เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 139 การโกหกหลอกลวงก็คือการโกหกหลอกลวง

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ด้วยวิธีการปฏิบัติกับตระกูลไป๋ของหนานกงเฉิน ทำให้เธอจินตนาการได้ว่าจุดจบของหลินอันหนานก็คงไม่ดีเช่นกัน

แท้ที่จริงแล้วเธอยังคงเป็นห่วงหลินอันหนาน ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนจะเกลียดเขาเข้ากระดูก แต่ถึงยังไงเขาก็เป็นคนช่วยเธอออกมาจากเงื้อมมือของซูวยาหยง ช่วงนี้เขาก็กลับเนื้อกลับตัวใหม่ เอาใจใส่เธออย่างใกล้ชิด

ขอเพียงหวังว่าเขาจะเห็นแก่คุณนายหลิน ในฐานะที่เป็นป้าแท้ๆของเขา จะเบามือกับหลินอันหนานบ้าง !

ขณะที่เธอกำลังคิดไปเรื่อยเปื่อย จนไม่รู้ตัวเลยว่ารถได้หยุดลงตั้งแต่เมื่อไหร่

ไป๋มู่ชิงตกตะลึง จากนั้นเอนหลังพิงหน้าต่างกระจกและมองไปที่ทิวทัศน์ด้านนอก

ที่นี่ดูคุ้นเคย แต่ดูเหมือนว่าก่อนหน้านี้จะไม่เคยมาเลยแม้เพียงสักครั้ง เมื่อลองมองทิวทัศน์ไกลๆอีกครั้ง ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็นึกขึ้นได้ว่าที่นี้คือสวนหลังบ้านของตระกูลหนานกงนั่นเอง

เมื่อครูหนานกงเฉินไม่ได้เข้าทางประตูหน้า แต่กลับพาเธอเข้าทางหลังบ้านโดยตรง

สวนหลังบ้านของตระกูลหนานกงนั้นใหญ่เกินกว่าจะเดินได้ทั่ว และผู้คนจากตระกูลหนานกงก็ไม่ปล่อยให้เธอไปไหนโดยพลการ เธอจึงรู้สึกว่ามันแปลก แค่เธอไม่เข้าใจว่าทำไมหนานกงเฉินถึงพาเธอมาที่นี่อย่างกะทันหัน เธอจะถูกขังไว้ที่นี่เพื่อรอความตายจริงๆเหรอ?

เมื่อแสงไฟข้างหน้าเธอมืดลงและประตูรถถูกเปิดออกจากด้านนอก ไป๋มู่ชิงไม่ทันได้ยกศีรษะขึ้นทำให้เธอล้มลงไปกับพื้น โชคยังดีที่พื้นเป็นพื้นหญ้า ล้มลงไปจึงไม่รู้สึกเจ็บเท่าไหร่นัก

วินาทีต่อมาหนานกงเฉินจับเธอขึ้นจากพื้นอีกครั้ง ลากข้อมือของเธอแล้วเดินไปทางด้านขวา

ไป๋มู่ชิงถูกเขาลากออกไปตลอดทางและถามอย่างโกรธ ๆว่า “หนานกงเฉิน คุณจะทำอะไรคุณปล่อยฉันไปเถอะนะ … ”

หนานกงเฉินปล่อยเธอตามที่ขอร้อง เพียงแต่เป็นการเหวี่ยงเธอลงกับพื้น ร่างของไป๋มู่ชิงล้มลง ศีรษะเกือบไปกระแทกเข้ากับก้อนหินที่วางอยู่ด้านข้าง

เธอรีบลุกขึ้นจากพื้น เอาตัวแอบซ่อนอยู่หลังก้อนหินและจ้องมองเขาด้วยความตื่นตระหนก

ถ้าหนานกงเฉินหยิบปืนออกมาและฆ่าเธอในป่ารกร้างแห่งนี้เธอจะไม่แปลกใจเลย ด้วยความโกรธของหนานกงเฉินในเวลานี้นั้น ฉันทำอะไรไม่ได้สักอย่างเลยเหรอ

“ รู้ไหมวันนี้เป็นวันอะไร?” หนานกงเฉินจ้องมองเธออย่างไม่วางตา ดวงตาของเขาเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดสักพักและในที่สุดก็ส่ายหัว

เธอไม่รู้ เธอไม่รู้จริงๆ!

หนานกงเฉินโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ลากเธอออกไปจากหินโดยไม่สนใจเสียงร้องที่เจ็บปวดของเธอและชี้ไปที่ป้ายหินตรงหน้า”ไม่รู้งั้นเหรอ เธอดูซะให้เต็มตา”

ไป๋มู่ชิงถูกบังคับให้เผชิญหน้ากับหลุมฝังศพขนาดเล็ก ซึ่งดูเหมือนหลุมฝังศพขนาดเล็กที่เพิ่งสร้างขึ้น เหนือหลุมฝังศพมีรูปถ่ายของทารกน้อย

ทันทีที่เธอเห็นหลุมฝังศพใหม่นี้และรูปถ่ายทารกบนหลุมฝังศพ ไป๋มู่ชิงก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น เธอยกมือขึ้นปิดปากน้ำตาไหลพรากออกมาจากดวงตาของเธอ

เด็กคนนี้ … เธอยังไม่รู้ว่าเขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตัวเองหรือเปล่า เป็นครั้งแรกที่เธอได้เห็นเขา

ไม่ว่าเขาจะใช่ลูกที่เธอคลอดมาเองหรือไม่ ในฐานะคนเป็นแม่ เธอได้เห็นคนที่เด็กขนาดนี้ถูกแขวนไว้บนป้ายหลุมศพ อย่างไรก็ต้องรู้สึกเจ็บปวด

เธอคุกเข่าอยู่หน้าหลุมฝังศพ ใช้มือเล็ก ๆ ปิดปากและคร่ำครวญ ในที่สุดก็รู้ว่าทำไม หนานกงเฉินถึงบังคับให้เธอสวมชุดสีดำในวันนี้และพาเธอมาที่นี่

เธอเงยหน้าขึ้นและจ้องไปที่หนานกงเฉินด้วยน้ำตาเป็นเวลานาน ก่อนที่จะพูดออกมาสามคำ “ฉันขอโทษ … ”

หนานกงเฉินคุกเข่าข้างหนึ่งพลางจับไหล่ของเธอด้วยมือทั้งสองข้าง และบังคับให้เธอหันกลับมา จ้องมองเธอ กัดฟันแล้วพูดว่า “เธอยังจะมีหน้ามาขอโทษอีกเหรอ ตอนแรกเธอเสแสร้งทำเป็นว่ารักเขามาก ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็จะคลอดออกมาให้ได้ แต่ในความเป็นจริงน่ะเหรอ ความเป็นจริงเธอกลับใช้เขาเป็นเครื่องมือ ใช้เป็นเครื่องมือเพื่อให้ไป๋ยิ่งอันเข้ามาในตระกูลหนานกง สุดท้ายแผนการของพวกเธอก็สำเร็จ และยังทำให้เขาตายอีก ในฐานะที่เป็นแม่ ทำไมเธอถึงเลือดเย็นทำกับลูกตัวเองแบบนี้ได้ลงคอ เธอไม่กลัวจะตกนรกตลอดชีวิตหรือไง เธอ….

“ไม่ … !” ไป๋มู่ชิงขัดจังหวะเขา ร้องไห้อย่างขมขื่นและส่ายหัว “ฉันเปล่านะ ฉันรักเขาจริงๆ ฉันไม่ได้ใช้เขาเป็นเครื่องมือ … ฉันไม่เคยคิดจะใช้เขาเป็นเครื่องมือเลยด้วยซ้ำ … ”

“คำโกหกหลอกลวงแบบนี้ ลองพูดกับเขาสิ ดูซิว่าเขาจะให้อภัยไหม!” หนานกงเฉิน ผลักอย่างแรง ทำให้เธอหันหน้าไปทางหลุมฝังศพขนาดเล็กอีกครั้ง

ไป๋มู่ชิงก้าวไปข้างหน้าด้วยมือและเท้าทั้งสองข้าง จับหลุมฝังศพและร้องไห้อย่างขมขื่น “ขอโทษ ลูกแม่ แม่ไม่ได้ตั้งใจ แม่ถูกบังคับ ขอร้องล่ะยกโทษให้แม่ด้วย ขอโทษ … ”

เธอใช้หลังมือสัมผัสน้ำตาบนใบหน้าไปมาพลางร้องไห้ด้วยความเสียใจ

แม้ว่าตัวเธอเองจะถูกบังคับให้ทำก็ตาม แต่ลูกก็ต้องมาตายเพราะพวกเธอและเธอเองก็มีส่วนในการก่อให้เกิดบาปนี้ด้วย!

เสียงร้องไห้และคำขอโทษของเธอดังก้องในหูของหนานกงเฉิน เขาจึงขัดจังหวะเธออย่างรู้สึกรำคาญ “พอแล้ว อย่ามาเสแสร้งที่นี่ เพราะมันล้างบาปของเธอไม่ได้แม้แต่นิดเดียว !”

“นายน้อยเฉิน” ไป๋มู่ชิงหันมาหาเขาอย่างรวดเร็วพลางจับขากางเกงของเขาและร้องไห้อย่างขมขื่น “ฉันถูกบังคับจริงๆ ทำไมคุณไม่ยอมเชื่อฉันและปล่อยฉันไป คุณฉลาดมากขนาดนั้น ทุกอย่างอยู่ในมือของคุณ คุณควรจะรู้ว่าฉันถูกบังคับ ”

“ไม่ใช่ว่าฉันไม่เชื่อคำพูดของเธอ แต่ … ” หนานกงเฉินโน้มตัวและดึงฝ่ามือออกจากขาของเธอ”ฉันพูดไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แม้ว่าเธอจะโดนเอามีดจ่ออยู่ที่คอ การโกหกหลอกลวงก็คือการโกหกหลอกลวง เป็นความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ”

ไป๋มู่ชิงจ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า เพราะรู้ว่าเขาคิดอย่างนั้นจริงๆ

ผู้ชายที่แข็งแกร่งอย่างเขาจะสนใจเธอที่ถูกซวีหยาหรงสองแม่ลูกบังคับหรือไม่ ต่อให้เวลาสามวันสามคืนในการให้เธออธิบาย ยังไงซะมันก็ไม่มีประโยชน์

“ ถ้าอย่างนั้นคุณต้องการให้ฉันทำอะไร คุณถึงจะยอมปล่อยครอบครัวของฉันไป” เธอส่ายหัว“ คุณฆ่าพ่อของฉันและยึดบริษัทของเขา แค่นั้นยังไม่สะใจอีกเหรอ ต้องทำร้ายเด็กที่ไร้เดียงสาเช่นเสี่ยวอี้อีก คุณพอใจหรือยัง ”

“เธอช่วยทำความเข้าใจใหม่นะ” หนานกงเฉินยังคงต่อว่าเธอ “การหนีภาษีของพ่อเธอไม่ใช่สิ่งที่ฉันขอให้เขาทำลูกค้าของเขามีสิทธิ์เลือกบริษัทที่จะร่วมมือด้วย แม้ว่าฉันจะไม่ซื้อเขาก็ตาม บริษัทก็จะตกเป็นของคนอื่นในท้ายที่สุด เขาต้องเผชิญกับคุกยี่สิบปี เขาเริ่มกลัวความรู้สึกผิดของตัวเอง เขาจึงฆ่าตัวตายด้วยการกระโดดลงจากตึก

เขาหัวเราะเยาะ “ไม่งั้นเธอคิดว่าทำไมเขาถึงกระโดดตึกล่ะ คนเห็นแก่ตัวแบบนั้นจะยอมกระโดดลงมาเพื่อเธองั้นเหรอ?”

“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณ ทำไมเขาถึงโดนตรวจสอบบัญชีภาษีล่ะ” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างโกรธ ๆ ถ้าเขาไม่ได้ซื้อหุ้นของบริษัทไป๋กรุ๊ปเป็นจำนวนมาก ตระกูลไป๋จะกลายเป็นของเขาได้อย่างไร?

“ถูกต้อง ฉันขอให้คนเก็บภาษีดูเรื่องภาษีของบริษัทเป็นพิเศษ แต่ถ้าเขาไม่หนีภาษาก่อนเอง จะกลัวโดนตรวจสอบไปทำไมล่ะ”หนานกงเฉินหยุดการสนทนาทันทีพลางลูบคิ้วของเขา”จริงๆเลย … ทำไมฉันต้องบอกเรื่องพวกนี้กับเธอด้วยนะ ตระกูลไป๋พังพินาศด้วยฝีมือฉัน ไป๋จิ้งผิงก็ฆ่าตัวตายเพราะฉันบีบบังคับ ซวีหยาหรงก็โดนฉันทำให้เข้าคุก แล้วยังไง นี่มันไม่ใช่ทำอะไรก็ได้อย่างนั้นเหรอ ? ”

ซวีหยาหรงสมควรได้รับโทษ เรื่องนี้ไป๋มูชิงรู้อยู่เต็มอก เธอไม่สนใจหรอกว่าจะมีจุดจบอย่างไร สำหรับเธอในตอนนี้นั้นขอเพียงแค่เสี่ยวอี้แข็งแรงและอิสระของเธอเพียงเท่านั้น

“งั้นคุณบอกฉันมาสิ ตอนนี้เสียวอี้อยู่ที่ไหน เขายังสบายดีหรือเปล่า” หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง เธอถามเขา

แต่หนานกงเฉินกลับไม่สนใจเธอ แต่เดินไปที่หลุมฝังศพขนาดเล็กแล้วนั่งยองๆและจุดธูป

“ วันนี้เป็นเวลาหนึ่งเดือนหลังจากที่ลูกชายของเราจากไป แต่ในใจของเธอกลับมีแค่เสี่ยวอี้ใช่ไหม?” น้ำเสียงของเขาเย็นชาและผิดหวัง

“ฉัน … ” ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก

เธอรู้สึกเพียงว่าผู้คนไม่สามารถกลับมาจากความตายได้ และตอนนี้เธอห่วงใยผู้คนที่ยังมีชีวิตอยู่

“เอาล่ะ ถ้าคุณร้องไห้และเช็ดน้ำตาที่หลุมฝังศพของลูกเหมือนเมื่อกี้ มันจะยิ่งทำให้ดูปลอมและน่าขันยิ่งกว่า” หนานกงเฉินหันศีรษะและหัวเราะเยาะเย้ยเธอ”นี่ต่างหากคือเธอ คุณหนูรองตระกูลไป๋ผู้มีจิตใจโหดเหี้ยม!”

หลังจากพูดจบเขาก็ก้าวไปยังรถ

ไป๋มู่ชิงมองไปที่ด้านหลังของเขา น้ำตาคลอเบ้า จนหนานกงเฉินหันหน้ามาและพูดใส่เธอสองคำ”ขึ้นรถ”

เธอเหลือบมองไปที่หลุมฝังศพของลูกเป็นครั้งสุดท้าย และลุกขึ้นจากพื้น เดินไปที่รถ

ไป๋ยิ่งอันเดินออกจากบ้านของเหอหลิงและเดินไปที่ประตูหน้าหมู่บ้านด้วยความสิ้นหวัง

จิตใจของเธอสะท้อนสิ่งที่เหอหลิงเพิ่งพูดกับเธอเมื่อครู่ เหอหลิงพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาและทำอะไรไม่ถูก”พี่ ไม่ใช่ว่าบ้านของเราไม่ต้อนรับพี่นะ แต่ต้อนรับไม่ได้ เลขาของหนานกงเฉินเคยพูดไว้ว่าใครที่ยอมให้คุณมาอยู่ด้วย จุดจบจะไม่ต่างจากตะกูลไป๋ ”

เหอหลิงรู้สึกเสียใจกับเธอ จึงวิ่งกลับไปที่บ้านและหยิบธนบัตรออกมาให้เธอ ยัดใส่มือแล้วพูดว่า พี่ พี่เอาเงินนี้ไปเช่าห้องอยู่นะ แล้วทำงานหาเงิน ใช้ชีวิตดีๆนะ”

เหอหลิงเป็นลูกพี่ลูกน้องของเธอเอง ส่วนแม่ของเหอหลิงก็เป็นป้าของเธอ ยังหลีกเลี่ยงเธอกันหมด แล้วใครจะกล้าต้อนรับเธอล่ะ?

เงินที่พ่อเคยทิ้งไว้ให้สามล้าน เธอก็ใช่้หมดแล้ว แม้แต่หน้าสักครั้งเธอก็ไม่ได้เจอ นับประสาอะไรกับเธอ

กลายเป็นว่านี่เป็นการลงโทษเธอของหนานกงเฉิน ดังที่เขากล่าวว่าการมีชีวิตอยู่มันเจ็บปวดยิ่งกว่าการตาย

เธอยกมือขึ้นเช็ดน้ำตา กำธนบัตรในมือแล้วรีบออกจากชุมชนที่เหอหลิงอยู่

ทันทีที่เธอเดินออกจากประตูชุมชนเธอก็เห็นผู่เหลียนเหยาอยู่ข้างรถสีแดงโดยไม่คาดคิดขณะนี้ผู่เหลียนเหยาได้รับการรักษาและออกจากโรงพยาบาลแล้ว แต่เธอยังคงอยู่ในสภาพที่ขายังใส่เฝือกอยู่และเธอนั่งอยู่บนรถเข็น

หากเปลี่ยนเป็นสัปดาห์ที่แล้ว ไป๋ยิ่งอันอาจจะทำให้เธออับอาย แต่วันนี้แตกต่างออกไปคนที่อับอายและไม่กล้าสู้หน้าผู้คนกลับเป็นเธอเอง และผู่เหลียนเหยาก็ดูตั้งใจที่จะดักรอเจอเธอที่นี่

เธอก้าวเท้าหมุนตัว เสแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเธอแล้วเลี้ยวไปอีกทาง

“ พี่สะใภ้” ผู่เหลียนเหยาเรียกเธอ

ด้วยความสิ้นหวังเธอต้องหันกลับมาและผู่เหลียนเหยาก็ยิ้มเล็กน้อย “เหลียนเหยา เธอมาทำอะไรที่นี่”

“ฉันมาที่นี่เพื่อเดินเล่นน่ะ ” ผู่เหลียนเหยาเข็นรถเข็นของเธอเพื่อไปหาเธอและมองเธอด้วยความกังวล “ฉันได้ยินมาว่าคุณกับพี่ฉันกำลังหย่าร้างกัน เป็นอะไรไปพี่ฉันกลั่นแกล้งเธอเหรอ?”

“ไม่มีอะไร”

“ ไม่มีอะไรแปลว่าอะไร หรือพวกเขาหลอกฉัน คุณกับพี่ก็ยังดีๆกันอยู่ไม่ใช่เหรอ ” ผู่เหลียนเหยาเดินเข้ามาหาเธอทีละน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็มืดมนทีละน้อย

ไป๋ยิ่งอันมองไปที่รอยยิ้มที่มุ่งร้ายบนใบหน้าของเธอและมองไปที่เธออีกครั้ง”เธอความจำเสื่อมไม่ใช่เหรอ?”

“ไม่” ผู่เหลียนเหยากางฝ่ามือออก: “ฉันจะความจำเสื่อมได้ยังไง ครั้งที่แล้วฉันแกล้งเธอครั้งสุดท้าย ฉันจะลืมทริปเมืองหลิวที่แสนวิเศษแบบนี้ได้ยังไง”

ที่แท้ก็เสแสร้ง !

ไป๋ยิ่งอันกัดฟันแน่น ไม่แปลกใจที่มาที่นี่เพื่อดักรอเธอ เธอเงียบไปสักครู่ และมองลงไปที่ขาที่หักทั้งสองข้างพลางพูดว่า: “ฉันได้ยินมาว่าขาของเธอจะไม่กลับมาดีอีกต่อไปแล้ว ไม่จริงใช่ไหม”

ยังไงซะเธอก็พ่ายแพ้แล้ว เธอเหลือเพียงการใช้วิธีนี้เอาคืนเท่านั้น

แน่นอนว่าเมื่อพูดแบบนี้ สีหน้าของผู่เหลียนเหยาก็เปลี่ยนไป แต่เธอก็กลับมาเป็นปกติในทันทีและยิ้มให้เธอ “ไม่เป็นไร ตราบใดที่เซิ่งเคอไม่รังเกียจก็พอแล้ว คุณย่าปลอบฉันว่าต่อไปจะให้คนรับใช้ฉันอีกสองคน ไม่ให้ฉันต้องลำบากเพราะขาสองข้างนี้แน่นอน ”

“คุณล่ะ พี่สะใภ้” ผู่เหลียนเหยาหยุดและรอยยิ้มบนใบหน้าของเธอก็กว้างขึ้น “บ้านแตกแล้ว บ้านหนานกงก็กลับไปไม่ได้ แบบนี้จะทำยังไงดีล่ะ?”

เธอมาที่นี่จงใจมาเพื่อหัวเราะเยาะเย้ย ไป๋ยิ่งอันกำมือแน่น ตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ก็ยังดีกว่าพิการเป็นง่อย”

กลังจากพูดจบ ก็เดินออกไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครได้พูดจาถากถางเธออีก

เดินออกมาได้เพียงแค่สองก้าว ไป๋ยิ่งอันชะงักฝีเท้า หันกลับมาจ้องเธอ: “ฉันสงสัยจริงๆว่าคุณหนูผู่ทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร เพียงแค่เพราะเอาใจหนานกงเฉิน หรือมีจุดประสงค์อื่นที่บอกใครไม่ได้หรือเปล่า?”

เธอสงสัยเกี่ยวกับคำถามนี้มาตลอด และในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะถามมันออกไป

ถึงแม้จะรู้ดีว่าผู่เหลียนเหยาคงจะไม่บอกความจริงกับเธอ แต่ถ้าหากวันนี้ไม่ได้ถามล่ะก็ อีกหน่อยก็คงจะไม่มีโอกาสได้ถามอีกแล้ว

ผู่เหลียนเหยามองไปที่เธอแล้วยิ้มเล็กน้อย “แล้วคุณคิดว่าฉันควรทำยังไง มองดูพวกเธอสองพี่น้องปั่นหัวคุณชายเฉินเฉยๆงั้นเหรอ รู้ไว้ซะว่าฉันเป็นคู่หมั้นของเซิ่งเคอ ครึ่งหนึ่งยังเป็นตระกุลหนานกง การปกป้องตระกูลหนานกงไม่ใช่แค่เป็นความรบผิดชอบของเซ่งเคอแต่เป็นของฉันด้วย”

“เหอะเพราะแค่เหตุผลนี้น่ะเหรอ ฉันไม่เชื่อหรอก” ไป่หยิงอันดูหมิ่น

“ ฉันไม่ต้องการให้คุณเชื่อ”

“แต่ไม่ว่าจุดประสงค์ของเธอคืออะไร… ” ไป๋ยิ่งอันเหลือบมองลงไปที่ขาที่พิการของเธอพลางกล่าวอย่างเยาะเย้ย”ด้วยขาพิการทั้งสองข้างของเธอมันเป็นไปไม่ได้ที่จะบรรลุเป้าหมาย ดังนั้นอย่าดีใจเร็วเกินไปนักล่ะ”

หลังจากพูดแล้วเธอก็หันหลังเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

ผู่เหลียนเหยามองไปที่เธอ แต่ไม่มีร่องรอยของความโกรธเลย มุมปากของเธอโค้งงอเผยให้เห็นรอยยิ้มเล็กน้อย

ไม่มีข่าวจากใดๆจากหนานกงเฉินมาหลายวันแล้ว ไป๋มู่ชิงยังคงถูกขังอยู่ในคฤหาสน์หลังเล็ก ๆ แห่งนี้ เธอเอาแต่นั่งเหม่อลอยคิดเพ้อเจ้ออยู่ทุกวัน

หนานกงเฉินมีท่าทีที่เด็ดขาดมาก เธอไม่กล้าคาดหวังให้เขาให้อภัยเธอ ปล่อยเธออกไป

สิ่งที่ทำให้เธอต้องทนทุกข์ทรมานคือไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีโทรศัพท์มือถือ ซึ่งหมายความว่าการติดต่อกับภายนอกถูกตัดขาดโดยสิ้นเชิง ยกเว้นครั้งเดียวที่ฉันเห็นข่าวว่าบริษัทไป๋กรุ๊ปถูกซื้อกิจการทางทีวี นอกนั้นฉันไม่เคยได้ยินข่าวใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้อีกเลย

เธอไม่มีโอกาสโทรหาเหยาเหม่ยและซูซี่

วันนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่รู้ที่เธอเอ่ยปากขอยืมโทรศัพท์จากยาม แต่ยากกลับปฏิเสธอย่างไม่รีรอเหมือนเช่นครั้งก่อนๆ

หมดหนทาง ไป่มู่ชิงทำได้แค่กลับเข้าในบ้านไป

มีเสียงรถดังขึ้นจากด้านหลังของเธอ เมื่อไป๋มู่ชิงหันกลับมา ก็เห็นรถเบนซ์คันหนึ่งขับมาจอด เธออึ้งไปสักพัก ในตอนแรกไม่รู้เลยว่าจะต้องรู้สึกดีใจหรือกังวล

ในที่สุดหนานกงเฉินก็มาพบเธอด้วยความเต็มใจ คงจะมีอะไรบางอย่างทำให้เขาโกรธขึ้นมาอีก ดังนั้นเมื่อเธอได้ยินเสียงรถ ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของเธอจึงเป็นคนตื่นตระหนก

รถเคลื่อนตัวมาหยุดอยู่ข้างๆเธอ เลขเหยียนเดินลงมาจากรถ

ไป๋มู่ชิงมองไปที่เบาะหลัง แต่ไม่เห็นเงาของหนานกงเฉิน

“ คุณชายเฉินไม่ได้มาที่นี่ในวันนี้” เลขาเหยียนเข้าใจอย่างชัดเจนว่าเธอกำลังมองหาอะไร

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าลดศีรษะลงอย่างเขินอายเมื่อหันหน้าไปทางเลขาเหยียน จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น จ้องไปที่เธออีกครั้งและถามว่า “เลขาเหยียนมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ”

เลขาเหยียนเดินไปที่ท้ายรถหยิบกระเป๋าใบใหญ่ออกมาและพูดว่า “ในนี้มีเสื้อผ้าและของใช้ในชีวิตประจำวันอยู่ มีไม่เยอะแต่คุณน่าจะพอใช้”

ไป๋มู่ชิงมองไปที่กระเป๋าใบใหญ่ในมือของเธอและถามว่า “คุณชายเฉินเป็นคนส่งมาหรือเปล่าคะ?”

เลขาเหยียนมองไปที่เธอแล้วส่ายหัว “ไม่”

เธอรู้ดีว่าเป้นไปไม่ได้ที่หนานกงเฉินจะให้เลขาเหยียนส่งของมาให้ หนานกงเฉินเกลียดเธอขนาดนั้น จะสนใจเหรอว่าเธอจะอยู่หรือตาย?

“ขอบคุณค่ะ” เธอเดินขึ้นรับกระเป๋าใบใหญ่จากเลขาเหยียนและพูดหลังจากลังเลไปครู่หนึ่ง”เลขาเหยียน คุณช่วยอะไรฉันสักอย่างได้ไหม”

“ เข้าไปก่อนแล้วค่อยคุยกัน” เลขาเหยียนเดินนำเข้าบ้านไปก่อน

ทั้งสองเข้ามาในบ้านด้วยกัน ไป๋มู่ชิงรินน้ำวางไว้ตรงหน้าเธอพลางจ้องมองเธอด้วยดวงตาแดงก่ำ”ฉันรู้ว่าคนที่สามารถคุยกับหนานกงเฉินได้ นอกจากคุณผู้หญิง ก็คือคุณ ดังนั้นฉันจึงอยากขอให้คุณช่วยอะไรฉันหน่อย ”

“คุณต้องการให้ฉันช่วยขอร้องคุณชายเฉินให้ปล่อยคุณไปใช่ไหม”

“ไม่ ฉันไม่คาดหวังว่าเขาจะปล่อยฉันไป” ไป๋มู่ชิงส่ายหัว “ฉันแค่หวังว่าเขาจะปล่อยน้องชายและแม่ของฉัน ฉันทำเรื่องนี้คนเดียวก็ควรรับผิดชอบคนเดียว … หวังว่าเขาจะไม่ทำร้ายคนบริสุทธิ์ เสี่ยวอี้ ..เสี่ยวอี้ร่างกายไม่แข็งแรง ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาให้ทันเวลาล่ะก็…. ”

เธอไม่สามารถบอกผลที่จะตามมาได้ เมื่อเธอกะพริบตา หยดน้ำตาก็ไหลรินออกมา

เลขาเหยียนมองไปที่ดวงตาที่เต็มไปด้วยน้ำตาของเธอและยิ้มอย่างช่วยไม่ได้”คุณหนูไป๋คุณดูถูกฉันเกินไปแล้วนะคะ ความสัมพันธ์ของฉันกับคุณชายเฉินไม่ได้ดีขนาดนั้นหรอกค่ะ”

“ แต่ไม่มีใครช่วยฉันได้นอกจากคุณ”

“ เมื่อตอนที่คุณกับไป๋ยิ่งอันร่วมมือกับทำเรื่องนี้ ก็คงพอจะนึกถึงผลลัพธ์ออกอยู่แล้วใช่ไหม?”

“ขอโทษด้วย ฉันถูกบังคับ ถูกพวกไป๋ยิ่งอันบังคับให้ทำ”

“คำพูดนี้คุณควรจะบอกกับคุณชายเฉิน พูดกับฉันไปก็ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ”

“ฉันเคยพูดไปแล้ว แต่คุณชายเฉินบอกว่าไม่ว่าเหตุผลจะเป็นอย่างไรเขาก็จะไม่ยกโทษให้ฉัน” ไป๋มู่ชิงดูทำอะไรไม่ถูก “ที่จริงฉันแค่หวังว่าเขาจะปล่อยเสี่ยวอี้ และจะไม่ขออะไรอีกเลย”

“คุณชายเฉินมีนิสัยแบบนี้แหละค่ะ ใครกล่อมก็ไม่มีประโยชน์ ยังไงซะรอให้เขาให้โกรธก่อนดีกว่า”เลขาเหยียนแสดงออกว่าเธอเองก็ช่วยอะไรไม่ได้เช่นกัน

“รอให้เขาให้โกรธ คงจะไม่มีทางเป็นไปได้ตลอดไปใช่ไหมคะ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกผิดหวัง เมื่อตอนที่เห็นเลขาเหยียนเมื่อครู่ ในใจของเธอราวกับว่าในใจมีความหวังขึ้นมา ไม่คิดว่าความคาดหวังจะแปรเปลี่ยนเป็นความผิดหวังได้เร็วเพียงนี้

เมื่อเห็นความผิดหวังบนใบหน้าของเธอเลขาเหยียนก็ส่ายหัวและพูดว่า “นั่นไม่จำเป็นถึงแม้คุณจะทำเรื่องที่โหดร้ายกับคุณชายเฉิน แต่ความรู้สึกที่เขามีต่อคุณกลับไม่เคยหายไปเลย”

ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นอีกครั้งและมองเธอด้วยความประหลาดใจ

ผู้ช่วยเหยียนกล่าวต่ออีกว่า “ในเรื่องนี้ยกเว้นหลินอันหนานซึ่งเป็นญาติของตระกูลหนานกง คนอื่นๆไม่มีใครที่จะมีจุดจบที่ดี ยกเว้นคุณ”

“ยกเว้นฉัน?” ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างขมขื่น: “จุดจบของฉันยังไม่น่าสังเวชพองั้นเหรอ?”

“ อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ปฏิบัติต่อคุณอย่างไร้ความปราณีเหมือนไป๋ยิ่งอัน เขาไม่ได้ให้รางวัลเธอด้วยผู้ชายที่แข็งแกร่ง เขาไม่ได้บังคับให้คุณหมดหนทางและสิ้นหวัง”

ไป๋มู่ชิงมองเธออย่างงงงวยและถามว่า “อะไรคือผู้ชายที่แข็งแกร่ง?”

“ คืนนั้นคุณชายเฉินถูกไป๋ยิ่งอันวางยา คุณชายชายเฉินไม่อยู่บ้านกลับมอบผู้ชายคนหนึ่งให้กับเธอ จากนั้นไปหาคุณที่อพาร์ทเม้นท์ คุณนะจะรู้นะว่าเพราะอะไร?” เลขาเหยียนกล่าว

ไป๋มู่ชิงนึกถึงหนานกงเฉินในคืนนั้นที่แท้เขาก็โดนวางยานี่เอง ถึงว่าเขากินเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนั้นอย่างบ้าคลั่ง

ที่แท้ … ตอนนั้นเขารู้ความลับระหว่างเธอกับไป๋ยิ่งอันจริงๆ แต่เธอก็ยังเสแสร้งและปกปิดเธอรู้สึกอับอายมากเมื่อนึกถึงพฤติกรรมต่างๆของเธอต่อหน้าเขา

“แม้ว่าคุณชายเฉินจะปฏิเสธที่จะยอมรับ แต่ฉันก็เห็นได้ว่าเขายังคงห่วงใยคุณไม่เช่นนั้นเขาจะไม่เก็บคุณไว้ที่นี่ ฉันคิดว่าตอนนี้เขาทั้งรักและเกลียดคุณ ไม่รู้ว่าจะจัดการยังไงกับคุณ “เลขาเหยียนกล่าว

เลขาเหยียนพูดอย่างจริงจัง แต่ไป๋มู่ชิงไม่อยากจะเชื่อ เธอไม่เชื่อว่าหนานกงเฉินจะห่วงใยเธอแม้ว่าจะเกิดเรื่องนี้ขึ้น

หลังจากนั้นไม่นานเธอก็หายใจเบา ๆ และพูดว่า “คุณกำลังจะบอกอะไรกับฉัน”

เลขาเหยียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าวว่า “ที่จริงแล้วจุดประสงค์ของฉันนั้นง่ายมาก ฉันหวังว่าคุณจะไม่ทำร้ายคุณชายเฉินอีก เขาไม่เคยขอโทษคุณ คุณเป็นอีกคนที่อยู่ในใจของเขารองจากคุณหนูจู ดังนั้นถึงคุณจะไม่สามารถรักเขาได้แต่ก็อย่าทำร้ายเขาแบบนี้เลย ”

“ฉันขอโทษ … ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ไป๋มู่ชิงกระซิบอย่างรู้สึกผิด “แต่ไม่ต้องกังวลฉันจะไม่สามารถทำร้ายเขาได้อีกต่อไป”

“นั่นไม่จำเป็นเสมอไป”

“ฉันรู้ว่าฉันเลว และไม่น่าให้อภัย แต่ฉันมีความยากลำบากและทำอะไรไม่ถูก ฉันหวังว่า คุณชายเฉินจะให้อภัยฉัน ฉันไม่คาดหวังว่าเขาจะทำให้ฉันเป็นที่หนึ่ง ฉันแค่ขอให้เขาไม่เกลียดฉันหรือทำร้ายฉันกับครอบครัวก็พอแล้ว ”

จากก้นบึ้งของหัวใจทำไมเธอไม่เก็บเขาไว้ในใจเสมอ

แค่ว่าความสัมพันธ์นี้ไม่ควรงอกเงยตั้งแต่แรก เพราะมันไม่ได้เป็นของเธอตั้งแต่แรก

“ฉันขอตัวก่อนนะ” เลขาเหยียนลุกขึ้นจากโซฟา: “คุณทำตัวดีๆล่ะ”

“เลขาเหยียนได้โปรดช่วยฉันกล่อมเขาทีนะคะ” ไป๋มู่ชิงเดินตามขึ้นมาจากโซฟา

เลขาเหยียนจ้องมองเธอโดยไม่พูดอะไรเป็นเวลานาน จ้องมองเธออย่างไม่สบายใจ

ในท้ายที่สุดก็ไม่เห็นด้วยกับเธอหันหลังและออกจากคฤหาสน์ไป

เมื่อใกล้เลิกงานในตอนเที่ยงเลขาเหยียนเดินเข้าไปในห้องทำงานของหนานกงเฉิน และเตือนเขาว่า “คุณชายเฉิน สายแล้ว คุณควรกลับได้แล้วค่ะ”

หนานกงเฉิยเงยหน้าขึ้นจากงานและพูดกับเธอว่า”คุณส่งฉันกลับ”

เลขาเหยียนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่พยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ค่ะ”

เมื่อรถขับออกจากตึกบริษัทหนานกงกรุ๊ป จู่ๆหนานกงเฉินที่เบาะหลังก็ถามอย่างเฉยเมยว่า “ฉันได้ยินมาว่าคุณไปหาเธองั้นเหรอ?”

เลขาเหยียนเดาว่าเขาจะถามไม่ช้าก็เร็ว เธอเหลือบมองเขาในกระจกมองหลังขณะที่เขากำลังหลับตาและพยักหน้า “ใช่ค่ะ ฉันให้สิ่งของจำเป็นในชีวิตประจำวันแก่เธอ”

“ เหยียนเยว่!”

“คุณชายเฉิน ฉันผิดไปแล้ว” เลขาเหยียนพูดอย่างรีบร้อน “ที่จริงฉัน … ”

“เมื่อไหร่ที่คุณยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวของฉัน”หนานกงเฉินไม่พอใจอย่างยิ่ง

“ฉันขอโทษ ฉัน … ฉันแค่คิดว่าตั้งแต่คุณชายเฉินมีความรู้สึกกับเธอ ก็ควรจะปล่อยปมในใจและทำความเข้าใจกันให้เร็วที่สุด”

“ เธอผิดแล้ว ไม่มีการเข้าใจผิดอะไรทั้งนั้น”

“ ในเมื่อคุณชายเฉินรู้ว่ารู้ว่าเธอไม่มีทางเลือก ทำไมยังจะทำแบบนั้นล่ะคะ คุณบังคับให้เธอหมดหนทางสู้แล้วคุณมีความสุขจริงๆเหรอ ฉันไม่เห็นว่าคุณจะดูมีความสุขบ้างเลยแม้แต่น้อย”

“ฉันจะบอกให้นะว่าการหลอกลวงก็คือการหลอกลวง การหลอกลวงไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามไม่เพียงพอที่จะให้อภัย สำหรับอาชญากรรมที่เธอก่อ ดังนั้น … ” น้ำเสียงของ หนานกงเฉินเย็นลงและกล่าวว่า”เลขาเหยียน ถ้าคุณยังอยากทำงานที่บริษัทนี้ต่อล่ะก็ทางที่ดีควรระวังการกระทำไว้หน่อยนะ ”

“ค่ะ ฉันทราบแล้ว” เลขาเหยียนก้มศีรษะลง

เมื่อรถจอดในคฤหาสน์หนานกงหนานกงเฉินพูดกับเลขาเหยียนว่า “คุณกลับไปก่อน ฉันกินข้าวเสร็จจะขับรถกลับบริษัทเอง”

“ค่ะ ฝากทักทายคุณผู้หญิงแทนฉันด้วยนะคะ” เลขาเหยียนกล่าว

หนานกงเฉินเข้าไปในบ้าน ณ ห้องอาหารก็เริ่มรับประทานอาหารกันแล้ว เซ่งเคอ เซ่งซินและผู่เหลียนเหยาอยู่พร้อมหน้ากัน เมื่อเห็นเขาเข้ามา ผู่เหลียนเหยายิ้มและพูดว่า “คุณย่าเพิ่งถามถึง พี่ก็กลับมาเลย”

หนานกงเฉินเดินไปที่คุณผู้หญิงก้มลงกอดเธอและยิ้ม “คุณย่า สุขสันต์วันเกิดนะครับ”

“ดีๆ กลับมาคนเดียวเหรอ?”คุณผู้หญิงมองออกไปข้างนอก แต่กลับไม่เห็นเงาของไป๋ยิ่งอัน

“อืม ผมกลับมาจากบริษัทครับ” หลังจากที่หนานกงเฉินเดินเข้าไปในครัวและล้างมือแล้วเขาก็มานั่งลงข้างๆคุณผู้หญิง

ในระหว่างรับประทานอาหารคุณผู้หญิงก็พูดขึ้นว่า “ป้าของแก จะมาทานอาหารเย็นด้วย เฉิน อย่าลืมพายิ่งอันกลับมาด้วย”

หนานกงเฉินหยุดถือตะเกียบในมือและเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยรอยยิ้ม “คุณย่า คุณป้าและพวกเขาไม่ใช่คนนอก ไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นทางการขนาดนั้นหรอกมั้งครับ”

คุณผู้หญิงเงยหน้าขึ้นและจ้องมองเขาอย่างงง ๆ “เฉิน มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ ทุกคนมาพร้อมหน้ากันแล้วแต่ไม่มีเธอ อ้อใช่ ไป๋ยิ่งอันกำลังยุ่งงานอยู่หรือป่าว ไม่ได้กลับมากินข้าวนานแล้วนะ”

หนานกงเฉินยังคงเงียบ คุณผู้หญิงจึงถามอีกครั้ง: “เธอไม่อยากกลับมาเหรอ แกช่วยไปบอกเธอทีว่าถ้าไม่อยากกลับมา ก็เซ็นใบหย่าซะ ตระกูลไป๋จะชดใช้เงินให้ก้อนใหญ่”

ผู่เหลียนเหยามองไปที่หนานกงเฉิน จากนั้นก็ยิ้มให้คุณผู้หญิง “คุณย่า อย่าโกรธพี่เลยนะคะ พี่สะใภ้อาจจะกำลังเสียใจที่กับการจากไปของลูก ไม่อยากมองเห็นภาพที่ทำให้รู้สึกสะเทือนใจก็เลยไม่กลับมาค่ะ”

“ภาพที่ทำให้รู้สึกสะเทือนใจงั้นเหรอ ก็ทั้งหมดนี้เธอเป็นคนทำเองไม่ใช่หรือไง”

“เอาล่ะ คุณย่า ทานข้าวกันเถอะครับ” หนานกงเฉินปลอบโยนคุณผู้หญิงพลางคีบเนื้อปลาให้

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท