังวลใจ?”

ฉัน……. ไป๋มู่ชิงอึ้งไป ก่อนจะก้มหน้าลง “ของโทษค่ะ ฉันไม่ทันคิดถึงจุดนี้”

คุณผู้หญิงพูดขนาดนั้น เธอก็ไม่รู้จะปฏิเสธยังไงอีก เลยต้องไปกับเขาด้วย

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท