เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 75 โกหกต่อไป

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

กลับเป็นเลขาเหยียนที่นั่งอยู่ฝั่งคนขับสังเกตเห็นรถประจำตัวของหนานกงเฉิน ถามขึ้นอย่างสงสัย: “เอ๊ะ นั่นเสี่ยวหลินกับนายหญิงน้อยไม่ใช่หรอ?”

เมื่อได้ยินคำถามของเลขาเหยียน หนานกงเฉินมองออกนอกหน้าต่าง เป็นเสี่ยวหลินที่ขับรถพาไป๋มู่ชิงผ่านไปจริงๆ

“พวกเขามาที่นี่ได้ยังไง?” เลขาเหยียนถามขึ้น

พวกเขามาที่นี่ได้ยังไง? หนานกงเฉินก็อยากรู้เหมือนกัน

“ลองถามเสี่ยวหลินก็รู้” หนานกงเฉินตอบ

ในจิตใต้สำนึก เขาสนใจว่าเธอจะไปไหนได้ยังไง น่าแปลกมาจริงๆ!

หลังออกจากสุสาน รถวิ่งอย่างรวดเร็วบนถนนชานเมืองหยาน สองข้างทางเต็มไปด้วยพืชพันธุ์สีเขียว มองวิวสวยสองข้างทาง ไป๋มู่ชิงอารมณ์ค่อยๆ ดีขึ้น

เพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวาย เธอหันไปพูดกับเสี่ยวหลิน: “จริงสิ อย่าบอกคุณชายเฉินว่าฉันมาที่สุสาน”

“ทำไมล่ะครับ?” เสี่ยวหลินมองเธอแวบหนึ่งอย่างไม่เข้าใจ ถามจบก็ตกใจว่าตัวเองถามมากเกินไป จึงรีบพูดต่อว่า: “ขอโทษครับ นายหญิงน้อยวางใจได้ครับ ผมไม่พูดแน่นอน”

คงเป็นเพราะว่าไป๋มู่ชิงไม่ได้วางมาดนายหญิงน้อยของตระกูลหนานกงเลยแม้แต่น้อย มนุษยสัมพันธ์ดีเกินไป แต่ก็ใช่ว่าเขาจะลืมว่าฐานะเธอเป็นใคร แค่ปฏิบัติต่อเธอเหมือนเพื่อน

โชคดีที่คุณชายเฉินไม่อยู่ตรงนี้ ไม่งั้นตายแน่ๆ เสี่ยวหลินแอบโล่งใจ

ในขณะเดียวกัน มือถือของเสี่ยวหลินก็ดังขึ้น เป็นเรียกเข้าที่ตั้งเฉพาะเลขาเหยียน ในวันปกติเขากลัวว่าจะพลาดไม่ได้รับสายกระทบต่องาน จึงตั้งค่าเบอร์ของเลขาเหยียนเป็นสายเรียกเข้าสำคัญ ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเรียกเข้านี้ก็จะรับสายด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นกว่าปกติ

ครั้งนี้ก็เหมือนกัน พอได้ยินเสียงเรียกเข้า เขารีบหยุดรถข้างทาง แล้วหยิบโทศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดรับสาย: “เลขาเหยียน คุณโทรหาผม?”

“ใช่ เมื่อกี้นี้ฉันและคุณชายเฉินเห็นรถของคุณหน้าทางเข้าสุสาน” เลขาเหยียนไม่ได้พูดมาก รอให้เขาพูดทุกอย่างด้วยตัวเอง

พูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา เสี่ยวหลินหันไปมองไป๋มู่ชิงแวบหนึ่ง แล้วตอบอย่างระมัดระวัง: “อ้อ คืออย่างนี้ครับ นายหญิงน้อยบอกว่าอยากชมวิวรอบๆ เมือง ผมเลยขับพาวนดูรอบๆ เมืองครับ”

“ค่ะ ไม่มีอะไรแล้ว” เลขาเหยียนถือสายไว้ครู่หนึ่ง แล้ววางสายไป

“เกิดอะไรขึ้นหรอ?” ไป๋มู่ชิงได้ยินคำตอบของเสี่ยวหลินเมื่อครู่ เกิดความสงสัยในใจ หรือว่าหนานกงเฉินจะใช้รถ?

เสี่ยวหลินมองโทรศัพท์ที่วางสายไป แล้วมองไป๋มู่ชิงด้วยแววตาหนักแน่น: “เลขาเหยียนบอกว่าเธอกับคุณชายเฉินเห็นรถของเราเมื่อสักครู่นี้”

ไป๋มู่ชิงใจเต้นแรง หนานกงเฉินเห็นเธอหรอ? ทำไมเธอไม่รู้สึกเลยสักนิด? เขาคงไม่รู้ใช่ไหมว่าตนมาเยี่ยมสุสานคุณยาย?

อีกอย่าง ทำไมเขาถึงมาที่นี่ได้? ที่นี่เป็นจุดที่ถือได้ว่าลึกลับที่สุดของเมืองหยาน เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะมาทำธุระแถวนี้

“นายหญิงน้อย ผมพูดโกหกแทนคุณไปแล้ว แต่ว่าถ้าคุณชายเฉินถามขึ้นมาอีก คุณต้องช่วยผมโกหกต่อไปนะครับ” เสี่ยวหลินพูดอย่างกังวล กว่าจะรอดจากอุปสรรคเมื่อคืนมาได้ เขาก็ไม่อยากถูกหนานกงเฉินไล่ออกเพราะเรื่องของวันนี้อีก

“วางใจเถอะ ฉันไม่เปิดโปงนายหรอก” ไป๋มู่ชิงรับปาก

“งั้นก็ดีครับ” เสี่ยวหลินหัวเราะแฮะแฮะ สบายใจขึ้น

หนานกงเฉินมองดอกลิลลี่หน้าป้ายหลุ่มศพที่ยังสดใหม่ และกวาดสายตาดูรอบๆ นอกจากตัวเขาก็ไม่เห็นเงาของคนอื่นอีก

ดอกไม้นี้เพิ่งถูกวางวันนี้ชัดๆ ใครเป็นคนนำมาล่ะ?

เขาก้มตัวนำดอกลิลลี่ในอ้อมแขนมาวางข้างดอกลิลลี่หน้าป้ายหลุมศพ ถอยหลังหนึ่งก้าว แล้วโค้งคำนับด้วยความเคารพ แล้วพูดว่า: “ขอโทษครับ……”

เพียงสามคำสั้นๆ แต่เต็มไปด้วยความรู้สึกที่อยากจะขอโทษ

ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุทางตรงหรือไม่ก็ตาม แต่คุณยายตายเพราะมีเขาเป็นต้นเหตุจริงๆ

เมื่อกลับมาที่รถ เลขาเหยียนรายงานกับเขาว่า: “คุณชายเฉิน เมื่อกี้ฉันถามเสี่ยวหลินแล้วค่ะ เขาบอกว่านายหญิงน้อยบอกว่าอยากชมวิวรอบๆ เมือง จึงมาถึงที่นี่”

หนานกงเฉินไตร่ตรอง แค่มาเดินเล่นหรอ?

จริงๆ แล้วตอนเขาเห็นดอกลิลลี่หน้าป้ายหลุมศพคุณยายเมื่อครู่ ก็เคยคิดว่าเป็นเธอ แต่พอมาคิดซ้ำๆ เหมือนเธอจะไม่มีเหตุผลที่จะนำดอกไม้มาให้คุณยายเลย ตอนนี้เลขาก็รายงานแบบนี้ เขาไม่ได้ทิ้งความสงสัยในใจด้วยเหตุผลนี้ แต่ตกอยู่ในห้วงความคิดอีกครั้ง

เงาของหญิงสาวที่เห็นเมื่อคืนที่ตลาดการค้าผุดขึ้นในความคิด หรือว่าเธอกลับมาแล้วจริงๆ ? ในที่สุดก็กลับมา?

หลังกลับจากสุสาน หนานกงเฉินตรงกลับโรงแรมทันที

ก้าวขาเข้าห้องรับแขก เขาเห็นไปมู่ชิงกำลังจัดวางแหวนอยู่บนโซฟา ดูเหมือนจะมีคามสุขมาก

เมื่อเห็นเขาเข้ามา ไป๋มู่ชิงรีบชูแหวนในมือขึ้น พูดด้วยรอยยิ้ม: “ดูสิ แหวนจากบาร์ส่งมาแล้วนะ”

หนานกงเฉินเดินไปหาเธอ รับแหวนในมือเธอมาดู ก็ยังคงเป็นแค่เศษเหล็กสองวง แต่ด้านในของแหวนสลักชื่อของเขาทั้งสองจริงๆ

วงหนึ่งคือคำว่า “ไป๋” อีกวงคือคำว่า “เฉิน”

“รูปถ่ายก็ส่งมาด้วยนะ” ไป๋มู่ชิงหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งขึ้นจากโซฟา โบกไปมาหน้าเขา เป็นรูปที่ทั้งสองคนจูบกัน มุมและแสงของภาพสวยใช้ได้เลย

หนานกงเฉินโยนแหวนคืนให้เธอ พร้อมพูดทำลายบรรยากาศ: “แหวนแบบนี้ก็ทำให้เธอดีใจได้ขนาดนี้เลยหรอ?”

“ทำไมหรอ? ฉันรู้สึกว่ามันน่ารักดีนี่” ไป๋มู่ชิงสวมแหวนวงนึงกับนิ้วกลาง พร้อมชื่นชมด้วยความพึงพอใจ เก็บอีกวงลงกล่องแล้วพูดว่า: “คุณไม่เอาก็ให้ฉัน ฉันเอาหมด”

หนานกงเฉินไม่ได้อยากเก็บมันไว้แต่แรกอยู่แล้ว จึงปล่อยเธอไป

ตอนแรกเขากะจะเดินขึ้นห้องไป แต่ก็ชะงักฝีเท้า หันกลับมาถามเธอด้วยความเป็นห่วง: “วันนี้ไปเดินเล่นที่ไหนมาหรอ?”

ไป๋มู่ชิงรู้อยู่แล้วว่าเขาจะถาม จึงเตรียมคำตอบไว้อยู่แล้ว พลางหมุนแหวนในมือเล่นแล้วตอบว่า: “เดินเล่น ตากลมเล่นไปเรื่อยๆ เลย ไปถึงไหนก็ตรงนั้น”

หนานกงเฉินถอนสายตา แล้วเดินขึ้นชั้นบนไป

เมื่อเขาเดินลับไป ไป๋มู่ชิงวางมือลง มองจุดที่เขาเดินลับตาไปและสูดลมหายใจ โชคดีที่เขาไม่ได้ถามคาดคั้นกว่านี้ ไม่อย่างนั้นเธอก็ไม่รู้จะรับมือยังไง

การใช้ชีวิตหลายวันมานี้ในเมืองหยาน เป็นช่วงเวลาที่ดีและสบายใจที่สุดตั้งแต่ไป๋มู่ชิงแต่งเข้าตระกูลหนานกง และเป็นช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตร่วมกับหนานกงเฉินได้ราบรื่นที่สุด

เมื่อเทียบกับชีวิตที่แสนหดหู่ในคฤหาสน์หนานกง ชีวิตแบบนี้สบายใจกว่ามากๆ ทำให้ไป๋มู่ชิงไม่อยากกลับไป

แน่นอนว่าช่วงเวลาที่มีความสุขนั้น สั้นเสมอ

กำหนดการในเมืองหยานของหนานกงเฉินเสร็จสิ้นในพริบตา ตั๋วเครื่องบินกลับเมืองซีที่เลขาเหยียนจองไว้เป็นรอบบ่าย

เมื่อออกจากโรงแรม ไป๋มู่ชิงยื่นสัมภาระให้เสี่ยวหลินนำขึ้นรถ หันกลับไปมองโรงแรมแห่งนี้ด้วยความรู้สึกอาลัยอาวอนเล็กน้อย

น้อยครั้งที่เธอจะรู้สึกอาลัยวอนสถานที่สักแห่ง มีเพียงวันนี้ ไม่รู้เพราะที่นี่คือเมืองหยานบ้านเกิด หรือเพราะที่นี่มีความทรงจำระหว่างเธอกับหนานกงเฉินที่ค่อนข้างดี

“นายหญิงน้อย เชิญขึ้นรถเถอะครับ” เสี่ยวหลินเห็นเธอไม่ขึ้นรถ อดที่จะตามไม่ได้ อีกอย่างคุณชายเฉินนั่งรออยู่ในรถด้วย

เธอได้สติเมื่อถูกเสี่ยวหลินเรียก เห็นสีหน้าหงุดหงิดของหนานกงเฉิน เธอรีบขึ้นรถไปทันที

เสี่ยวหลินก็รีบไปประจำที่คนขับ แล้วสตาร์ทรถ ขับไปยังสนามบิน

“ทำไม? ไม่อยากกลับหรอ?” หนานกงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาพลางเปิดนิตยสารในมือ

ไป๋มู่ชิงรู้สึกเขินนิดๆ : “ก็มีนิดหน่อย”

“ยังเที่ยวไม่พอ?”

“เที่ยวอ่ะเที่ยวพอแล้ว” ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะพูดความจริง: “แต่เมื่อคิดว่าต้องกลับไปใช้ชีวิตในคฤหาสน์ตระกูลหนานกง ก็รู้สึกกลัวขึ้นมานิดหน่อย”

“ที่แท้การใช้ชีวิตในตระกูลหนานกงทำให้เธอรู้สึกแย่ขนาดนี้”

“เปล่า……” ไป๋มู่ชิงรีบอธิบาย: “แค่ไม่อิสระเหมือนอยู่ที่นี่” เธอยังอยากพูดต่อว่า เมื่อกลับถึงเมืองซี คุณชายใหญ่คงกลับไปเป็นคนที่บ้างานเหมือนเก่า เป็นหนางกงเฉินที่เย็นชาไม่สนใจเธอ

แน่นอนว่า เธอไม่กล้าพอที่จะพูดเรื่องนี้ต่อหน้าเขา

เมื่อกลับถึงเมืองซี ก็เป็นเวลาอาหารเย็นพอดี หนานกงเฉินให้เสี่ยวหลินไปส่งไป๋มู่ชิงที่บ้าน ตัวเองนั้นตรงไปที่บริษัท

ตอนแรกไป๋มู่ชิงตั้งใจว่าจะตรงไปเยี่ยมเสี่ยวลี่ที่โรงพยาบาลหงเอิน ตอนอยู่เมืองหยานจ้าวเฟยหยางโทรมาบอกเธอว่าการผ่าตัดของเสี่ยวลี่ราบรื่นมาก เธอจึงอยากไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลโดยเร็ว ฉลองการเกิดใหม่ของเสี่ยวลี่

แต่หนางกงเฉินกำชับให้เธอตรงกลับบ้าน เธอไม่อาจขัดได้ คงต้องรอไปโรงพยาบาลพรุ่งนี้เช้าแล้วล่ะ

เมื่อกลับถึงคฤหาสน์ตระกูลหนานกง ไป๋มู่ชิงถูกเชิญไปยังห้องของคุณผู้หญิงทันที

เมื่อเธอไปถึง คุณผู้หญิงตรงเข้าไปรับด้วยการคล้องแขนเธอไว้ ยิ้มพลางประเมินดูเธอพลางถามว่า: “เป็นยังไงบ้าง? เหลนของฉันสบายดีไหม? มีไม่สบายตรงไหนบ้างไหม?”

ถูกเธอคล้องแขนแบบนี้ ไป๋มู่ชิงเริ่มทำตัวไม่ถูก เธอพยายามฝืนยิ้มไว้ แล้วพูดว่า: “คุณย่า ลูกสบายดีค่ะ ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”

“ใช่ไหม ฉันก็รู้อยู่แล้วว่าเบบี๋น้อยของตระกูลเราต้องสบายดี” คุณผู้หญิงพูดจบ มองเธออย่างอ่อนโยน: “เป็นยังไงบ้าง ไปเที่ยวคราวนี้ มีความสุขดีไหม? ได้ยินจากเลขาเหยียนมาว่าเธอกับเฉินใช้ชีวิตร่วมกันได้ดีทีเดียว”

เมื่อได้ยินประโยคนี้จากคุณผู้หญิง ไป๋มู่ชิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าคุณผู้หญิงมีสายใกล้ตัวเธอกับหนานกงเฉินด้วย

ก็จริงนะ นี่เป็นวิธีแบบฉบับคุณผู้หญิงจริงๆ

“มีความสุขดีค่ะ” เธอพยักหน้ายิ้ม ยื่นถุงช็อปปิ้งในมือให้คุณผู้หญิงแล้วพูดว่า: “คุณย่าคะ นี่เป็นของฝากเล็กๆ น้อยๆ ที่หนูกับคุณชายเฉินเลือกให้ท่าน หวังว่าท่านจะชอบค่ะ”

สำหรับของขวัญแล้ว ปกติคุณผู้หญิงไม่เคยสนใจเปิดดู แต่ว่าวันนี้เธอมีความสุข ยิ่งได้ยินว่าเฉินช่วยเลือกให้ จึงสนใจที่อยากจะเปิดดู

คุณผู้หญิงนำผ้าคลุมไหล่ออกจากถุงช็อปปิ้ง ลองหยิบมาคลุมแล้วพยักหน้าอย่างพอใจ: “ดีนะ สวยดีทีเดียว ขอบใจพวกเธอสองคนที่คิดถึงนะ”

“คุณผู้หญิง นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายใหญ่ซื้อของขวัญให้ท่านเลยนะคะ” พี่เหอพูดด้วยรอยยิ้มอยู่ข้างๆ

“นั่นหนะสิ”

“นี่หมายความว่าพอคุณชายใหญ่เป็นสามีคน เป็นพ่อคนแล้ว ก็เป็นผู้ใหญ่มากขึ้นนะคะ”

“ใช่ เฉินเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก จะเป็นพ่อคนแล้ว” คุณผู้หญิงส่งผ้าคลุมไหล่ให้พี่เหอ จูงมือของไป๋มู่ชิงด้วยรอยยิ้มเบิกบานยิ่งนัก: “นี่เป็นผลงานของเธอเลยนะ เธอเป็นคนทำให้เขาเปลี่ยนแปลง”

ไป๋มู่ชิงยิ้มน้อยๆ อย่างไม่เป็นธรรมชาติ ไม่ได้พูดอะไร แต่กลับรู้สึกถึงความกดดันมากขึ้นในใจอย่างบอกไม่ถูก

เห็นคุณผู้หญิงมีความสุขขนาดนี้ เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลูกน้อยในครรภ์ของเธอ คุณผู้หญิงจะเป็นยังไง คงจะโกรธจนอยากจะฆ่าเธอทิ้ง?

ถุย เธอคิดอะไรอยู่เนี่ย? ทำไมถึงได้คิดอะไรที่ไม่เป็นมงคลขนาดนี้?

ลูกจะไม่เป็นอะไร ต้องไม่เป็นอะไร!

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท