เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 145 ยาสมุนไพรจีน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

สายตาของหนานกงเฉินแฝงด้วยความอันตราย “ตอนนั้นที่เธอแต่งเข้ามาในตระกูลหนานกงแทนไป๋ยิ่งอัน เธอยังสวมแหวนของตระกูลผมอีก ยังคลอดลูกของตระกูลหนานกง แถมยังรู้ความลับทั้งหมดของตระกูลหนานกง ถ้าเธอไม่แต่งงานกับผมแล้วจะแต่งกับใครอีก? แต่งกับหลินอันหนานเหรอ?”

“ไม่เกี่ยวอะไรกับหลินอันหนาน ฉันแค่……”

“แค่อะไร? แค่ไม่อยากแต่งงานกับผมหรอ?”

“ใช่” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าอย่างไม่กลัวตาย

ตอนนี้เธอกับเขาเป็นอะไรกันแน่? เขาโกรธเกลียดเธอ เธอก็เคืองแค้นที่เขาทำให้คุณย่าตัวเองตาย ยังขังแม่กับน้องชายตัวเองอีก แล้วตระกูลไป๋ด้วย แน่นอน ตระกูลไป๋ก็มีความผิดก็ควรจะได้รับโทษ คุณพ่อไม่เคยมองเธอว่าเป็นลูกสาวแท้ๆเลย เธอไม่อะไรกับเขาก็ได้

ชีวิตในตระกูลหนานกง เธอกลัวมากแล้ว

เธอกลัวเขาแค่อารมณ์ร้อนชั่ววูบเลยแต่งงานกับเธอ เดี๋ยวอีกหน่อยเสียใจทีหลังขึ้นมาล่ะ

“เธอแน่ใจหรอ?” หนานกงเฉินจ้องมองไปที่เธอแล้วพูดกัดฟันไปด้วย

“นายเกลียดฉันไม่ใช่หรอ? ในเมื่อเกลียดทำไมต้องแต่งงานกับฉันอีก? ฉันคิดว่านายควรจะคิดพิจารณาให้ดีก่อน” ไป๋มู่ชิงพูดจบก็แอบถอนหายใจ ในใจคิดว่าเหตุผลนี้ก็ไม่เลวเลย

แต่หนานกงเฉินกลับพูดว่า “นี่เป็นเรื่องของผม คุณไม่ต้องมากังวลหรอก”

“แล้วเรื่องของฉันล่ะ?” ไป๋มู่ชิงมองเห็นสายตาที่เยือกเย็นของเขามองมาที่ตัวเอง ถึงแม้จะรู้สึกกลัวแต่ก็ยังอ้าปากพูด “จะให้ฉันแต่งงานกับนายก็ได้ แต่ต้องคืนเสี่ยวอี้กับแม่ของฉันมา”

เธอรู้ หนานกงเฉินคงโกรธอีกแน่ๆ

แล้วสุดท้าย เขาก็โกรธจริงๆ โกรธจนจ้องเธอไปสักพักค่อยเปิดประตูรถลงไป จากนั้นก็อ้อมไปทางอีกฝั่งแล้วดึงเธอออกมาจากประตูรถ

ไป๋มู่ชิงถูกเขาดึงเข้าไปกอดในอ้อมแขนแล้วเดินเข้าไปที่สำนักงานจดทะเบียนสมรส ดูเหมือนทุกอย่างจะทำติดต่อกันแล้วเกิดขึ้นเร็วมาก

ใช่ ผู้ชายคนนี้เป็นแบบนี้แหละ แม้แต่เรื่องแต่งงานก็เอาแต่ใจทำตามใจตัวเองคนเดียว!

เมื่อผู้ช่วยเหยียนเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาก็รีบเดินไปต้อนรับ “คุณชายเฉิน คุณหญิงน้อย เอกสารเขียนเรียบร้อยแล้วค่ะ พวกคุณแค่เข้าไปถ่ายรูปก็เสร็จแล้วค่ะ”

จากคำพูดของผู้ช่วยเหยียน หนานกงเฉินก็พาไป๋มู่ชิงเดินไปที่ห้องถ่ายรูป

นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว เมื่อช่างภาพตั้งกล้องเสร็จแล้วก็โบกมือไปทางไป๋มู่ชิง “เจ้าสาว ช่วยจัดหน้าม้าไปข้างๆหน่อยครับ”

ไป๋มู่ชิงรีบจัดหน้าหมาตัวเองไปข้างๆ ช่างภาพก็ประหลาดใจแล้วถามเธอ “เป็นอะไรครับ? ทำไมหน้าผากของเจ้าสาวถึงมีรอยแผลเป็น?”

“เออ……ฉันปล่อยหน้าม้าลงมาได้ไหมคะ?” ไป๋มู่ชิงใช้มือจับไปที่หน้าม้าตัวเอง รอยแผลบนหน้าผากเป็นแผลที่ชนขอบเตียงวันนั้น เพิ่งตกสเก็ดไปกำลังฟื้นฟูอยู่ เพื่อที่จะปิดบังรอยแผลนี้เธอเลยตั้งใจไปตัดหน้าม้า

หนานกงเฉินเห็นว่าเธอยิ่งจับก็ยิ่งยุ่ง ก็เลยจับมือเธอลงมาแล้วช่วยเธอจัดหน้าม้าอย่างอ่อนโยน แค่ปิดรอยแผลไม่โดนตาสักหน่อย

ไป๋มู่ชิงมองไปที่ใบหน้าที่ตั้งใจของเขา ความต่อต้านในใจก็หายไปชั่วขณะแล้วก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมาเล็กน้อย

“ได้ครับ แบบนี้ได้ครับ” ช่างกล้องพูดชมขึ้น จากนั้นก็ยกกล้องถ่ายรูปขึ้นเล็งไปที่ทั้งสองแล้วเอ่ยขึ้นด้วย “ทั้งสองคนยิ้มหน่อยนะครับ วันนี้เป็นวันมงคลของทั้งสองคน ถ้าเอาแต่ทำหน้าบึ้งตึงจะไม่มงคลนะครับ……”

“มา ยิ้มครับ……” ช่างกล้องรอไปครึ่งวันก็ยังไม่ได้รอยยิ้มที่น่าพึงพอใจก็เลยเอาแต่เร่งอยู่อย่างนั้น

หนานกงเฉินเริ่มหงุดหงิดขึ้นมาแล้วหันไปทางไป๋มู่ชิง “เธอจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม? ถ้าไม่ยิ้มก็ออกไปซะ!”

“……” ไป๋มู่ชิงน่าสงสารจนไม่รู้จะเอ่ยพูดอะไร

ช่างกล้องวางกล้องถ่ายรูปแล้วพูดไปทางหนานกงเฉิน “เจ้าบ่าว แล้วคุณล่ะ สรุปคุณจะยิ้มหรือไม่ยิ้ม?”

หนานกงเฉินก็หมดคำพูดไปด้วย

สุดท้ายช่างกล้องก็ลุกขึ้นยืนตรงแล้วพูดไปทางทั้งสอง “พวกคุณมาแต่งงานไม่ใช่หรอ? ทำไมวันแต่งงานแบบนี้ยังต่อว่าเจ้าสาวอีก? ชีวิตหลังจากนี้จะผ่านไปได้ยังไง? ในฐานะที่เป็นพนักงานจัดทำเรื่องสมรส ถ้าท่าทางของคุณเป็นอย่างนี้ผมสามารถปฏิเสธถ่ายรูปใบสมรสของพวกคุณได้”

สีหน้าของหนานกงเฉินย่ำแย่ไปกว่าเดิม

ไป๋มู่ชิงก็พยายามกลั้นหัวเราะไว้แล้วแอบชูนิ้วโป้งไปให้

“คุณยังจะหัวเราะอีก” ช่างกล้องหันไปพูดกับไป๋มู่ชิง “เป็นผู้หญิงยุคสมัยใหม่แล้ว ทำไมเธอถึงไม่มีความคิดของตัวเองเลย คนอื่นให้เธอออกไปเธอยังจะดื้อดึงอยู่ที่นี่ ผู้ชายที่หน้าตาหล่อไม่มีแค่เขาคนเดียว ก็ออกไปอย่างกล้าหาญแล้วไปจับคนที่ดีกว่าเขามาสิ”

ผู้ช่วยเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆเห็นสีหน้าของหนานกงเฉินเยือกเย็นจนถึงจุดต่ำสุดแล้วก็เลยรีบเดินเข้าไปยิ้มกับช่างกล้อง “คุณเข้าใจผิดแล้วค่ะ เจ้านายทั้งสองคนของฉันปกติก็เป็นแบบนี้แล้วค่ะ ตีเพราะเป็นห่วงด่าเพราะรักไงคะ ช่วยถ่ายรูปให้เขาเร็วๆเถอะค่ะ”

ช่างกล้องมองไปที่ทั้งสอง ทำไมดูเหมือนเจ้าบ่าวไม่ค่อยใส่ใจเจ้าสาวเลย

ด้วยอาชีพของตัวเองก็เลยถามไป๋มู่ชิงว่า “คุณผู้หญิงครับ คุณแน่ใจหรอครับว่าจะแต่งงานกับผู้ชายที่เจ้าอารมณ์คนนี้?”

ไป๋มู่ชิงเงียบไปครู่นึงค่อยเอ่ยปากอย่างลังเล “ความจริงฉัน……” เธอหันไปมองหนานกงเฉิน เมื่อได้รับสายตาที่ขู่เตือนของเขาก็เลยจำใจต้องยิ้ม “แน่ใจค่ะ”

สุดท้ายสีหน้าของหนานกงเฉินก็ค่อยๆดูดีขึ้นมา

ช่างกล้องส่ายหัวด้วยท่าทางที่ยอมแพ้กับเธอ จากนั้นก็ยกกล้องขึ้นเล็งไปที่ทั้งสองอีกครั้ง

ครั้งนี้ เขาก็ไม่สนแล้วว่าทั้งสองจะยิ้มหรือไม่ยิ้มก็กดชัตเตอร์ที่กล้องถ่ายรูปแล้วบอกกับทั้งสอง “ได้แล้วครับ ไปรับรูปภาพฝั่งโน้นได้เลยครับ”

หลังจากที่ทำเอกสารเสร็จ ทั้งสองก็ได้สมรสกันตามกฏหมายแล้ว

เมื่อผู้ช่วยเหยียนยื่นใบสมรสสองเล่มเข้าไปในรถ มือไป๋มู่ชิงก็รับใบสมรสสีแดงไป แล้วความรู้สึกในใจก็พรุ่งพล่านไปหมด

ไม่คิดหรือว่าเธอจะแต่งงานจริงๆ แถมยังแต่งงานกับหนานกงเฉินอีก แต่ก่อนเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งเมืองจะหลบหลีก แต่วันนี้กลับเป็นผู้ชายที่ผู้หญิงทั้งเมืองอยากจะจับจอง!

หนานกงเฉินเห็นว่าเธอเหม่อกับใบสมรสก็เลยเอ่ยเสียดสีขึ้น “ทำยังไงดี? จะไม่ตกลงตอนนี้ก็สายไปแล้ว”

“ถ้างั้น……ก็อยู่ไปอย่างนี้แหละ” เธอยื่นอีกเล่มให้เขา “นี่เป็นของนาย”

เมื่อเปิดเข้าไปดู ก็มีชื่อของหนานกงเฉินไป๋มู่ชิงของทั้งสองแล้ว มีตัวหนังสือที่เขียนไว้ว่าเป็นสามีภรรยาตามกฏหมายแล้ว

‘สามีภรรยาตามกฏหมาย’ ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่ตัวหนังสือเหล่านี้ในใจก็คิดว่าเหมือนความฝันเลย

แต่ก่อนบนนั้นเป็นชื่อของไป๋ยิ่งอัน แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็นไป๋มู่ชิงของเธอแล้ว ตอนนั้น……มีบางเวลาหรือเปล่า ที่เธอเคยวาดฝันภาพเหตุการณ์แบบนี้? เธอจำได้ว่าเคย!

เมื่อเธอเห็นรูปภาพบนนั้นก็เผลอหัวเราะออกมา

เมื่อหนานกงเฉินรับใบสมรสไปแล้วก็ไม่ได้เปิดดูแต่กลับใส่เข้าไปในลิ้นชักเลย เมื่อได้ยินเธอหัวเราะออกมาทั้งๆที่เมื่อกี้ยังเศร้าเสียใจอยู่ก็เลยหันกลับไปมองที่เธอ จากนั้นสายตาก็มองไปที่ใบสมรส

ไป๋มู่ชิงยื่นใบสมรสไปต่อหน้าเขาแล้วอดพูดไม่ได้ “ฉันเพิ่งเห็นนายหน้าตาขี้เหร่ก็วันนี้แหล่ะ จริงๆเลย……ลุงช่างกล้องพูดถูก น่าจะออกจากสำนักงานแล้วจับสักคนที่หล่อกว่านาย”

ในรูปหนานกงเฉินขมวดคิ้วเล็กน้อย รอยยิ้มที่ออกมายิ้มได้อย่างยากเย็นแต่กลับน่าเกลียดกว่าการร้องไห้ ขี้เหร่กว่าตัวจริงมากๆ

หนานกงเฉินมองไปที่รูปถ่ายบนนั้นแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส “ทำไมเธอไม่หัวเราะตัวเองล่ะ?”

ไป๋มู่ชิงพยายามจะไม่พูดถึงรูปของตัวเอง “ฉันโดนบังคับให้แต่งงาน จะขี้เหร่ก็เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว”

หนานกงเฉินไม่สนใจเธอแล้วสตาร์ทรถแล่นออกจากสำนักทะเบียนสมรส

ไป๋มู่ชิงเก็บหนังสือสมรสไปด้วยแล้วเอ่ยไปด้วย “ในเมื่อแต่งงานแล้ว ต่อไปนายก็เป็นของฉัน ฉันก็เป็นของนาย”

“ไม่ทราบว่าคุณมีอะไรบ้าง?”

“ฉันมีเสี่ยวอี้กับแม่” ไป๋มู่ชิงพูด

หนานกงเฉินหันไปมองเธอ “เธอกำลังจะพูดอะไร?”

“ฉันอยากจะบอกว่า ในเมื่อเราสองคนแต่งงานแล้ว เสี่ยวอี้ก็เป็นน้องชายของเราสองคน นายมีหน้าที่ต้องดูแลเขาดีๆ รักษาโรคของเขาให้หายไม่ใช่หรอ?” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างระมัดระวังแต่ก็พูดอย่างหนักแน่น

“ตอนนั้นหลินอันหนานก็สัญญากับเธออย่างนี้หรอ?”

“ใช่ ไม่งั้นฉันก็คงไม่ตอบตกลงแต่งงานกับเขา”

หนานกงเฉินไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก ขับรถแล้วพาเธอไปทางที่ห้าง

เมื่อรถแล่นมาถึงหน้าประตูห้าง เลขาหลิ่วก็รออยู่ที่นั่นตั้งนานแล้ว เมื่อเห็นรถของหนานกงเฉินก็เดินขึ้นไปตอนรับแล้วโค้งให้หนานกงเฉินในรถ “คุณชายเฉิน คุณหญิงน้อย พวกคุณถึงแล้วหรอคะ”

หนานกงเฉินพยักหน้ากับเธอแล้วพูดกับไป๋มู่ชิง “ตอนเที่ยงกินข้าวข้างนอกได้ ถ้าเดินจนเหนื่อยแล้วก็ไปรอผมเลิกงานพร้อมกับเลขาหลิ่วได้”

“ฉันรู้แล้ว” ไป๋มู่ชิงเปิดประตูรถลงไป

หลังจากที่หนานกงเฉินขับรถออกไป เลขาหลิ่วก็คล้องแขนไป๋มู่ชิงอย่างกระตือรือร้นแล้วยิ้ม “ไปกันเถอะค่ะคุณหญิงน้อย ฉันรู้จักที่นี่ดี อยากได้เสื้อผ้าอะไรฉันจะหาให้คุณหมดเลยค่ะ”

ไป๋มู่ชิงเพิ่งรู้จักเลขาหลิ่วเป็นครั้งแรก ก็เลยอึดอัดกับการกระทำที่กระตือรือร้นของเธอ แต่เมื่อคนอื่นกระตือรือร้นแบบนี้เธอก็เกรงใจที่จะปฏิเสธก็เลยยิ้มกับเธอ แล้วเดินเข้าไปข้างใน

เลขาหลิ่วเป็นลูกค้าประจำที่นี่จริงๆ รู้จักผลิตภัณฑ์ในนี้ดีมาก ก็เลยพาไปที่ร้านเสื้อผ้าที่สไตล์เรียบง่ายดูดีที่เหมาะกับเธอ

ไป๋มู่ชิงไม่ค่อยเลือกเสื้อผ้าอยู่แล้ว ก็เลยได้เสื้อผ้าอย่างรวดเร็ว

หลังจากที่ซื้อเสื้อผ้าเสร็จ เลขาหลิ่วก็พาไป๋มู่ชิงไปนั่งที่ร้านกาแฟแล้วกินขนมกับดื่มชานม จากนั้นก็ยื่นชานมไปตรงหน้าเธอแล้วพูด “ชานมร้านนี้อร่อยมาก เราจะซื้อให้คุณชายเฉินด้วยมั้ยคะ?”

“ไม่ต้องหรอก เขาไม่ดื่มอะไรแบบนี้” จากที่เธอรู้มา หนานกงเฉินดื่มแค่กาแฟกับชาเขียวเท่านั้น อย่างอื่นไม่ดื่มเลย

“เปล่านะคะ ฉันเคยเห็นผู้ช่วยเหยียนซื้อชานมให้เขา”

“ใช่หรอ? เขาอาจจะดื่มเป็นบางครั้งคราวมั้ง”

เลขาหลิ่วพูดยิ้ม “แต่ว่าผู้ช่วยเหยียนดีกับคุณชายเฉินอยู่แล้ว อย่าว่าแต่ชานมเลย ไม่ว่าจะเจอของดีอะไรก็จะซื้อกลับมาให้คุณชายเฉินตลอด”

เลขาหลิ่วเปิดดูเมนูไปด้วยแล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ

เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินเธอพูดอย่างนี้ ก็เลยยิ้มตอบไป ไม่ได้คิดมากอะไร

เลขาหลิ่วดูไปสักพักเงยหน้าขึ้น “ใช่สิ คุณหญิงน้อย คุณรู้จักผู้ช่วยเหยียนมากมั้ยคะ?”

“ไม่ค่อย ทำไมหรอ?”

“ความจริงพวกเราก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเธอมาก รู้สึกว่าเธอเป็นคนที่เยือกเย็นแล้วน่าค้นหา โดยเฉพาะความรู้สึกที่มีให้คุณชายเฉิน ช่าง……” เลขาหลิ่วรีบกลืนคำพูดแล้วใช้มือป้อมปากตัวเองไว้แล้วจ้องไปทางไป๋มู่ชิง

“ขอโทษค่ะ ฉันหมายถึง……”

“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ” ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เธอ

“คุณหญิงน้อยไม่เข้าใจผิดก็ดีแล้วค่ะ” เลขาหลิ่วโล่งอกไป “ความจริงเราก็ได้ยินเพื่อนร่วมงานพูดคุยกัน แต่อย่างว่านะ เราก็เชื่อในตัวของผู้ช่วยเหยียน เธอไม่มีทางคิดเกินเลยกับคุณชายเฉินแน่นอน”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าให้แล้วยิ้มอ่อนไปทางเธอ จากนั้นก็ก้มหน้าดื่มชานมในแก้ว

การกระทำของเลขาหลิ่วทำไมเธอจะดูไม่ออก ก็คงจะรู้สึกว่าผู้ช่วยเหยียนขัดตา ก็เลยอยากจะยืมมือเธอแล้วจัดการกับผู้ช่วยเหยียน

แต่เลขาคนนี้ช่างไม่รู้อะไรเลย ว่าเธอไม่มีน้ำหนักในสายตาของหนานกงเฉินเลย ถึงแม้จะมี เธอก็จะไม่ยุ่งเรื่องเกี่ยวกับบริษัท ไม่ใช่หน้าที่ที่เธอจะยุ่ง

หนานกงเฉินเตือนเธอไปตั้งนานแล้ว ถ้าเขาอยากได้ผู้หญิงคนไหนก็จะต้องได้ เธอไม่มีสิทธิ์ไปพูดอะไร

จนถึงทุกวันนี้เธอก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างหนานกงเฉินกับผู้ช่วยเหยียน แต่จากความรู้สึกของตัวเองบวกกับที่ไม่ค่อยรู้อะไรเกี่ยวกับผู้ช่วยเหยียน เธอคิดว่าผู้ช่วยไม่ใช่คนแบบนั้น

หลังจากที่ทานมื้อเที่ยงในร้านกาแฟ ทั้งสองก็เดินไปทั่วห้าง ไป๋มู่ชิงที่ไม่คิดที่จะซื้ออะไรอยู่แล้วก็เริ่มรู้สึกเบื่อก็เลยตัดสินใจกลับไปรอหนานกงเฉินที่ห้องทำงานของเขา

เมื่อเดินผ่านร้านกาแฟร้านนั้นก็ไป๋มู่ชิงคิดขึ้นมาได้ สุดท้ายก็เดินเข้าไปซื้อชานมสองแก้วออกมา

เมื่อกลับไปถึงห้องทำงานของหนานกงเฉิน ผู้ช่วยเหยียนก็กำลังพูดคุยเรื่องงานกับหนานกงเฉินพอดี

เลขาหลิ่วเอ่ยอย่างมีมารยาทกับหนานกงเฉิน “คุณชายเฉินคะ คุณหญิงน้อยบอกว่าเธอไม่อยากเดินแล้วจะกลับมารอคุณเลิกงานที่บริษัทค่ะ”

“เข้ามาเลย” หนานกงเฉินเอ่ยขึ้นอย่างเรียบนิ่ง

ไป๋มู่ชิงเดินเข้าไปแล้วมองกวาดทั้งสอง จากนั้นก็วางชานมทั้งสองแก้วลงบนโต๊ะทำงานของหนานกงเฉินแล้วยิ้มอ่อน “นี่เป็นชานมของพวกคุณสองคน รสชาติอร่อยมาก”

ผู้ช่วยเหยียนหยิบชานมไปหนึ่งแก้วแล้วยิ้มกับเธอ “ขอบคุนนะคะ”

“ไม่ต้องหรอก ฉันแค่เดินผ่านพอดีเลยซื้อกลับมาด้วย”

“แต่ว่า……” ผู้ช่วยเหยียนมองไปที่ชานมอีกแก้วแล้วเอ่ย “คุณชายไม่ดื่มชานมนะคะ”

ไป๋มู่ชิงประหลาดใจไป เมื่อกี้เลขาหลิ่วเพิ่งพูดไปว่าปกติผู้ช่วยเหยียนก็จะซื้อชานมมาให้ด้วย เธอมองไปที่ชานมแล้วมองไปทางหนานกงเฉินเลยยิ้มอย่างแห้งๆ “ไม่เป็นไร ถ้าไม่ดื่มก็โยนทิ้งไปเถอะ ไม่แพง”

ไม่รู้ความชอบส่วนตัวของสามีตัวเองนี่ก็รู้สึกยังไงๆอยู่

“ถ้าโยนทิ้งก็คงเสียดาย เดี๋ยวฉันเอาไปให้ผู้ช่วยหวงก็ได้ค่ะ” ผู้ช่วยเหยียนลุกขึ้นมาจากเก้าอี้แล้วพูด “พวกคุณคุยกันเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันออกไปทำงานก่อนนะคะ”

“ออกไปทำงานได้ แต่เก็บชานมไว้ที่นี่” หนานกงเฉินใช้นิ้วชี้ไปที่หนึ่งในแก้วชานมในมือเธอ

ผู้ช่วยเหยียนรู้สึกประหลาดใจไป จากนั้นก็ยิ้มอ่อนแล้ววาง ชานมกลับไปบนโต๊ะเหมือนเดิม จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องทำงานเขา

หลังจากที่ผู้ช่วยเหยียนออกไป ไป๋มู่ชิงก็มองไปที่ชานมบนโต๊ะแล้วถามขึ้นอย่างสงสัย “แล้วไม่ทราบว่าคุณชายดื่มหรือไม่ดื่มชานมคะ?”

“แต่ก่อนไม่” หนานกงเฉินยกชานมขึ้นแล้วมองไปที่เธอ “แต่ในเมื่อเป็นของขวัญชิ้นแรกที่เจ้าสาวให้ ถึงแม้ผมจะไม่ชอบแต่ก็ลองชิมดูได้ไม่ใช่หรอ?”

เขาดูดชานมไปคำนึงแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “รสชาติไม่เท่าไหร่”

“ถ้าดื่มไม่ได้ก็ไม่ต้องฝืนใจ”

หนานกงเฉินดูดไปอีกคำ จากนั้นค่อยวางชานมกลับที่เดิม “แต่ของที่ไม่สะอาดแบบนี้ อีกหน่อยเธอก็ดื่มให้น้อยหน่อย ได้ยินไหม?”

“ได้ยินแล้ว” ไป๋มู่ชิงแลบลิ้นให้เขาแล้วคิดในใจว่าผู้ชายคนนี้ช่างเย่อหยิ่งเหลือเกิน ไม่ว่าจะอะไรก็รู้สึกไม่สะอาดไปหมด

จากนั้นหนานกงเฉินก็ก้มหน้าทำงานต่อแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ในห้องวีไอพีมีนิตยสารกับหนังสือพิมพ์ ตึกข้างๆก็มีร้านกาแฟกับห้องนั่งเล่น ในนั้นมีห้องพักผ่อน เธอก็ไปที่นั่นก็ได้”

สุดท้ายไป๋มู่ชิงก็ตัดสินใจไปนอนกลางวันที่ห้องพักผ่อน

เธอมองไปรอบๆ ที่นี่หรูหราไม่แพ้คฤหาสน์เลย เธอเดินไปที่ห้องนอนแล้วนอนลงไปบนเตียง กลิ่นอายบนตัวเขาก็ค่อยๆลอยมาแตะจมูกเธอ รู้สึกหอมแล้วผ่อนคลายด้วย

อาจจะเป็นเพราะว่าผ่อนคลายมาก เธอเลยหลับไปอย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ว่านอนไปนานแค่ไหน จนกระทั่งหนานกงเฉินเรียกเธอ ถึงตื่น จากนั้นก็ลุกขึ้นนั่งบนเตียงแล้วถามเขา “ฉันนอนเลยเวลาแล้วใช่ไหม”

หนานกงเฉินมองเวลาที่ข้อมือ “ใกล้แล้วแหละ”

“ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ” ไป๋มู่ชิงลงมาจากเตียงแล้วเริ่มควานหาถุงช้อปปิ้งที่เอากลับมา

หนานกงเฉินเห็นท่าทางที่มึงมัวของเธอ ถุงใหญ่ขนาดนี้วางอยู่บนโต๊ะแต่ไม่เห็นก็เลยหยิบถุงขึ้นแล้วยื่นไปให้เธอ ไป๋มู่ชิงรับถุงไปแล้วเอ่ยกับเขา “ใช่สิ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่ตรงไหน”

“ที่นี่ไม่มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า”

“ห๋า”

“ห๋าอะไร? มีส่วนไหนบ้างที่ผมยังไม่เคยเห็น” หนานกงเฉินจงใจไม่บอกเธอ ถึงแม้ที่นี่จะไม่มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแต่ก็มีห้องอาบน้ำหนิ

แต่คนที่ใสซื่ออย่างไป๋มู่ชิง ก็เลยต้องหันหลังไปแล้วถอดเสื้อผ้าบนตัวอย่างเขินอายแล้วรีบเปลี่ยนชุดที่เพิ่งซื้อมาใหม่

หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จแล้ว เธอก็หันไปทางหนานกงเฉิน “ชุดนี้……เป็นยังไงบ้าง?ไ

หนานกงเฉินดึงสติกลับมาแล้วพยักหน้า “กลับไปบ้านตัวเอง ใส่ให้ดูดีก็พอแล้ว ไม่ต้องไปสนใจว่าสวยหรือไม่สวย”

กลับบ้านตัวเอง……

ทำไมฟังแล้วรู้สึกแปลกๆในใจ

เมื่อรู้สึกว่าหนานกงเฉินเดินออกไปแล้วเธอก็รีบก้าวเดินตามไปด้วย จากนั้นก็ตามเขาออกจากห้องทำงานไป

อาหารมื้อค่ำก็ทานเหมือนปกติ ไม่มีอะไรพิเศษมาก

ก็ยังเป็นกลุ่มคนเหล่านั้น ผู่เหลียนเหยาก็ยังเป็นคนที่พูดคุยกับทุกคนตลอด

ไป๋มู่ชิงก็เหมือนแต่ก่อน หลังจากทานอาหารเสร็จก็กลับขึ้นไปบนคฤหาสน์ กลับไปในห้องเดิมที่ตัวเองเคยอยู่ แต่ห้องนี้ไป๋ยิ่งอันเคยอยู่ แล้วของที่วางอยู่ในห้องก็เป็นของของเธอ

เธอกับไป๋ยิ่งอันเป็นเหมือนศัตรูอยู่แล้ว แล้วตอนนี้ก็กวาดมองไปที่ของของเธอ ก็รู้สึกไม่สบอารมณ์ขึ้นมา

ในเวลาเดียวกัน ที่หน้าประตูก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น จากนั้นพี่เหอกับคุณหญิงก็เดินเข้ามา ในมือของพี่เหอยกถ้วยยาสมุนไพรจีนสีเข้มไว้ในมือ

ไป๋มู่ชิงกวาดมองไปที่ถ้วยยาในมือพี่เหอแล้วเอ่ยทักทายขึ้นกับคุณหญิงอย่างมีมารยาท จากนั้นก็พยุงตัวท่านไปนั่งลงที่โซฟา

หลังจากที่คุณหญิงนั่งลง ก็ใช้คางชี้ไปที่ยาสมุนไพรจีนบนโต๊ะแล้วพูดนี่ “เป็นยาสมุนไพรที่อาจารย์หวังหาให้มาโดยเฉพาะ ถ้าดื่มแล้วจะป้องกันไม่ให้เด็กผิดปกติได้”

ไป๋มู่ชิงประหลาดใจไปแล้วมองไปที่ถ้วยยาอีกครั้ง

ให้เธอทานยาที่ช่วยตั้งครรภ์งั้นหรอ? คุณหญิงยังกล้าให้เธอตั้งครรภ์อีกเหรอ?

คุณหญิงเหมือนจะเข้าใจความแปลกใจของเธอก็เลยเอ่ย “ในเมื่อเด็กจากไปนานขนาดนี้แล้ว เธอก็ควรจะคิดที่จะมีคนต่อไปได้แล้วไม่ใช่หรอ?”

“คุณย่าคะ……” ไป๋มู่ชิงอ้าปากจะพูดแล้วมองไปทางถ้วยยา “คุณชายรู้หรือเปล่าคะว่าคุณย่าทำแบบนี้?”

ครั้งก่อนหนานกงเฉินก็ไม่ยอมให้เธอตั้งครรภ์ จนถึงขั้นที่เธอตั้งครรภ์แล้วก็บังคับให้เธอไปทำแท้งอีก แล้วลูกคนก่อนก็ทำให้ทุกคนเสียใจมาก หนานกงเฉินจะยอมตกลงให้เธอตั้งครรภ์อีกได้ยังไง?

“ไม่รู้แล้วจะยังไง?”

“แต่ว่า……หนูกลัวว่าเขาจะโกรธเหมือนครั้งก่อน”

“ครั้งก่อนเป็นเพราะไม่มียาพวกนี้ ตอนนี้มีแล้ว กินยาพวกนี้แล้วก็คงจะมีลูกที่แข็งแรงได้ เฉินไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ตกลง”

ไป๋มู่ชิงไม่เอ่ยพูดอะไร คุณหญิงก็มองไปที่เธอ “ฉันเห็นว่าช่วงนี้เฉินอยู่นอกบ้านมากกว่าในบ้าน ตอนกลางคืนพวกเธอคงจะ……ใช่ไหม?”

คุณหญิงเอ่ยถามได้อย่างอ้อมค้อม แต่หน้าของไป๋มู่ชิงก็ค่อยๆแดงขึ้นมา

เธอพยักหน้าอย่างเขินอาย

คุณหญิงหัวเราะ “งั้นก็ดี รีบกินยานี่เถอะ”

ไป๋มู่ชิงมองไปที่ยาสีเข้มบนโต๊ะ เธอก็ไม่กล้าจะปฏิเสธคุณหญิงก็เลยจำใจยกยาขึ้นมาดื่ม รสชาติของยาขมคอมากจนจะ เหมือนยาของหนานกงเฉินแล้ว เธอกลืนไม่ลงจริงๆเลยโกหกกับคุณหญิงว่า “ยายังร้อนอยู่ เดี๋ยวอีกสักครู่หนูค่อยทานนะคะ”

“ได้ ต้องกินให้หมดนะ”

“ได้ค่ะ”

จากนั้นคุณหญิงก็ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วออกไปจากห้องเธอพร้อมกับพี่เหอ

หลังจากที่คุณหญิงออกไป แล้วไป๋มู่ชิงแน่ใจว่าท่านจะไม่กลับมา ค่อยยกถ้วยยาเดินไปทางห้องน้ำ จากนั้นก็เทยาทิ้งไป

หลังจากที่ออกมาจากห้องน้ำเธอก็สะดุ้งตกใจกับหนานกงเฉินที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง เธอถอนหายใจยาวแล้วพูดอย่างหงุดหงิด “นายเดินไม่มีเสียงหรอ? ตกใจหมด”

ถ้าไม่ได้ทำอะไรผิด จะตกใจง่ายขนาดนี้ได้ยังไง?” สายตาของหนานกงเฉินมองไปที่ถ้วยยาในมือเธอ

ไป๋มู่ชิงรีบซ่อนถ้วยยาไปข้างหลัง

“นั่นเป็นอะไรกันแน่?” เธอซ่อนได้ไม่ดีมากนัก เลยทำให้หนานกงเฉินเกิดความสงสัย

ไป๋มู่ชิงรู้ว่าตัวเองคงปิดบังไม่ได้ก็เลยนำถ้วยยาออกมา “นี่เป็นยาที่คุณย่าให้ฉัน บอกว่าถ้าดื่มแล้วตั้งครรภ์อีกเด็กก็จะไม่มีปัญหาอะไร”

สีหน้าของหนานกงเฉินนิ่งทันทีแล้วสายตาก็ค่อยๆคมขึ้น

ไป๋มู่ชิงก็รีบอธิบาย “แต่ว่านายไว้ใจเถอะ ฉันเทยาทิ้งไปแล้ว”

แต่ว่า เธอก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมสีหน้าเขาถึงเปลี่ยน

“ทำไมเทยาทิ้ง?” หนานกงเฉินเอ่ยถามขึ้นเสียงเข้ม

“นายไม่อยากมีลูกไม่ใช่หรอ? ถ้าไม่อยากมีฉันก็ไม่จำเป็นต้องกินยาพวกนี้” ไป๋มู่ชิงพูดด้วยสีหน้าตั้งใจ

แต่หนานกงเฉินกลับเดินเข้ามาแล้วเอนตัวดักเธอไว้หน้าอ่างล้างมือแล้วจ้องเธอใกล้เข้ามา “สรุปเป็นเธอที่ไม่อยากมีหรือผมไม่อยากกันแน่?”

ไป๋มู่ชิงถูกเขาบีบจนรู้สึกใจสั่น จากนั้นก็พิงไปข้างหลังที่อ่างล้างมือ “นายเป็นคนที่ไม่อยากมีเองไม่ใช่หรอ? ฉันกำลังคิดเผื่อนายนะ”

เธอยอมรับว่าตัวเองก็ไม่อยากมีอีก แต่ว่าเธอกลัวว่าคำพูดนี้จะทำให้เขาโมโห

เวลานี้เธอจะมีอารมณ์มามีลูกได้ยังไง แม้กระทั่งแต่งงานก็ถูกบังคับแล้วทำอย่างรวบรัด สถานการณ์ที่เสี่ยวอี้กับลูกไม่รู้ว่าเป็นยังไง เธอไม่อยากมีลูกอีกคนเพื่อที่จะมัดตัวเองไว้อีกแล้ว

อีกอย่างใครจะรู้ว่ายานี้ได้ผลหรือเปล่า ใครจะรู้ว่าเธออาจจะตั้งครรภ์เด็กที่ผิดปกติอีกก็ได้

“ถ้าครั้งนี้ผมตกลงที่จะมี คุณก็ควรจะดื่มยาพรุ่งนี้ไปให้หมดไม่ใช่หรอ?” หนานกงเฉินก็ยังจ้องมองไปที่เธอ

“นายว่าอะไรนะ?” ไป๋มู่ชิงรู้สึกแปลกใจ เขาตกลงให้เธอตั้งครรภ์แล้วหรอ? ทั้งๆที่ครั้งก่อนเขาปฏิเสธขนาดนั้น! “นาย……อยากมีลูกหรอ?”

“ใช่ ผมอยากมี แล้วเธอล่ะ?”

“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะเอ่ยพูดอะไร เธอไม่อยากมีอยู่แล้ว แต่เธอจะพูดคำนี้ออกมาได้ยังไงถึงทำให้เขาไม่โกรธ?

ทำยังไงดี? เขาอยากมีลูก ทำไมเขาถึงอยากมีลูก นี่ไม่สมกับนิสัยของเขาเลย

เพื่อที่จะทำไม่ทำให้เขาหงุดหงิดเธอก็เลยพยักหน้า “ฉันก็อยากมีอยู่แล้ว”

“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณอยาก” หนานกงเฉินถอยหลังไปก้าวหนึ่งแล้วยิ้มเสียดสี “ลูกเป็นเกาะกำบังของผู้หญิง เธอจะไม่อยากมีได้ยังไง?”

ไป๋มู่ชิงคิดในใจ เขาจะพูดอะไรก็พูดไปเถอะ แค่เขาไม่โกรธก็พอแล้ว

หลังจากที่ออกมาจากห้องอาบน้ำ ไป๋มู่ชิงเห็นว่าเขากำลังจะเดินออกไปจากห้องนอนก็เลยรีบเรียกเขาไว้ “คุณชายคะ เปลี่ยนห้องให้ฉันได้ไหม?”

หนานกงเฉินหันกลับมาแล้วมองไปรอบๆ “ทำไม? ห้องนี้ไม่ดีหรอ?”

“ฉัน……ไม่ชอบอยู่ห้องที่คนอื่นเคยอยู่แล้วโดยเฉพาะเป็นคนที่ตัวเองไม่ชอบด้วย”

หนานกงเฉินคิดไปคิดมาก็เลยพยักหน้า “ได้”

“งั้นรบกวนคุณให้พวกเธอเก็บกวาดห้องให้ฉันด้วย”

“ไม่ต้อง มีอยู่แล้ว”

“ที่ไหน?”

“ตามผมมาสิ” หนานกงเฉินหันหลังเดินออกจากประตู ไป๋มู่ชิงก็รีบเดินตามขึ้นไป ในใจก็รู้สึกตื่นเต้น ดูเหมือนว่าผู้ชายคนนี้จะคุยได้ไม่ยากขนาดนั้น

หนานกงเฉินพาเธอมาที่ห้องตรงข้ามแล้วเปิดประตู ใช้คางชี้ไปในห้อง “ห้องนี้”

“ห้องนี้?” ไป๋มู่ชิงประหลาดใจ เขาให้เธออยู่ที่ห้องเขางั้นหรอ? แล้วเขาล่ะ?

หนานกงเฉินมองไปที่เธอแล้วขมวดคิ้ว “ทำไม? ห้องนี้ก็เป็นห้องคนที่เธอไม่ชอบเคยอยู่หรอ?”

“เปล่า……” ให้ความกล้าเธอมากแค่ไหนก็ไม่กล้าพูด ไม่งั้นคงโดนเขาจัดการแน่

“ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ห้องนี้ไปก่อน” หนานกงเฉินพูดจบก็หันหลังเดินไปที่ห้องทำงาน

ไป๋มู่ลิงยืนนิ่งอยู่จะหน้าห้องของเขาไปสักครู่ ในใจก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอกก็แค่คืนเดียว พรุ่งนี้ก็ไปแล้ว

หลังจากที่หนานกงเฉินไปที่ห้องทำงานแล้ว ไป๋มู่ชิงก็ยืนอยู่ที่ห้องของเขา ก็รู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา

ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เข้ามาในห้องนี้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเป็นเหมือนหนังตลกเลย พยายามที่จะลืมไปให้หมด แล้วตอนนี้ก็ใช้ตัวตนใหม่มายืนอยู่ที่นี่อีกครั้ง รู้สึก……แปลกจัง

ถึงแม้จะไม่กล้าคาดหวังว่าหนานกงเฉินจะอยู่ที่ห้องทำงาน แต่ท่าทางของเขาช่วงนี้ที่มีต่อเธอ ไม่รังแกเธอก็ดีแค่ไหนแล้ว

ตอนที่กำลังอาบน้ำ ไป๋มู่ชิงก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองลืมซื้อชุดนอน คิดไม่ถึงเลยว่าจะมานอนค้างคืนที่คฤหาสน์ใหญ่นี้

เปิดประตูตู้เสื้อผ้ามา ข้างในนั้นก็เป็นเสื้อผ้าของหนานกงเฉิน มีทุกแบบทุกสไตล์ แต่เธอก็เหมือนเมื่อคืน เลือกเสื้อเชิ้ตตัวยาวแล้วเดินเข้าไปอาบน้ำ

หลังจากที่อาบน้ำเสร็จ ก็มาดูโทรทัศน์ หนานกงเฉินก็ยังไม่กลับมาจากห้องทำงาน

ไป๋มู่ชิงนอนอยู่บนเตียงก็หันไปมองโทรศัพท์ตรงหัวเตียง ก็เลยรู้ว่าหนานกงเฉินลืมถอดสายโทรศัพท์ออก เขาเป็นอะไร? เขาจะลดมาตรฐานการคุมเข้มเธอหรอ? ท่าทางเปลี่ยนไปเร็วขนาดนี้เลย?

เธอยกโทรศัพท์ขึ้นฟัง ไม่ได้ถอดสายจริงๆด้วย

หรือว่า……ไป๋มู่ชิงมองไปที่หนังสือสมรสที่หนานกงเฉินโยนอยู่บนโต๊ะ หรือว่าเขาคิดว่าหนังสือสมรสนี้ก็สามารถมัดตัวเธอได้แล้ว ไม่ต้องกังวลว่าเธอจะไปหาหลินอันหนาน ไม่ต้องกังวลด้วยว่าเธอจะตามหาเสี่ยวอี้!

ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ผู้ชายคนนี้ก็คงมั่นใจตัวเองเกินไปแล้ว!

ไป๋มู่ชิงนอนหลับไปท่ามกลางความคิดที่ตีกันวุ่นอย่างนี้ แล้วยังหลับลึกด้วย

เมื่อหนานกงเฉินเดินเข้ามา ก็เห็นเธอนอนหันข้างอยู่ข้างเตียง เกือบจัดตกเตียงอยู่แล้ว บนตัวก็ใส่เสื้อเชิ้ตของเขา เซ็กซี่น่าดึงดูดมาก เรียวขายาวทั้งสองข้างก็หดอยู่ อาจจะเป็นเพราะว่า

เปิดแอร์หนาวเกินไป

หนานกงเฉินเก็บสายตาตัวเองจากบนตัวเธอแล้วเอนตัวไปห่มผ้าห่มให้เธอ ปรับอุณหภูมิห้องให้อุ่นขึ้นจากนั้นค่อยอ้อมไปอีกฝั่งแล้วนอนลง

เช้าวันต่อมา ตอนที่ไป๋มู่ชิงตื่นมาก็รู้ว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงคนเดียว เธอใช้เวลาสองนาทีเพื่อที่จะคุ้นชินกับสภาพแวดล้อมตรงหน้าแล้วนึกย้อนถึงเมื่อคืนด้วย นี่เป็นห้องนอนของหนานกงเฉิน เมื่อวานเธอกับหนานกงเฉินไปจดทะเบียนสมรสแล้ว ตอนนี้เป็นสามีภรรยากันแล้ว

จากนั้นก็กลับมาที่คฤหาสน์เก่าตระกูลหนานกง ตอนที่เธอนอนหลับไปหนานกงเฉินก็ยังทำงานอยู่ในห้องทำงาน ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเขาได้กลับมานอนที่ห้องหรือเปล่า?

เธอก้มหน้ามองไปที่เสื้อเชิ้ตบนตัวของตัวเองแล้วมองไปที่ข้างเตียง นั่นเป็นร่องรอยของคนที่เพิ่งนอนไป ดูเหมือนว่าเมื่อคืนเขาจะกลับมานอน แต่ว่าไม่ได้รบกวนเธอเลย

เขาไม่รบกวนเธอเลย เป็นเรื่องที่แปลกมาก!

ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นนั่งบนเตียง พอกำลังจะลงจากเตียงก็มีเสียงลอยมาจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นหนานกงเฉินก็เดินออกมา เขาแต่งตัวเสร็จแล้ว

ไป๋มู่ชิงรีบจัดเสื้อผ้าบนตัวที่ไม่ค่อยปกปิดมากจากนั้นแล้วเอ่ยขึ้นแห้งๆกับเขา “อรุณสวัสดิ์!”

“เมื่อวานเดินไปทั้งวันซื้อมาแค่กระโปรงตัวเดียวหรอ?” หนานกงเฉินกวาดมองเสื้อเชิ้ตของตัวเองบนตัวเธอ

“ฉันคิดว่าทานอาหารเย็นเสร็จก็จะกลับไปที่บ้าน ก็เลย……” ไป๋มู่ชิงดึงชุดนอนบนตัว เสื้อเชิ้ตแบรนด์ดังของเขา เธอเอามาใส่เป็นชุดนอนครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ดูเหมือนเกินไปจริงๆ

หนานกงเฉินไม่ได้สนใจเสื้อเชิ้ตนี้ แต่กลับชอบเห็นท่าทางที่น่ารักน่าเอ็นดูของเธอ ใส่เสื้อเชิ้ตของตัวเองแล้วเดินไปเดินมาในห้อง เขาไม่ได้เอ่ยพูดอะไรอีก จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องนอนไป

ไป๋มู่ชิงแอบได้ยินเสียงที่หนานกงเฉินสั่งกับคนรับใช้ “เอาของในห้องคุณหญิงน้อยออกไปให้หมด”

“ได้ค่ะคุณชาย ไม่ทราบว่าจะเปลี่ยนเป็นของใหม่หมดเลยมั้ยคะ?” คนรับใช้หญิงถาม

หนานกงเฉินเงียบไปสักครู่ค่อยเอ่ย “ไม่ต้อง ให้ว่างอยู่อย่างนั้น”

ให้ว่างอยู่อย่างนั้น? งั้นก็แสดงว่าจะกลับไปที่บ้านใช่ไหม เธอจะไม่มีอิสระอีกแล้ว

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท