คุณชายเฉิน รอก่อน ซูซี่วิ่งออกมาจากห้องขวางเขาไว้ : “ฉันนึกออกแล้ว ไป๋มู่ชิงน่าจะไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเฉิงเป่ยค่ะ”
หนานกงเฉินขมวดคิ้วถาม: “ไปทำอะไรที่บ้านเด็กกำพร้า?”
“น่าจะเบื่องานเลี้ยงน่ะ” ซูซี่ตอบ “คุณก็รู้ว่ามู่ชิงเป็นคนชอบเด็ก ขี้ใจอ่อน ยิ่งเป็นเด็กในบ้านเด็กกำพร้ายิ่งแล้วใหญ่”
“ชอบเด็กเหรอ?” หนานกงเฉินอดไม่ได้ที่จะพูดเย้ย
ซูซี่พยักหน้า : “ใช่สิ………”
เธอยังไม่ทันพูดจบ หนานกงเฉินก็เหยียบคันเร่งขับรถออกจากบ้านตระกูลเฉียวแล้ว
ซูซี่ยืนมองรถจนลับสายตา ก่อนจะถอนหายใจแล้วเตรียมกลับเข้าบ้าน พอหันมาก็พบว่าเฉียวซือเหิงมายืนอยู่ด้านหลังเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“อาลัยอาวรณ์ขนาดนี้เลยเหรอ?” เฉียวซือเหิงพูดด้วยน้ำเสียงประชดประชัน
ซูซี่ปรายตายมองเขานิดหนึ่ง ก่อนจะทำหน้าไม่สนใจเดินเฉียดตัวเขาเข้าบ้านไป
ไป๋มู่ชิงรอจนเจ้าหน้าที่เดินออกไปเอาน้ำให้เธอ ก่อนจะรีบใช้กรรไกรตัดผมเด็กทารถเล็กน้อยแล้วเอากระทิชชู่ห่อไว้ ขณะที่เธอกำลังจะวางกรรไกรลงในกล่อง ก็ได้ยินเสียงเดินของเจ้าหน้าที่ดังมาจากทางประตูพอดี
เธอหันกลับมารับน้ำจากเจ้าหน้าที่พร้อมกล่าวขอบคุณ
ตามด้วยเจ้าหน้าที่อีกคนก็เดินเข้ามาและพูดกับไป๋มู่ชิงว่า:”นายหญิงน้อย คุณชายเฉินมารับค่ะ ท่านให้นายหญิงลงไปข้างล่างค่ะ”
“คุณชายเฉิน?” ไป๋มู่ชิงตกใจ รีบยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลา จะสามทุ่มแล้ว งานเลี้ยงบ้านตระกูลเฉียวก็น่าจะใกล้เลิกแล้ว!
ว่าแต่ทำไมหนานกงเฉินถึงรู้ว่าเธออยู่ที่นี่ล่ะ? แล้วนี่ยังมารับอีก
เธอไม่ทันได้คิดอะไรต่อ ก็รีบเดินตามเจ้าหน้าที่ลงไปด้านล่าง เธอได้ยินเสียงผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้าพูดด้วยน้ำเสียงยินดีและนอบน้อมแว่วมาไกลๆ: “เดี๋ยวนี้องค์กรที่ใจดีเช่นนี้มีน้อยนัก ดิฉันต้องขอบคุณแทนเด็กบ้านเด็กกำพร้าเป็นอย่างมากค่ะ ขอบคุณมากจริงๆ….”
ไป๋มู่ชิงได้ยินดังนั้นก็หน้าชาไปหมด เมื่อกี้เธอแค่ต้องการหาทางเข้ามาดูเด็ก จึงได้อ้างไปว่าหนานกงกรุ๊ปต้องการบริจาคเงินให้บ้านเด็กกำพร้า แต่มันไม่ใช่เรื่องจริงนะ!
เธอไม่กล้าก้าวออกไป สองมือเกาะผนังไว้ค่อยๆยื่นหน้าออกไปมอง เห็นสีหน้าหนานกงเฉินดูไม่ค่อยดีเท่าไหร่
เจอผู้อำนวยการพูดแบบนี้เข้าเขาจะไม่บริจาคก็ไม่ได้แล้ว องค์กรใหญ่ขนาดนี้บริจาคน้อยก็จะดูไม่ดี บริจาคมากก็……
งานนี้ เขาถูกเข้าใจผิด เธอเป็นคนทำให้เขาถูกเข้าใจผิดเอง
เธอไม่รู้จะแก้ไขเรื่องนี้ยังไง จนพบกับสายตาหนานกงเฉินที่มองมา เธอตกใจจนรีบหดตัวกลับ
ไป๋มู่ชิงรู้ว่าจะหลบแบบนี้ไปตลอดก็ไม่ได้ เธอจึงทำใจกล้าเดินออกมาพร้อมยิ้มกว้างไปหาผู้อำนวยการ: “ผอ.เหอคะ เมื่อกี้ฉันเข้าไปดูเด็กๆเห็นว่าเตียงเด็กๆเก่ามากแล้ว พวกเราตัดสินใจบริจาคเงินห้าหมื่นซื้อเตียงใหม่ให้เด็กๆผอ.ว่าดีมั้ยคะ?”
ผู้อำนวยการมองมาที่เธออย่างแปลกใจ ก่อนพูดเบาอย่างไม่รู้ตัว : “ห้าหมื่น?”
ใช่ค่ะ ประเมินว่าน่าจะห้าหมื่นพอมั้ยคะ ไป๋มู่ชิงปรายตามองหนานกงเฉินแวบหนึ่ง นึกในใจห้าหมื่นสำรับเขาแล้วเล็กน้อยมากๆแล้ว
ผู้อำนวยการอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะได้สติจึงรีบยิ้มพยักหน้าตอบ: “พอค่ะ ห้าหมื่นพอที่จะซื้อเตียงนอนให้เด็กๆแล้วค่ะ ขอบคุณพวกคุณมากจริงๆ”
เงินห้าหมื่นสำหรับหนานกงกรุ๊ปแล้วมันอาจจะดูน้อยมาก แต่สำหรับบ้านเด็กกำพร้าแล้วมันเป็นเงินก้อนใหญ่เลยล่ะ หลังจากตกใจไปเล็กน้อยผู้อำนวยการก็กลับมายิ้มดีใจอีกครั้ง
“ผอ.เหอ คุณฟังผิดแล้ว คือห้าล้าน ไม่ใช่ห้าหมื่น” หนานกงเฉินพูดขึ้น
ทำเอาทุกคนที่ยืนอยู่ตกใจกันใหญ่ รวมทั้งไป๋มู่ชิงด้วย ขณะที่เธอรู้สึกตกใจก็รู้สึกผิดปนไปด้วย เป็นเพราะเธอพูดอ้างแบบนั้น เลยทำให้เขาต้องมาเสียเงินถึงห้าล้าน คืนนี้กลับไปเธอต้องแย่แน่ๆ
เธอมองไปที่หนานกงเฉิน คงมีแต่เธอมั้งที่มองออกว่ารอยยิ้มของเขาแฝงด้วยความโมโหมากมาย
“ห้าล้าน?” กว่าผู้อำนวยการเหอจะได้สติก็พักใหญ่ จ้องมองไปที่หนานกงเฉินด้วยความเหลือเชื่อ
ห้าหมื่นอาจดูน้อยไปสำหรับถานะระดับเขา แต่ห้าล้านมันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ?
“ใช่ครับ ห้าล้าน พรุ่งนี้จะให้ผู้ช่วยดำเนินการเรื่องนี้ให้” หนานกงเฉินพูดเสร็จก็ยกแขนขึ้นโอบไหล่ไป๋มู่ชิง แล้วหันมาพูดกับผู้อำนวยการเหอ: “ดึกมากแล้ว พวกเราไม่รบกวนท่านผอ.เหอแล้วนะครับ”
“ไม่รบกวนไม่รบกวนเลย……” ผู้อำนวยการเหอรีบพูดขึ้น: “ดิฉันพาพวกคุณทั้งสองออกไปดีกว่าค่ะ”
ระหว่างที่พาพวกเขาออกมาเธอก็ยังกล่าวขอบคุณเขาทั้งสองไม่หยุด จนกระทั้งรถได้ขับออกไปจากประตูบ้านเด็กกำพร้า
รถขับออกมาได้พักหนึ่ง หนานกงเฉินยังไม่มีวี่แววจะระเบิดอารมณ์ใดๆ ไป๋มู่ชิงทนอึดอัดไม่ไหวหันไปมองเขาแวบหนึ่ง เห็นเขาเม้มปากแน่นเป็นเส้นตรง ตามองไปข้างหน้า ท่าทางตั้งหน้าตั้งตาขับรถ
เขาไม่ได้ต่อว่าเธอที่แอบหนีออกมาโดยไม่ได้บอกกล่าว และไม่ต่อว่าที่เธอทำให้เขาต้องมาเสียเงินตั้งห้าล้าน ยิ่งเขาไม่ต่อว่าอะไรเธอแบบนี้ไป๋มู่ชิงยิ่งรู้สึกกังวลใจมากขึ้น มันเหมือนคลื่นลมสงบก่อนพายุลูกใหญ่จะมา
เพื่อไม่ให้ตัวเองตายอนาถเกินไป เธอเริ่มเอ่ยปากขอให้เขายกโทษ : “คือฉัน….ตอนอยู่บ้านตระกูลเฉียวรู้สึกเบื่อไม่รู้จะทำอะไร เลยแอบหนีออกมา ไม่นึกว่าคุณจะออกจากงานเร็วแบบนี้ ฉันตั้งใจจะกลับไปบ้านตระกูลเฉียวให้ทันเวลาอยู่นะคะ”
หนานกงเฉินก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน เขานึกว่าเธอจะถือโอกาสนี้หนีไปซะอีก ไม่คิดว่าจะแอบมาเที่ยวที่บ้านเด็กกำพร้าแบบนี้
ริมฝีปากของเขาคลายลงอย่างเห็นได้ชัด จากใจที่โกรธจนรุ่มร้อนไปหมดค่อยๆสงบลงเล็กน้อย
ไป๋มู่ชิงพูดต่อ: “ส่วนเรื่องเงินบริจาค ต้องขอโทษด้วยค่ะ ฉัน……ฉันแค่อ้างกับผู้อำนวยการเหอไปแบบนั้น ไม่นึกว่าเขาจะคิดว่าเป็นเรื่องจริง เลยทำให้คุณต้องมาสูญเงินไปก้อนใหญ่ขนาดนี้ ขอโทษจริงๆค่ะ”
เงินแค่นี้สำหรับหนานกงเฉินแล้วไม่ได้มีผลอะไรเลย เขาแทบไม่ได้ใส่ใจ แต่ที่ทำให้เขาโมโหหนักคือเธอแอบหนีออกมาไม่บอกไม่กล่าว แล้วยัง…..ประโยคที่ซูซี่พูดอีก ‘ไป๋มู่ชิงชอบเด็กมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว’
จนกระทั้งรถมาจอดหน้าบ้าน หนานกงเฉินจึงหันมามองเธอและถาม “เธอชอบเด็กมากเหรอ? ชอบมากถึงขนาดต้องหนีออกมาแบบนี้เลยเหรอ?”
ไป๋มู่ชิงเย็นไปถึงขั้วหัวใจ ความนิ่งสงบเมื่อครู่มันคือคลื่นลมสงบก่อนพายุจะซัดกระหน่ำจริงๆ!
“ขอโทษค่ะ ฉันจะไม่ทำแบบนี้อีก”
“ฉันถามว่าเธอรักเด็กมากเหรอ”
“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงหลบสายตาเขาลนลานก่อนจะรีบเปิดประตูรถ : “คุณชายเฉิน ฉันเข้าไปก่อนนะคะ คุณขับรถกลับดีๆค่ะ”
เธอลงจากรถแล้วรีบเดินเข้าบ้านไป คิดว่าเธอหนีมาแบบนี้ หนานกงเฉินก็คงจะขับรถออกจากคฤหาสน์ทันที แต่เธอไม่คิดว่าเธอเข้ามาไม่ทันใด หนานกงเฉินก็ตามเข้ามาทันที
“เธอหนีอะไร?” หนานกงเฉินล็อคตัวเธอไว้ตรงราวบันไดเพื่อไม่ให้เธอเดินหนีขึ้นไป สายตาที่มองเธอมีแววโมโหขึ้นมาเล็กน้อย: “ขณะที่ฆ่าลูกตัวเองอย่างเลือดเย็น ก็ออกไปทำความดีบริจาคเงินตามสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เธอกำลังคิดจะทำอะไร? จะทำให้เห็นว่าเธอรักเด็ก? หรือเพื่อชะล้างบาปที่ตัวเองเคยก่อ จะได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง?”
ไป๋มู่ชิงถูกเขาต้อนจนหลบหนีไปทางไหนไม่ได้ รังสีความน่ากลัวในเขาตัวแผ่มาล้อมรอบตัวเธอจนเธอรู้สึกหวาดหวั่นใจไปหมด เธอส่ายหน้าปฏิเสธ: “ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้ลูกต้องตาย ฉันไม่รู้ว่าไป๋ยิ่งอันจะทำแบบนี้ เขารับปากแล้วว่าจะดูแลลูกให้อย่างดี ฉันขอโทษ…..คุณชายเฉิน คุณเลิกตั้งคำถามเรื่องลูกกับฉันทีได้มั้ย? เลิกพูดกระทบกระทั่งเรื่องลูกกับฉันซะทีได้มั้ย? ฉันเองก็ทุกข์ทรมานใจไม่น้อยไปกว่าคุณเลย ฉันผิดไปแล้วจริงๆ ฉันผิดไปแล้ว……”
เธอรู้ว่าคำพูดที่ไม่ได้ตั้งใจของเฉียวซือเหิงกระทบใจเขาอย่างมาก และรู้ว่าพฤติกรรมของเธอดูแล้วน่าประหลาดใจ แต่เธอไม่อยากให้เขาคิดถึงลูกที่น่าสงสารคนนี้อีกแล้ว และไม่อยากให้เขานำเรื่องลูกมาทำร้ายเธอและทำร้ายตัวเองอีก
เธออยากให้เขารีบลืมเรื่องลูกให้ได้ อย่าเอามาทรมานตัวเองอีกเลย
หนานกงเฉินเองก็ใช่ว่าไม่อยากลืม ถ้าลูกตายเพราะความบกพร่องแต่กำเนิด ถึงเขาจะต้องเศร้าเสียใจมากแต่ก็คงทำใจได้ในที่สุด แต่นี่มันมีการวางแผนชั่วร้ายมากมาย จะให้เขาปล่อยวางง่ายๆได้ยังไง?
“เธอไม่เคยรู้สึกผิดจริง ลูกตายทั้งคนเธอไม่เคยถามไถ่ ในใจคิดแต่เรื่องจะแต่งงานกับหลินอันหนาน แบบนี้เรียกว่ารู้สึกผิดเหรอ?” หนานกงเฉินเบียดเข้าใกล้เธอมากขึ้นอีก จนกระทั้งตัวเธอเอนออกนอกราวบันไดไปกว่าครึ่ง เขายังจ้องมองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา: “ทำไมต้องกลัวฉันพูดถึงลูก? เพราะรู้สึกผิดใช่มั้ย? เธอรู้สึกผิด!”
“อ๊ะ…..!” ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะตกจากบันได เธอร้องตกใจก่อนจะเอาแขนคล้องคอหนานกงเฉินไว้ พูดอย่างตะโหนก: “คุณชายเฉิน คุณปล่อยฉันก่อนค่ะ ฉันจะตกลงไปอยู่แล้ว!”
หนานกงเฉินไม่ได้ปล่อยเธอ แต่กลับยังคงจ้องมองเธอในระยะประชิดมากขึ้น ราวกับว่าถ้าเธอไม่ตอบว่าไม่รักลูกคนนี้ ก็จะไม่ยอมหยุดง่ายๆ
ไป๋มู่ชิงตกใจจนหน้าซีด ไม่สนใจแล้วว่าเธอใส่กระโปรงสั้นอยู่ เธอตวัดขาทั้งสองข้างเกี่ยวพันเอวเขาไว้
จากที่กระโปรงเธอไม่ยาวอยู่แล้ว พอยกขาขึ้นไปพันบนตัวเขาแบบนี้ขาเรียวยาวและขาวผ่องทั้งสองข้างก็โผล่ออกมาให้เห็นอย่างแจ่มชัด
เธอตื่นตกใจจนเม็ดเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
หนานกงเฉินในเวลานี้ไม่ได้เดือดเพราะโมโหอย่างเดียว ยังเดือดเพราะไฟราคะที่กำลังก่อตัวขึ้นด้วย
หนานกงเฉินไม่ได้ปล่อยเธอ แต่มือใหญ่ที่อุ่นร้อนเริ่มลูบไล้ไปมา
“หนานกงเฉินคุณจะทำอะไร!”
“ฉันจะทำอะไรได้? เธอไม่ได้ยั่วยวนฉันอยู่เหรอ?” หนานกงเฉินก้มหน้ามองเธอที่พันอยู่บนตัวเขาแวบหนึ่ง
ไป๋มู่ชิงมองตามสายตาเขาก็พบว่าตัวเองกำลังเกาะเขาด้วยท่าทางที่สุดจะวาบหวิว หน้าเธอแดงรื่นขึ้นมาทันที ก่อนจะรีบปล่อยมือจากต้นคอเขา
“อ๊ะ……!” ตัวเธอแอ่นไปทางด้านหลังทันที
เธอรู้สึกอับอายจนลืมสภาพรอบข้างไปหมด ดีที่หนานกงเฉินมือไวพอจึงคว้างตัวเธอไว้ทัน ไม่งั้นเธอคงหัวฟาดไปกับบันไดแล้ว
จากที่หน้าซีดขาวอยู่แล้วพอทำเอาตกใจอีกรอบ หน้าเธอตอนนี้ขาวยิ่งกว่ากระดาษอีก
เพื่อความปลอดภัย เธอไม่สนใจเรื่องอายไม่อายแล้ว รีบวาดแขนกลับมาคล้องคอเขาอีกครั้ง ก่อนพูดเสียงสั่น: “หนานกงเฉินคุณหยุดล้อเล่นได้แล้ว รีบปล่อยฉันลง…….”
มืออีกข้างของหนานกงเฉินยกขึ้นประคองเธออีกครั้ง เขาหัวเราะเยาะเธอข้างหู: “เธอเป็นคนเข้าหาฉันเอง ขอเตือนก่อนนะอย่ากอดฉันแรงมาก ไม่งั้น…….”
เธอรู้สึกได้ถึงความขึงขังของเขา ไป๋มู่ชิงเริ่มรู้สึกทั้งกลัวและหวาดหวั่น เธอเริ่มทุบตีไหล่เขาเป็นการประท้วง: “หนานกงเฉินคุณจะทำอะไร? ที่นี่เป็นพื้นที่ส่วนรวมเดี๋ยวจะมีคนเข้ามาเห็นเข้านะ…….”
“เห็นแล้วยังไง? มีใครไม่รู้บ้างว่าเธอเป็นผู้หญิงลับๆที่ฉันเลี้ยงไว้” หนานกงเฉินพูดอย่างไม่แยแส
ไป๋มู่ชิงหายใจเข้าลึกๆ ถึงว่าป้าใบ้และพี่ยามคนนั้นถึงได้มองเธอด้วยสายตาดูถูกแบบนั้น ที่แท้เขาก็ตีค่าเธอเป็นแค่ผู้หญิงลับๆที่น่าอัปยศอดสูคนหนึ่งของเขานั้นเอง
ขณะที่เธอต้องยอมกับความเอาแต่ใจของเขา ในหัวก็ยังคิดฟุ้งซ่านไปด้วย แล้วยังต้องคอยทรงตัวไม่ให้ตกลงไปชั้นล่างอีก
ยังดีที่หนานกงเฉินไม่ได้ทรมานเธอนานนัก เขาอุ้มเธอลงจากราวบันไดตรงไปยันห้องนอนชั้นสองแทน
เมื่อหลังเธอแตะกับที่นอนนุ่มๆเธอก็ถอนหายใจโล่งอก เธอนอนระทวยอยู่บนเตียงและหยุดดิ้นรนขัดขืน ปล่อยให้หนานกงเฉินใช้ร่างกายเธอเป็นที่ระบายอย่างเต็มที่
ผ่านไปพักใหญ่ หนานกงเฉินที่เอิ่มสุขสมก็พลิกตัวลงจากเตียง ก่อนจะหันมามองเธอที่เสื้อผ้ายับยู่ยี่บนเตียง ริมฝีปากเขายกขึ้นยิ้มยัน
เขาหมุนตัวเข้าห้องน้ำไป ในห้องน้ำมีเสียงน้ำไหลดังขึ้น
ไป๋มู่ชิงอยากลุกขึ้นจากเตียงนอน แต่พบว่าไม่มีแม้แต่เรียวแรง
เธอนิ่งพักชั่วครู่จึงลุกลงจากเตียง และดึงกระโปรงที่ถูกเขาถกขึ้นไปกองอยู่บนอกลงมา จัดผมที่ยุ่งเหยิงให้เข้าที่ก่อนจะเดินออกจากห้องไป
เมื่อกลับมาถึงห้องนอนตัวเอง ไป๋มู่ชิงก็เปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำจนเต็ม แล้วถอดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่ออก ก่อนจะลงไปนอนแช่ในอ่าง
น้ำอุ่นทำให้รู้สึกดี หลังแช่น้ำอุ่นเธอก็รู้สึกว่าสบายขึ้นมาก และความดึงเครียดที่มีมาตลอดวันก็รู้สึกผ่อนคลายลง
ตอนอยู่บ้านตระกูลเฉียวเธอมัวแต่ถามเรื่องลูกจนแทบไม่ได้กินอะไร แม้แต่น้ำก็แทบไม่ได้ดื่ม ตอนนี้จึงรู้สึกหิวมาก เธอดูเวลาห้าทุ่มกว่าแล้ว ไม่น่าล่ะถึงได้รู้สึกหิวขนาดนี้
ไป๋มู่ชิงลงมาหาอะไรกินชั้นล่าง รื้อหาของกินในตู้เย็นแล้วมีแต่หมี่และไข่ที่พอทำกินได้ เธอจึงต้มหมี่ใส่ไข่กิน ขณะเดียวกันก็ต้มเผื่อหนานกงเฉินด้วยถ้วยหนึ่ง
เธอไม่รู้ว่าหนานกงเฉินนอนหรือยัง และไม่รู้ว่าเขาจะหิวมั้ย พอต้มเสร็จเธอก็ยกไปให้เขาที่ห้องนอน
เธอแนบหูตรงบานประตู แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวอะไรในห้อง เธอจึงค่อยๆผลักบานประตูออก ชะโงกหน้าเข้าสำรวจไปอย่างเงียบเชียบ
พอเธอเห็นหนานกงเฉินที่นอนค่ำอยู่กับพื้นห้อง เธอก็รีบวางถ้วยหมี่ลงบนพื้น แล้วเดินเข้าไปหาเขาทันที
“คุณชายใหญ่ คุณเป็นอะไร?” เธอนั่งคุกเข่ากับพื้นพยายามจะประคองเขาลุกขึ้น ขณะเดียวกันก็สังเกตดูลมหายใจของเขา พอเห็นว่าเขาอ้วกเป็นเลือดด้วยเธอยิ่งตกใจไปใหญ่
เธอจำได้ว่าครั้งก่อนเขาอ้วกเป็นเลือดก็หลังจากที่ดื่มเหล้าและหลังจากมีกิจกรรมเรื่องอย่างว่า เมื่อคืนเขาก็ดื่มจนเมา มาวันนี้ไปงานเลี้ยงวันเกิดคุณนายเฉียวก็เลี่ยงไม่ได้ที่ต้องดื่มอีก
ถึงจะไม่เมา แต่สำหรับเขาแล้วมันมีผลกระทบกับร่างกายเขามาก
เธอประคองเขาลุกขึ้นไม่ไหว จึงรีบถามขึ้น “คุณชายใหญ่ คุณมียามั้ย? ยาอยู่ตรงไหน?”
หนานกงเฉินทำแค่เพียงงอตัวและยื่นมือคว้าไปกลางอากาศ จนคว้าโดนแขนเธอพอดี มือเขากำแรงมากจนเธอรู้สึกเหมือนแขนเธอจะแหลก
เธอทนความรู้สึกเจ็บปวดตรงแขน ไปพิงหัวกับตู้ลิ้นชักบนหัวเตียง แล้วลองดึงลิ้นชักออก เธอจำได้ว่าปกติหนานกงเฉินมักจะเอายาเก็บไว้ในตู้ลิ้นชักบนหัวเตียง
แล้วก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เธอเห็นเม็ดยาที่คุ้นชินอยู่ในนั้น
เธอรีบเอาขวดยาออกมาแล้วใช้ปากกัดฝาขวดหมุนออกก่อนจะเทเม็ดยาออกมา
“คุณชายใหญ่ กินยาเร็วค่ะ ” เธอพยุงหนานกงเฉินลุกมานั่งบนตักเธอ
หนานกงเฉินกลับออกแรงดันเธอไปข้างหลังอย่างแรง ก่อนตะโกนเสียงดัง “ไปให้พ้น…!”
ไป๋มู่ชิงโดนเขาผลักแบบนี้ ทำให้หัวเธอไปชนเข้ากับตู้บนหัวเตียงจนเลือดไหล
แต่ไป๋มู่ชิงก็ไม่ยอมปล่อยมือจากหนานกงเฉิน เธอพยายามกอดเขาจากด้านหลังไว้แน่น เพื่อไม่ให้เขาทำร้ายตัวเอง ขณะเดียวกันก็พูดตำหนิขึ้น “คุณชายใหญ่ นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมาทิฐินะคะ ถึงอยากจะไล่ฉันไปแค่ไหนก็ขอให้คุณได้กินยาและร่างกายดีขึ้นก่อนค่อยไล่ฉันก็ได้”
เวลาที่หนานกงเฉินอาการกำเริบส่วนใหญ่จะไม่รู้สึกตัว แต่ครั้งนี้เขากลับมีสติทุกอย่างและยังมีอาการต่อต้านจนทำให้ไป๋มู่ชิงต้องเจ็บตัว เขาเลื่อนมือที่จับแขนเธออยู่ขึ้นไปบีบคอเธอไว้ ก่อนจะกัดฟันพูด: “เธอคิดว่าทำแบบนี้ฉันจะให้อภัยเธอ แล้วปล่อยเธอไปเหรอ? ไม่มีทาง……”
ไป๋มู่ชิงโดนเขาบีบคอจนรู้สึกทรมาน เธอพยายามดันตัวเขาออกพร้อมพูดกับเขา: “คุณอยากให้ฉันตายมากไม่ใช่เหรอ? คุณก็รีบกินยาสิ เดี๋ยวฉันไปตายเอง”
“อย่ามาทำเป็นแสแสร้ง!” หนานกงเฉินรวบรวมแรงที่มีสะบัดเธอลงไปกองกับพื้นจนไป๋มู่ชิงร้องขึ้นอย่างเจ็บปวด แต่เธอยังคลานกลับมาหาเขาอย่างไม่กลัวตาย สุดท้ายเธอก็เอายายัดใส่ปากเขาจนได้
หนานกงเฉินหมดแรงลงในที่สุด ก่อนจะงอตัวอยู่บนพื้นหายใจหอบแรง
เห็นเขากลืนยาแล้วไป๋มู่ชิงจึงถอนหายใจโล่งอก คุกเข่าข้างตัวเขา : “คุณชายใหญ่ ฉันประคองคุณไปที่เตียงนะคะ”
หลังจากนั้นเธอก็รวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อพยุงตัวหนานกงเฉินลุกขึ้น
ถึงจะกินยาแล้วแต่ความเจ็บปวดก็ยังไม่ได้ทุราวลง หนานกงเฉินยังคงงอตัวสั่นอย่างทรมาน เขาโน้มตัวไปหาไป๋มู่ชิงก่อนจะจับไหล่เธอเข้ามากอดไว้อย่างแน่น เหมือนกับว่าทำแบบนี้แล้วความเจ็บปวดทรมานจะลดน้อยลง
ไป๋มู่ชิงถูกเขากอดรัดจนรู้สึกหายใจไม่ออก แต่เธอก็ไม่ผลักเขาออก เธอยอมให้เขากอดอยู่อย่างนั้นจนอาการสั่นค่อยๆเบาลง
ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจหรือไม่ อยู่ๆหนานกงเฉินก็กัดลงบนไหล่เธอ ถึงจะไม่ได้กัดแรงขนาดเลือดตกยางออก แต่เธอก็รู้สึกเจ็บจนร้องขึ้น
เธอรู้ว่าแบบนี้อาจทำให้เขาทรมานน้อยลงบ้าง ดังนั้นเธอจึงเลือกที่จะอดทน เพราะเธอติดค้างเขามาเหลือเกิน ให้เธอได้ใช้วิธีแบบนี้ค่อยๆคืนให้เขาบ้างก็ยังดี
เธอกอดเขาไว้ พร้อมตบปลอบเขาเบาๆ: “คุณชายใหญ่ ถ้ายังอยากระบายอีก กัดฉันอีกได้ค่ะ ฉันยังรับไหว……”
หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเธอ ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ไม่รู้ว่าเขาหลับไปหรือยัง
ผ่านไปประมายี่สิบนาที ในที่สุดหนานกงเฉินก็สงบลง ไป๋มู่ชิงรวบรวมแรงทั้งหมดที่มีพยุงเขาขึ้นไปนอนบนเตียง แล้วดึงผ้าห่มให้เขาที่อยู่ในสภาพหลับสนิท
ไป๋มู่ชิงไม่กล้าปล่อยเขาไว้คนเดียว เธอนั่งเฝ้าเขาอยู่ข้างเตียง จนฟ้าใกล้สางเห็นว่าเขาไม่มีอะไรผิดปกติแล้ว จึงตั้งใจกลับไปนอนที่ห้องตัวเองซะตื่นหนึ่ง
เนื่องจากไม่ได้นอนทั้งคืน พอหัวถึงหมอนก็หลับเป็นตาย จากที่ตั้งใจว่าจะกลับมานอนงีบแปบเดียว แต่เอาเข้าจริงนาฬิกาปลูกดังอยู่หลายรอบเธอก็ไม่ตื่น
หนานกงเฉินตื่นมาอีกทีตอนเก้าโมงเช้า เขาเห็นว่ายังเหลือเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงกว่าจะถึงเวลานัดประชุมวันนี้ เลยลุกขึ้นแต่งตัวไปทำงาน
เขายืนอยู่หน้าเคาน์เตอร์ล้างหน้า ขณะที่แปลงฟันอยู่ก็นึกถึงเหตุการณ์เมื่อคืนไปด้วย
เมื่อคืนเขาไม่ได้เมามาก ยังคงจำเหตุการณ์ได้ชัดเจนทุกอย่าง ตั้งแต่ที่บ้านตระกูลเฉิน สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า จนถึงเหตุการณ์ตรงบันได และสุดท้ายก็ตอนที่อาการตัวเองกำเริบ
เขาสะบัดหัว ตั้งใจจะไม่จำเหตุการณ์ช่วงที่ไป๋มู่ชิงกอดเขาไว้และป้อนยา จนถูกเขาทำให้ได้แผล
สำหรับเขาแล้วทุกอย่างเป็นแค่การแสแสร้ง ทุกอย่างที่เธอทำดีกับเขาก็เพื่อน้องชายเธอเท่านั้น
แต่งตัวเสร็จหนานกงเฉินก็ลงไปชั้นล่าง
ป้าใบ้รู้ว่าเมื่อคืนหนานกงเฉินค้างที่นี่จึงไม่ได้ออกไปไหน พอเขาลงก็รีบเตรียมอาหารเช้าขึ้นโต๊ะทันที
หนานกงเฉินเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารแล้วถามขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ “เธอล่ะ?”
ป้าใบ้ชี้นิ้วไปชั้นสอง แล้วทำมือบอกว่าเธอยังไม่ตื่น
หนานกงเฉินพยักหน้ารับ ก่อนจะค่อยๆทานอาหารเช้า เสร็จแล้วก็เดินออกจากห้องอาหารไปยันประตูหน้าบ้าน เขาเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดเท้าลง จากนั้นก็หมุนตัวกลับขึ้นไปยันชั้นบน
เขามาเดินมาถึงห้องนอนไป๋มู่ชิงที่อยู่ชั้นสามผลักบานประตูเดินเข้าไป เห็นเธอนอนหลับสนิท ขณะที่นาฬิกาบนโต๊ะยังส่งเสียงดังไม่หยุด
ตั้งนาฬิกาปลุกไว้เจ็ดโมงเช้า ป่านี้ยังไม่ตื่น นี่เธอนอนเป็นตายขนาดนี้เลยเหรอ?
หนานกงเฉินยืนมองเธออยู่ข้างเตียง สายตาจับจ้องตรงแผลบนหน้าผากที่ยังมีรอยเลือดติดอยู่ แผลดูไม่ลึกมากแต่เริ่มบวมแดงมากขึ้น
เขาค่อยๆเลื่อนสายตาลงไปที่ใบหน้าและหยุดอยู่ตรงรอยฟันบนบ่าที่เขาทำเธอเมื่อคืน ถึงจะไม่ถึงขนาดเป็นแผลแต่ก็มีรอยฟันที่บวมแดงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อคืนเขาเองก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องกัดเธอแบบนั้น แต่เขารู้สึกว่าพอกัดเธอแล้วทำให้ความโกรธแค้นและความเจ็บปวดลดน้อยลงได้
เขาจำได้ว่าเธอเจ็บปวดจนสั่นไปทั้งตัว แต่ยังพยายามอดทนและบอกให้เขากัดเธอได้อีกครั้ง
“เสี่ยวอี้มีความหมายกับเธอขนาดนั้นเลยเหรอ?” เขาถามขึ้นเบาๆอย่างไม่รู้ตัว
ช่างเหลือเชื่อขณะที่นาฬิกาปลุกดังไม่หยุดเธอแทบไม่มีวี่แววจะตื่น แต่อยู่ๆเธอก็มาพลิกตัวตะแคงข้างทับแผลบนหน้าผากจนเธอร้องเจ็บ
พอดีกับนาฬิกาปลุกที่ดังทุกห้านาทีก็ดังขึ้น เธอรีบลุกขึ้นนั่ง แต่ยังไม่ยอมลืมตา
จนกระทั้งนึกขึ้นได้ว่าเจ็ดโมงเช้าต้องตื่นมาทำอาหารเช้าให้หนานกงเฉินนี่นา เธอลืมตาขึ้นทันที แล้วรีบหันไปมองเวลาบนนาฬิกาปลูก เก้าโมงครึ่ง!