เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 147 ไอคิวของเธอ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงกำลังจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ แต่เป็นไปอย่างที่คิดไว้เธอโดนคนไม่ดีคนหนึ่งกดไปบนโซฟา ในขณะนั้นร่างกายที่หิวกระหายได้ครอบคลุมมาและกดตัวเธอลงไป

ไป๋มู่ชิงพูดออกมาเบาๆและขัดขืดโดยอัตโนมัติว่า“คุณอย่ามาทับฉัน หนักจะตายแล้ว ฉันทรมานจะตายแล้วนะ!”

“ที่ยิ่งทรมานนั้นคือหลังจากนี้”หนานกงเฉินใช้มือไปจับคางของเธอหันหน้ากลับมาและพูดว่า“เธอรักฉันไหม?”

“รักสิ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า

“ครั้งหน้ายังจะกล้าทำให้ฉันขายหน้าต่อหน้าคนอื่นอีกไหม?”

“ไม่กล้าแล้ว”

หนานกงเฉินเลยพลิกตัวเธอมา มือทั้งสองอยู่ที่ข้างกายของเธอ มองไปที่เธอและจูบไปที่ริมฝีปากของเธอเพื่อเป็นการลงโทษ ทันใดนั้นที่หน้าประตูก็มีเสียงมาทำลายบรรยากาศ

เสียงเคาะประตู

“มีคนมา”ไป๋มู่ชิงผลักเขาออกไปอย่างแรง หนานกงเฉินไม่ทันตั้งตัวก็ตกลงไปอยู่ที่ล่างโซฟา

เสียงเคาะประตูดังมาไม่หยุด ไป๋มู่ชิงรีบลุกขึ้นมานั่งและหยิบหมอนข้างๆมาวางไว้บนขา

พอเปิดประตูแล้วนั้นเป็นพี่เหอที่ถือจานและผลักประตูเดินเข้ามา

ก่อนอื่นตอนที่เธอเดินเข้ามาก็เห็นไป๋มู่ชิงที่นั่งหน้าแดงอยู่ตรงโซฟา หลังจากนั้นก็เป็น หลังจากนั้นก็เป็นหนานกงเฉินที่ใส่แค่ผ้าเช็ดตัวอยู่ที่โต๊ะน้ำชา เธอตกใจไปเลยเลยรีบถามอย่างเป็นห่วงว่า“คุณชายใหญ่เกิดอะไรขึ้น?”

“เขา……เขาแค่แกล้งเล่นเฉยๆ”ไป๋มู่ชิงรีบเอื้อมมือไปดึงหนานกงเฉินที่อยู่ตรงนั้นมา จากที่หนานกงเฉินไม่เคยจนตรอกแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นเลยรู้สึกอายมากที่จะต้องลุกขึ้นมา หลังจากมองไป๋มู่ชิงด้วยความโกรธแล้วก็เดินไปที่ตู้เสื้อผ้า ไปหยิบชุดคลุมอาบน้ำออกมาใส่

ไป๋มู่ชิงมองหน้าเขาแล้วรู้สึกได้เลยว่าเขาไม่พอใจมากๆ เลยก้มหัวลงไปและแอบหัวเราะ

ขอบคุณพี่เหออย่างมาก มาพอดีจังหวะเลยจริงๆ!

พี่เหอมองดูทั้งสองคน รู้ตัวว่าตัวเองไปทำลายบรรยากาศของพวกเขาก็เริ่มรู้สึกผิดขึ้นมา

เธอเอาจานไปวางไว้ที่โต๊ะน้ำชาและเอายามาวางให้ไป๋มู่ชิงหนึ่งถ้วยและพูดว่า“นายหญิงน้อย นี่ยาของคุณ”และรีบยกอีกถ้วยพูดว่า“นี่ยาของคุณชายใหญ่ ยังไงก็กำชับให้คุณชายใหญ่ดื่มด้วยนะ”

ไป๋มู่ชิงมองไปที่ยาสมุนไรจีนสีดำๆ เลิกคิ้วและทำหน้าเมินเฉยพูดว่า“ไม่ใช่ว่ากินไม่กี่ครั้งก็พอแล้วไม่ใช่เหรอ?”

“ต้องดื่มติดต่อกันห้าวัน วันนี้ก็เป็นวันที่สามแล้ว”พี่เหอพูด“ดื่มอีกสองวันก็จะหมดแล้ว”

หนานกงเฉินเดินมาพูดกับพี่เหอว่า“พี่เหอออกไปก่อนเถอะ ฉันจะเฝ้าเธอกินเอง”

“งั้นก็ดี ยังไงก็ต้องดื่มนะ”พี่เหอรีบพูดกับหนานกงเฉิน“คุณชายใหญ่ก็ด้วยนะ”

“รู้แล้วครับ ไปเถอะ”

หลังจากที่พี่เหอออกไปแล้วนั้น ทั้งสองคนนั่งมองยาสมุนไพรจีนบนโต๊ะอยู่ที่โซฟาและไม่พูดอะไรออกมาเลย

ผ่านไปครู่ใหญ่ๆ ไป๋มู่ชิงถึงจะพูดออกมาว่า“ชีวิตที่ขมขื่น”

หนานกงเฉินหันไปมองที่เธอ

“ที่ฉันพูดว่าขมขื่นนั้นคือยาสมุนไพรจีน”ไป๋มู่ชิงรีบพูด หลังจากนั้นยกถ้วยยาขึ้นมายิ้มแห้งๆพูดว่า“มาเถอะ เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงของพวกเรา ชนแก้ว”

ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขา เธอคงไม่ต้องดื่มยาพวกนี้หรอก!

แต่ว่าคำพูดพวกนี้ถ้าเธอไม่พูดออกมา คาดว่าหนานกงเฉินต้องไม่พอใจแน่ๆ

เห็นหนานกงเฉินไม่มีปฏิกิริยาอะไร ไป๋มู่ชิงเลยพูดว่า“งั้นฉันดื่มก่อนละกันนะ”พอพูดจบเธอเงยหน้ากระดกดื่มยาในถ้วยลงไป

เธอวางชามลงและพร้อมกับเดินออกไปจากโซฟา ทันใดนั้นหนานกงเฉินพูดมาว่า“ดื่มหนึ่งถ้วยถือว่าดื่ม ดื่มสองถ้วยก็ถือว่าดื่ม ทำไมไม่ดื่มของฉันไปด้วยเลยล่ะ”

เขาหยิบถ้วยยาไปยื่นให้ไป๋มู่ชิง

ไป๋มู่ชิงสะอึกกับรสชาติที่ขมขื่นนั้นและจ้องเขาว่า“คุณฝันไปเถอะ”

“นี่เป็นโอกาสไถ่โทษของเธอ”

“งั้นถ้าฉันดื่มแล้วคุณจะดื่มอะไร?”

“ฉันไม่ต้องการมัน”

“ไม่ได้นะ พี่เหอพูดว่าไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องดื่มเข้าไป คุณชายใหญ่นี่คุณว่าตัวเองเป็นเด็กเหรอทำไมเปลี่ยนไปนิสัยเด้กแบบนี้?”ไป๋มู่ชิงผลักยาคืนไปให้เขา พูดว่า“ดื่มลงไปสะดีๆ ทำเหมือนกับฉันเมื่อครู่เลย ดื่มเข้าไปรวดเดียวเลย”

“จะดื่มเข้าไปในรวดเดียวได้อย่างไร?เธอทำให้ดูเป็นตัวอย่างหน่อยสิ”

“ก็เป็นแบบนี้ไง”ไป๋มู่ชิงจับถ้วยมาจากเขาและเลื่อนเอาถ้วยมาที่ปาก ค่อยๆดื่มลงไป

เธอดื่มไปแล้วบางส่วนก็คิดได้ว่าหลังจากที่ตนเองดื่มยาไปแล้วจะต้องผลักมือเขาออกไป

หนานกงเฉินกลับดันถ้วยเข้าไปในปากเธออย่างไม่ต้องสงสัย และพูดว่า“มองไม่ชัดเลย ทำเป็นตัวอย่างอีกรอบสิ……มองไม่ชัดจริงๆนะ……”

“ฮะ……”ไป๋มู่ชิงเริ่มร้อนใจ เธอทั้งสะบัดหัวพูดออกมาเบาๆ ไม่ง่ายเลยที่จะผลักมือของหนานกงเฉินและถ้วยยาออกไป

หอบเล็กน้อยและใช้กระกาษทิชชู่เช็ดปาก จ้องพูดกับเขาด้วยสีหน้าที่ไม่มีแรงว่า“เห็นชัดเจนแล้วหรือยัง?”。

“เห็นชัดเจนแล้ว”หนานกงเฉินเอาถ้วยกลับไปวางบนโต๊ะ

“งั้นคุณรีบดื่มสิ”

“เธอจะให้ฉันดื่มอะไรกัน?”

“ดื่มยาไง”ไป๋มู่ชิงเอื้อมมือไปหยิบถ้วยยาของเขา แต่ในถ้วยยานั้นกลับว่างเปล่า

เธออึ้งไปเลย หลังจากนั้นยกมือขึ้นไปจับริบฝีปากของตนเอง ไม่ใช่หรอก เธอคิดไม่ถึงว่าจะดื่มยาของเขาลงไปหมดเลย!

นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?เธอหันไปมองหนานกงเฉินที่สีหน้าไม่รู้สึกอะไรเลย ในที่สุดเลยได้รู้ว่าตนเองถูกหลอก

“หนานกงเฉินคุณมันคนหลอกลวง!”เธอพูดออกมาด้วยความโมโห

หนานกงเฉินจ้องไปที่เธอและพูดเบาๆว่า“ก็ดูไอคิวของเธอสิและแบบนี้ไงฉันเลยไม่สามารถยินยอมให้เธอมีลูกได้”

“คุณ……หมายความว่าอย่างไร?”

“งั้นก็หมายความว่า……เมื่อครู่นี้ที่เธอดื่มไปถ้วยแรกคือเปล่าประโยชน์เหรอ ไอคิวของเธอนี้ถ้าคลอดลูกมาถ้าไม่พิการก็ต้องโง่แน่ๆ”

“แล้วสรุปว่า?แสดงว่าคุณก็เป็นคนสมองทึ่มเหรอ?”

“ไป๋มู่ชิง!”

“ขอโทษ ฉันผิดไปแล้ว”ไป๋มู่ชิงรู้ว่านี้เป็นเรื่องต้องห้ามสำหรับเขา เธอไม่ควรพูดถึง

ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นมาจากโซฟาและเดินออกไปจากเขา

หนานกงเฉินรั้งมือเธอไว้“เธอจะไปไหน?ใครให้เธอไป?”

“ฉันอยากเข้าห้องน้ำ เมื่อครู่ดื่มยาเยอะเกินไป”ไป๋มู่ชิงจ้องตอบเขาด้วยสีหน้าที่ไม่กลัวเลย

หนานกงเฉินปล่อยมือเธอ ในที่สุดเธอก็เป็นอิสระและรีบเดินเข้าห้องน้ำไป

ถึงแม้ว่าเธอจะดื่มยาลงไปติดต่อกัน แต่ไม่ถือว่าเร็วขนาดนั้น เธอเพียงแค่อยากจะไปซ่อนตัวที่ไหนสักที่หนึ่งเพราะเธอรู้ว่าทุกครั้งที่ตนเองพูดเรื่องอดีต หนานกงเฉินจะโมโหมากหลังจากนั้นจะควบคุมสติไม่ได้

เธอนั่งบนโถชักโครกเพื่อรอเขาใจเย็นลงก็ปาเข้าไปยี่สิบนาทีเธอถึงจะออกมาจากในห้องน้ำ

หนานกงเฉินจเย็นลงบ้างแล้ว นั่งพิงอยู่ที่หัวเตียงกำลังดูข่าวเศษฐกิจในช่วงกลางคืนอยู่

เธอเดินออกมาอย่างระมัดระวังไปนั่งที่อีกฝั่งของเตียง

หนานกงเฉินหันไปสั่งเธอว่า“มานี่!”

ไป๋มู่ชิงที่กำลังเปิดผ้าห่มออกก็ได้หยุดชะงักและมองไปที่เขาพูดว่า“มีอะไรเหรอ?”

“เธอคิดว่าอย่างไรล่ะ?”ในที่สุดหนานกงเฉินหันหน้าไปจ้องเธอและพูดว่า“แน่นอนว่าต้องสานต่อเรื่องที่ยังไม่สำเร็จเมื่อครู่สิ”

ไป๋มู่ชิงพูดอะไรไม่ออก ยังคิดว่าเขาลืมไปแล้วด้วยซ้ำไม่คิดเลยว่าเขายังจะคิดถึงเรื่องนั้นอยู่!

“ไม่ได้คะ ต้องรีบไปเข้าห้องน้ำ”เธอรีบเอามือไปกุมที่หน้าท้องและหันตัวกลับเข้าห้องน้ำไป

ครั้งนี้ไม่ได้โกหกแต่จำเป็นต้องเข้าห้องน้ำจริงๆ

ตอนที่กลับออกมาจากห้องน้ำและมาที่เตียง เธอเห็นว่าหนานกงเฉินหลับไปแล้วเธอเลยไปนองข้างๆเขา เธอกำลังจัดท่าจะนอนก็พบว่าหนานกงเฉินกำลังจ้องเธออยู่ เลยคลานเข้าไปใกล้ๆเขา

เพื่อที่จะแสดงออกว่าตัวเองนั้นไม่ได้ตั้งใจ เธอยังจู่โจมไปจูบเขาเองอีกด้วย

ในที่สุดหนานกงเฉินก็พอใจ รับจูบที่ไม่ได้ชำนาญมากขนาดนั้นของเธอ เอาฝ่ามือของเขาลูบไปที่ขาเรียวยาวของเธอและลูบไล้ไปมา

เขาจากผู้ถูกกระทำกลับกลายเป็นผู้กระทำ ตอนที่กำลังรู้สึกจมดิ่งกับความต้องการนั้น ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงจับมือเขาไปจับหน้าท้องของตนเองและพูดว่า“ไม่ได้ ฉันอยากไปเข้าห้องน้ำ”

หนานกงเฉินอึ้งไปเลย ทันทีหลังจากนั้นก็หันไปจ้องเธอด้วยสายตาที่ไม่มีความสุขเลย

“ฉันขอโทษ ไตฉันไม่ค่อยดี”ไป๋มู่ชิงยิ้มแห้งๆออกมาด้วยความรู้สึกผิด รีบลุกออกไปจากเขาและรีบไปเข้าห้องน้ำ

ตอนที่รอเธอกลับมาจากห้องน้ำหนานกงเฉินคงหมดอารมณ์แล้ว นอนหันหลังใส่เธอและหลับตานอนไปแล้ว

ไป๋มู่ชิงไม่ได้ตั้งใจ แต่ว่าเรื่องแบบนี้จะให้ไปขอโทษหนานกงเฉินก็ไม่ได้ เป็นแบบนี้ก็ดีแล้วเพราะในที่สุดเธอจะได้ผ่านเรื่องนี้ไปและหลับได้อย่างสบายใจ

ตื่นขึ้นมาในเช้าของอีกวัน ไป๋มู่ชิงพบว่าตนเองเหมือนกับงูที่ไปรัดตัวเขาไว้อยู่ เธอมองดูตนเอง มิน่าล่ะหนานกงเฉินถึงพูดว่าเธอใส่เสื้อเชิ้ตยังยั่วยวนมากกว่าใส่ชุดนอนเซ็กซี่พวกนั้นอีก ตอนที่พึ่งตื่นเสื้อเชิ้ตก็ไปกองอยู่ตรงเอว ขาทั้งสองข้างโผล่ออกมาอยู่ด้านนอก

เมื่อคืนก็อยู่ไกลเขาอยู่นะ แต่ทำไมพอตื่นขึ้นมาถึงไปนอนอยู่บนตัวเขาได้ ยิ่งกว่านั้นคือเธอปีนขึ้นไปบนตัวเขาเองด้วย ถ้าหากเขามาเห็นเข้าเขาจะคิดว่าเธอไปยั่วเขาไหม?

เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของพุทธศาสนิกชนที่ดี เธอค่อยๆเอามือและขาของเธอย้ายออกมาอย่างระมัดระวัง หลังจากนั้นเอาหน้าของเธอออกมาจากหน้าอกของเขา ตอนที่เธอกำลังจะเอาตัวเธอออกมาก็กวาดตาไปเห็นหน้าของหนานกงเฉิน

เธอและเขาได้สบตากัน เธอตกใจเหมือนกับโจรที่ถูกจับได้

เขาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?เมื่อครู่เขายังหลับอยู่เลย

หนานกงเฉินมองไปที่เธอ ครู่ใหญ่ๆถึงจะพูดออกมาด้วยความเย็นชาว่า“ปวดฉี่เหรอ?”

“ฮะ?”ไป๋มู่ชิงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับไปสักพัก พอคิดได้ก็สะบัดหัวพูดว่า“ไม่ปวด”

“งั้นก็ดี!”หนานกงเฉินจับแขนเธออย่างแรง ไป๋มู่ชิงเลยไปอยู่บนตัวเขาภายในพริบตาเดียว เขารีบพลิกตัวอย่างเร็วและยังพาเธอพลิกไปพร้อมกันด้วย เธอเลยถูกกดอยู่ใต้ร่างกายของเขา

เรื่องที่ทำไม่สำเร็จเมื่อคืน เขาเลยวางแผนไว้ว่าจะชดเชยให้สองเท่าเลย!

ไป๋มู่ชิงโดนเขาทับไปขนาดนั้นเลยทนไม่ได้ที่จะต้องส่งเสียงร้องออกมา

หนานกงเฉินจูบกลับไปอย่างรวดเร็ว เสียงเธอตกใจก็กลับเข้าไปอยู่ที่ลำคอ หลังจากนั้นก็ฉวยโอกาสจูบเข้าไปในปากเธอ……

การออกกำลังกายยามเช้าของทั้งสองคน ขนาดเสี่ยวลวี่มาเรียกให้ไปทานข้าวก็ยังโดนหนานกงเฉินตอบกลับไปจนเธอต้องรีบจากไป

ไป๋มู่ชิงตีไปที่ไหล่ของหนานกงเฉินอย่างกระวนกระวายและพูดว่า“คุณรีบปล่อยฉันสิ คุณย่าจะว่าฉันเอานะ”

ผู้ชายคนนี้เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว ถ้าถึงเวลาที่คุณผู้หญิงมาต่อว่า เขาต้องทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นและไปกินอาหารเช้าของตนเอง ไม่รู้สึกกดดันแม้แต่น้อย แต่เธอต้องโดนต่อว่าจนถึงลูกถึงหลานแน่ๆ

“ถ้าเธอยังพูดมากอยู่ ฉันก็จะด่าเธอเหมือนกัน”หนานกงเฉินกัดหูและเตือนเธอว่า“ไม่ ฉันจะไม่ด่าเธอ แต่ฉันจะทำให้เธอไม่มีแรงแม้แต่จะมาด่าฉัน”

เขาขู่เธอขนาดนี้ สุดท้ายไป๋มู่ชิงก็ไม่ขัดขืนแล้ว

ไม่ว่าในกรณีใดๆเธอก็ดิ้นไม่หลุด เธอก็ได้แต่ต้องยอมเขา!

พอพวกเขาทั้งสองคนเสร็จกิจแล้ว ขณะที่จัดแจงตนเองจะลงไปด้านล่างนั้น คุณผู้หญิงทานอาหารเช้าเสร็จแล้วเรียบร้อยและกำลังนั่งจิบชาอยู่ที่ห้องรับแขก

เซิ่งเคอและเซิ่งซินก็ออกไปหมดแล้ว มีแค่ผู่เหลียนเหยาที่อยู่จิบชาเป็นเพื่อนคุณผู้หญิง

เห็นทั้งสองคนลงมา คุณผู้หญิงก็ต่อว่าพวกเขาเหมือนอย่างที่คิดไว้จริงๆ“นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้วพึ่งจะตื่นนอน มันเข้าท่าเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงเตรียมตัวจะถูกต่อว่ามาตั้งแต่แรกแล้ว ก้มหัวลงไปพูดอย่างอ่อนน้อมว่า“ขอโทษค่ะ พอดีเมื่อคืนนอนหันค่อนข้างดึก”

“สี่ทุ่มนี่เรียกว่าดึกเหรอ?”หนานกงเฉินพูดออกมาเบาๆ

ไป๋มู่ชิงตกใจไปครู่หนึ่งก็หันหน้าไปจ้องเขาด้วยความโมโห ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขาเธอคงลงมาตั้งนานแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังจะมีหน้ามาฉีกหน้าเธออีก?

คุณผู้หญิงหันไปจ้องหนานกงเฉินและต่อว่าเขาว่า“เธอก็อีกคน ไม่ต้องไปทำงานแล้วหรือไงกัน?”

หนานกงเฉินเดินยิ้มไปนั่งตรงข้ามคุณผู้หญิงและพูดว่า“คุณย่า ก็คุณย่าบอกให้ผมพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ต้องไปพยายามขนาดนั้นเองไม่ใช่เหรอครับ?”

ไป๋มู่ชิงแอบกรอกตาใส่เขา เขาก็ไม่ได้พักผ่อนนะ รู้ๆกันอยู่ว่านี่ยิ่งทำให้ไม่ได้พักผ่อนใช้แต่แรง ยิ่งกว่านั้นยังไม่ใช่การใช้แรงกาย

ผู่เหลียนเหลามองไปที่ทั้งสองคนก็ถือว่าเป็นคนที่ยังตกอยู่ในห้วงของความรัก ทำไมเธอถึงมองไม่ออกรอยแดงพวกนั้นบนตัวของไป๋มู่ชิงกันนะ เห็นได้ชัดว่าพึ่งมีอะไรกันมา เธอเลยได้แต่หัวเราะหยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ และไม่ได้พูดอะไรออกมา

เพื่อที่จะเปลี่ยนเรื่องคุย ไป๋ฒู่ชิงเลยยิ้มถามออกมาไปว่า“เมื่อกี้คุยอะไรกัยอยู่เหรอ?ฉันเห็นผู่เหลียนเหยามีความสุขมากเลย”

ผู่เหลียนเหยาหัวเราะออกมาว่า“เมื่อครู่พึ่งพูดกับคุณย่าว่า ฉันคิดว่าจะไปทำงานที่โรงพยาบาล แต่ยังไงก็เป็นเพราะว่าขาไม่ดีไม่ใช่สมองกับมือสักหน่อย กลับไปทำงานยังไงก็ถือว่าไม่เป็นอะไร”

“เป็นอย่างนี้นี่เอง งั้นคุณย่ายอมไหม?”

“ยอมให้ไปแล้วค่ะ”ผู่เหลียนเหยาไปจับมือคุณผู้หญิงด้วยความดีใจและพูดว่า“คุณย่าพูดว่า ถึงแม้ว่าเธอจะขาดเพื่อนไปหนึ่งคนก็คงจะเบื่อมากๆ แต่ผู้หญิงเราควรมีอาชีพการงานและสังคมของตนเองบ้าง”

“เห็นๆกันอยู่ว่าเธอเองอยากอยากหาเงิน อยากไปทำงาน”คุณผู้หญิงยิ้มและไปตบแขนเธอเบาๆ

“คุณย่าเก่งที่สุดเลย”ผู่เหลียนเหยายิ้มเล็กยิ้มใหญ่

มีอาชีพการงานและสังคมของตนเอง จริงๆแล้วนั้นก็เป็นความฝันของไป๋มู่ชิงมาโดยตลอด

เธอพูดออกมาอย่างลังเลว่า“ฉันก็อยากไปทำงาน”

พอพูดออกมาแบบนั้นแล้ว ทั้งสามคนที่นั่งอยู่ในห้องรับแขกก็หันมามองเธอ

ไป๋มู่ชิงรีบพูดออกไปว่า“คุณย่า หนูก็อยากไปทำงานเหมือนกันค่ะ”

“เธอจะไปไหนนะ?อยู่บ้านดูแลตัวเองก็ดีอยู่แล้ว”คุณผู้หญิงแทบจะปฏิเสธออกไปโดยไม่คิดเลย

ไป๋มู่ชิงก็เงียบไป เธอคิดว่าคุณผู้หญิงจะยอมรับให้เธอไปสะอีก คิดไม่ถึงเลยว่าจะโดนปฏิเสธแบบนี้

เธอหันไปมองหนานกงเฉิน รายนั้นกำลังดื่มชาอยู่ ไม่ได้มีความอยากจะมาช่วยเลยแต่อย่างใด ถ้าเขาไม่ยอมงั้นงานในฝันของเธอ……ก็ได้แค่ฝันต่อไปเหรอ

ผู่เหลียนเหยามองไปที่ทุกคนและพูดออกมาทันทีว่า“คุณย่า ทำงานก็ดูแลตัวเองได้นะคะ”

“ตระกูลหนานกงก็มีเงิน ตระกูลไป๋ก็ไม่ได้ต้องให้เธอไปส่งเงินให้ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องทำหรอก” คุณผู้หญิงพูดออกมาแบบนี้ ในใจของไป๋มู่ชิงก้รู้สึกเข็บปวดขึ้นมา

แน่นอนว่าเธอรู้ว่าคุณผู้หญิงหมายความว่าอย่างไร ตอนนี้ไม่มีตระกูลไป๋แล้ว ถึงแม้เธออยากจะดูแลก็ดูแลไม่ไหวหรอก

ดีที่เธอไม่ได้เย็นชากับไป๋มู่ชิง ไม่อย่างนั้นแน่นอนว่าต้องโดนคุณผู้หญิงทำร้ายจิตใจแน่ๆ!

อีกไม่นานก็จะถึงเทศกาลไหว้พระจันทร์แล้ว ตอนที่ทานอาหารเช้านั้น ได้ยินเซิ่งเคอพูดกับคุณผู้หญิงว่าจะกลับไปที่บ้านไปไหว้บรรพบุรุษ

คุณผู้หญิงพยักหน้าพูดว่า“ไปเถอะ ตอนกลางวันก็ไปทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับตระกูลเซิ่ง พอตอนกลางคืนค่อยมามาทานอาการกับพวกเรา กลับไปแล้วก็บอกพ่อกับแม่ไว้ด้วยนะ”

เซิ่งเคอหัวเราะและว่า“คุณย่า ท่านวางใจเถอะ ทุกปีเราก็ฉลองกันแบบนี้ไม่ใช่เหรอ ไม่ต้องบอกพวกเขาก็รู้เอง”

ตอนเช้าตระกูลหนานกงก็ไปไหว้บรรพบุรุษตามประเพณีเหมือนปีก่อนๆ

นี่เป็นครั้งแรกไป๋มู่ชิงได้ไปศาลบรรพบุรุษกับทุกคน เธอมองไปรอบๆข้างในนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศที่อึมครึมมากเพราะว่าคนเยอะแต่ไม่รู้สึกว่าน่ากลัวขนาดนั้น

ครั้งแรกที่ไป๋มู่ชิงเข้าไปในศาลบรรพบุรุษไม่รู้สึกว่าน่าขนลุกเลย

หลังออกมาจากศาลบรรพบุรุษแล้วนั้น คุณผู้หญิงที่มีพี่เหอไปส่งกลับบ้านก่อน หนานกงเฉินกลับยังไม่ออกมาจากศาลบรรพบุรุษเลย

หนานกงเฉินไม่ทันทำอะไรก็คุกเขาอยู่ตรงหน้าบรรพบุรุษ หลับตาลงเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

ตอนที่ลืมตาขึ้นมาเลยถามเขาไปว่า“ทำไมคุณยังไม่ไปล่ะ?”

“คุณยังไม่กลับ แน่นอนว่าฉันก็ต้องอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนคุณสิ”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าและออกไปจากศาลบรรพบุรุษ

หลังจากที่เธอออกไปจากศาลบรรพบุรุษเธอยังไม่กลับบ้าน แต่ว่าแค่กลับขึ้นไปนั่งอยู่บนรถ

เธอรออยู่บนรถตั้งสิบห้านาที ยังคงไม่เห็นหนานกงเฉินออกมา เธอออกมาก่อนเพราะไม่อยากรบกวนหนานกงเฉินที่กำลังคุยกับบรรพบุรุษ แต่ว่านานขนาดนี้แล้วก้ควรพูดเสร็จแล้วหรือเปล่า?

เลยตัดสินใจรอเขาอีกสักพัก ในที่สุดหนานกงเฉินก็ออกมาและยังไม่เดินมาทางที่รถจอดรอไว้อีกด้วย แต่เดินไปอีกทาง

ทางนั้นเป็นทางไปหลุมฝังศพของลูกชาย ไป๋มู่ชิงตกใจไปเลยและรีบเปิดประตูไปหาเขา

“คุณชายใหญ่ คุณรอฉันด้วย”ไป๋มู่ชิงตะโกนอยู่ที่ข้างหลังของเขา

หนานกงเฉินหยุดเดิน หันกลับมาจ้องเธอและเลิกคิ้วใส่“ทำไมเธอยังไม่กลับไปอีก?”

“ฉัน……ฉันอยากไปกับคุณ”ไป๋มูชิงพูด

“เธอจะไปทำอะไร?”

ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก เธอจะไปทำไม?ก็เพราะเธอเป็นแม่ยังจะไปเพราะอะไรล่ะ?“ฉันอยากไปดูลูก”

เธอรู้ว่าหนานกงเฉินต้องอารมณ์เสียแน่ๆ เลยพูดไปอีกว่า“คุณชายใหญ่ ไม่ว่าในอดีตฉันทำอะไรไปแต่ยังไงฉันก็เป็นแม่ไง ใช่ไหม?ให้ฉันไปกับคุณด้วยได้ใช่ไหม?”

ถึงแม้ว่าเด็กคนนั้นจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของเธอแต่เขากลับต้องมาตายเพราะเธอ!

หนานกงเฉินมีสีหน้าที่ไม่ดีเลยและพูดด้วยน้ำเสียงที่เหน็บแนมว่า“เธอแน่ใจเหรอว่าลูกอยากเห็นหน้าเธอ?”

“ไม่ว่าเขาจะอยากหรือไม่อยากเห็นหน้าฉัน ฉันก็จะไป จะไปขอให้เขายกโทษให้ฉัน”ไป๋มู่ชิงจ้องเขาตาปริบปริบและพูดว่า“นี่คือสิ่งที่ฉันปรารถนาช่วยฉันหน่อนไม่ได้เหรอ?”

หนานกงเฉินเห็นสีหน้าที่ทรมานและทุกข์ใจของเธอแล้วนั้น สุดท้ายก็ไม่พูดอะไรและหันกลับไปเดินต่อไปข้างหน้า

ตามประเพณีของตระกูลหนานกงถ้าหากเด็กยังเสียชีวิตไปยังไม่ครบหนึ่งร้อยวันก็จะไม่สามารถเข้าไปอยู่ในศาลบรรพบุรุษได้ ดังนั้นลูกของพวกเขาเลยได้แต่อยู่ที่หุบเขา

เดินจากศาลบรรพบุรุษไปถึงหลุมฝังศพก็เกือบสิบนาที ทั้งสองคนก็ไม่พูดอะไรกันเลย ไป๋มู่ชิงรู้ว่าหนานกงเฉินอารมณ์เสียและไม่อยากพูดอะไรกับเธอ ดังนั้นเลยไม่ได้พูดอะไรไปกลัวรบกวนเขา

พอมาถึงที่หลุทฝังศพของลูกแล้วทั้งสองคนไม่คุยอะไรกันเลย

ตอนที่มาครั้งที่แล้วไป๋มู่ชิงถูกหนานกงเฉินชนจนมึนอยู่ที่นี่ ครั้งนี้เธอรู้แล้วว่าในใจของเขาจะต้องโมโหมากๆแน่เลย เธอมองหนานกงเฉินไปหยิบธูปออกมาจากกล่องไม้เล็กๆข้างๆสุสานมาจุด หลังจากนั้นเอาเทียนไปเสียบในถ้วยทรายที่หน้าหลุมฝังศพ

เธอเดินไปอย่างระมัดระวัง หยิบธูปออกมาสามดอก โค้งคำนับไปที่หลุมฝังศพของลูกสามครั้งและเอาธูปไปปักในถ้วยทราย

ไป๋มู่ชิงยังคงไม่กล้าพูดอะไร กลัวว่าจะไปยั่วให้หนานกงเฉินโมโห พอไหว้เสร็จปรากฏว่าเธอไปยืนเก้งๆกังๆอยู่ข้างๆ

หนานกงเฉินยืนที่หน้าหลุมฝังศพอยู่ครู่หนึ่งก็หันหลังเดินไปทางที่จะกลับบ้าน ไป๋มู่ชิงตามเขาไปอย่างรีบร้อน

ความเก้งๆกัง ความกระวนกระวายและความทุกข์ทรมานใจล้วนอยู่ในสายตาของหนานกงเฉิน ทันใดนั้นเขาคิดได้ถึงคำพูดของซูซี่ สูญเสียลูกไป๋มู่ชิงเจ็บปวดและทรมานกว่าเขาอีก ยังไงเขาก็ไม่เชื่อคำพูดของซูซี่ เขาเพียงแค่ให้อภัยเธอไม่ได้และยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะไปเข้าใจการกระทำของเธอ

“ถ้าหากว่าตอนนั้นถ้าเธอบอกเรื่องทั้งหมดกับฉัน ไม่ใช่ว่าตัดสินใจเองตามใจชอบ งั้นจุดจบของเด็กคนนี้จะเป็นแบบนี้ไหมนะ?”ทันใดนั้นเขาก็พูดออกมาโดยไม่คิดเลย

ไป๋มู่ชิงอึ้งไปเลย ทันทีหลังจากนั้นก็รีบเดินตามเขาไปและพูดว่า“คุณชายใหญ่ ลูกก็บกพร่องมาตั้งแต่กำเนิด ไม่ว่าพวกเราจะตัดสินใจแบบไหน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่มีชีวิตรอดหรอก”

“นี่เธอกำลังปลอบใจตนเองอยู่เหรอ?”หนานกงเฉินหันไปอย่างรวดเร็วและจ้องเธอด้วยความเย็นชา

ไป๋มู่ชิงพูดอะไรไม่ออก

หนานกงเฉินรีบเอ่ยปากพูด“ดังนั้นเธอมีชีวิตได้ถึงทุกวันนี้โดยไม่มีความกดกันเลย?ไม่มีความรู้สึกทุกข์ทรมานใจเลยหรือไง?”

“ไม่ใช่นะ”ไป๋มู่ชิงสะบัดหัว“คุณชายใหญ่คุณเข้าใจผิดแล้ว แท้ที่จริงแล้วฉันหวังว่าคุณจะวางใจได้ อย่าเอาการตายของลูกไปโทษตัวเองหรือว่าคนอื่นเลย ไม่ว่าจะโทษตัวเองหรือว่าโกรธแค้นคนอื่น สำหรับคุณแล้วมันก็ทำให้กดดันไม่ใช่เหรอ?”

ชะงักไปครู่หนึ่ง เธอก็รีบพูดต่อว่า“ลูกไม่มีวาสนากับคุณ และไปจากไปนานขนาดนี้แล้ว คุณก็ควรปล่อยวางบ้างได้แล้วนะ”

“คุณชายใหญ่ ไม่ใช่ว่าฉันไม่เสียใจ ไม่ทรมาน”ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงก็รู้สึกเหมือนจะร้องไห้“ลูกถูกเอาตัวไปในช่วงนั้น ฉันถูกขังไว้ในชั้นลอยของบ้าน ร้องไห้จนจะขาดใจ แค่คุณไม่เคยเห็นฉันเสียใจแค่นั้นเอง”

พอคิดไปถึงวันเวลาพวกนั้น จนถึงวันนี้ไป๋มู่ชิงยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่เลย โชคดีที่หลินอันหนานช่วยเธอออกมา ไม่อย่างนั้นคาดว่าเธอคงโดนคู่แม่ลูกนั้นทรมานจนตายแน่ๆ

เธอบอกหนานกงเฉินเรื่องพวกนั้นไม่ใชเพราะอยากให้เขาเห็นอกเห็นใจ ทำให้เขาสงสารตนเอง แต่เธอแค่อยากให้เขารู้ว่าเธอไม่ได้เย็นชากับลูกเหมือนที่เขาคิด ลูกเป็นเด็กที่น่ารัก

เธอแค่อยาก……ให้เขาลดความเกลียดชังลง ทำให้เขาเลิกใช้ชีวิตติดอยู่กับความเกลียดชัง

เธอคิดว่าหนานกงเฉินจะไม่เชื่อเธอเหมือนกับเมื่อก่อน คิดไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้เขาไม่ได้โมโหเธอเลย แต่หลังจากที่เขาจ้องเธออยู่ครู่หนึ่งก็หันตัวเดินต่อไปข้างหน้า

หนานกงเฉินฟังคำพูดพวกนี้ไปแล้วเหรอ เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!

เธอถอนหายใจเบาๆและเดินตามเขาไป

ทางที่เดินทางกลับไป ทั้งสองคนก็ยังคงไม่พูดอะไรกัน

ที่โต๊ะอาหารกลางวันเงียบมาก มีแค่คุณผู้หญิง หนานกงเฉินและไป๋มู่ชิง

หรือบางทีเรื่องเมื่อตอนเช้าทำให้ทั้งสองอึดอัดใจกัน ขนาดคุณผู้หญิงยังรู้สึกได้ถึงความผิดปกติของพวกเขาเลย

ในที่สุดคุณผู้หญิงก็ทนไม่ไหวจนต้องถมพวกเขาว่า“เป็นอะไรกัน?ทะเลาะกันเหรอ?”

หนานกงเฉินไม่เอ่ยปากพูดอะไรเลย

ไป๋มู่ชิงรีบยิ้มตอบคุณผู้หญิงว่า“ไม่ใช่คะคุณย่า”

“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี”คุณผู้หญิงก้มหัวลงไปทานอาหารต่อ

หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว ไป๋มู่ชิงอ่านนิตยสารอยู่ในห้องสักพักหลังจากนั้นก็หลับไป

จนกระทั่งใกล้จะห้าโมงแล้วเสี่ยวลวี่มาปลุกเธอตื่น ให้เธอเตรียมตัวไปที่โรงแรม

เธอลุกขึ้นมาจากเตียง ขยี้ตาถามด้วยความงัวเงียว่า“คุณชายใหญ่ล่ะ?”

“คุณชายใหญ่รออยู่ข้างล่างแล้วค่ะ”

“เขาไม่ได้พักตอนกลางวันเหรอ?”

“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”

เธอเปลี่ยนชุดเสร็จก็ลงไปด้านล่าง เห็นหนานกงเฉินและคุณผู้หญิงรอเธออยู่ เธอรีบเดินไปพูดอย่างรู้สึกผิดว่า“ขอโทษค่ะ เมื่อกี้เผลอหลับไป”

“ยังไม่ถือว่าสายเลยยังไงก็ไม่ต้องไปเร็วขนาดนั้นหรอก”พี่เหอพูด

คุณผู้หญิงลุกขึ้นมาจากโซฟาพูดว่า“ไปกันเถอะ”

ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉินและรีบเดินไปข้างหน้า ไปพยุงแขนของคุณผู้หญิงออกไปจากประตู

มื้อเย็นยังคงเป็นคนของตระกูลหนานกง ตระกูลเซิ่ง ตระกูลหลิน

แต่ว่ายังคงไม่เห็นเลยแม้แต่เงาของหลินอันหนาน ไป๋มู่ชิงเป็นห่วงหนานกงเฉิน แม่แต่จะมองไปที่ตระกูลหลินยังไม่กล้าเลย

หนานกงเฉินกลับถามออกไปว่า“อันหนานล่ะ?ยังไม่กลับมาเหรอ?”

“ยังไม่กลับมาเลย เขาบอกว่าช่วงนี้ยังไม่วางแผนที่จะกลับมา”ตอนที่คุณผู้หญิงหลินพูดออกมานั้นก็ชำเลืองไปที่หนานกงเฉินและ

ไป๋มู่ชิง

“คุณย่า พี่ พี่สะใภ้ ลองทานขนมไหว้พระจันทร์ร้านนี้ดูสิคะ” ผู่เหลียนเหยายื่นขนมไหว้พระจันทร์ในจากให้กับทั้งสามคน ยิ้มและพูดว่า“มีหลายไส้นะคะ รสชาติก็ไม่เลวเลยทีเดียว”

“จริงเหรอ?ไหนฉันลองสิ”คุณผู้หญิงพูด

ไป๋มู่ชิงรีบหยิบส้อมขึ้นไปจิ้มให้เธอหนึ่งชิ้น หลังจากนั้นก็ให้หนานกงเฉินอีกชิ้นหนึ่ง

หนานกงเฉินไม่เคยสนใจขนมหวานเลย เลยสะบัดหัวปฏิเสธ“ไม่ต้องหรอก”

“ในวันไหว้พระจันทร์ยังไงก็ต้องกินขนมไหว้พระจันทร์”ไป๋มู่ชิงป้อนเขา เขาเลยจำเป็นต้องรับไว้

ผู่เหลียนเหยารีบไปยิ้มกับเซิ่งเคอและพูดว่า“คุณดูพี่สะใภ้ใส่ใจเขาแค่ไหน ฉันก็อยากให้คุณป้อนฉันเหมือนกัน”

“ป้อนเธอมันจะยากอะไรกัน?แต่กลัวว่าเธอจะไม่ทานแค่นั้นเอง”เซิ่งเคอป้อนขนมไหว้พระจันทร์ให้กับเธอ

ทั้งสองคนก็ป้อนกันไปๆมาๆคนละหนึ่งคำ

ไป๋มู่ชิงมองหนานกงเฉิน คิดว่าเรื่องแบบนี้ชีวิตนี้หนานกงเฉินคงไม่ทำออกมาให้เห็นหรอกใช่ไหม?

พอลองทานขนมไหว้พระจันทร์แล้ว อาหารต่างๆก็ค่อยๆถูกยกออกมา

หลังจากทานอาหารเสร็จแล้ว คุณชายใหญ่หลินจัดการให้เด็กไปจองห้องคาราโอเกะที่ชั้นหกไว้ ครั้งที่แล้วหนานกงเฉินก็เคยปฏิเสธไปแล้ว ครั้งนี้รู้สึกว่าปฏิเสธไม่ลงได้แต่รับปากไป

เดิมทีหนานกงเฉินกับหลินอันหนานไม่ได้สนิทใจกันขนาดนั้น ตอนอยู่ที่คาราโอเกะดื่มไปสองสามแก้วก็รู้สึกเบื่อแล้ว

คุณชายใหญ่หลินคิดว่าหนานกงเฉินพยายามจะช่วงชิงสิทธิการรับช่วงต่อของตระกูลหลิน ทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งใจ แทบอยากจะดื่มแสดงความของคุณสักหนึ่งร้อยแก้ว ตอนที่เขายกแก้วเหล้ามานั้น ในที่สุดไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะพูดออกมาว่า“คุณชายหลิน ไม่ให้คุณชายใหญ่ดื่มแล้วดีกว่า ร่างกายเขาไม่แข็งแรง”

“จะเป็นไปได้อย่างไรกัน?ฉันเห็นว่าร่างกายพี่เขาก็แข็งแรงดีนะ”คุณชายใหญ่หลินยิ้มออกมาด้วยความเมาว่า“ฉันเคารพพี่เขามาก เมื่อก่อนเพราะพี่เขาไม่มาเจอฉัน ตอนนี้ดีขึ้นมาบ้างแล้ว ในที่สุดก็มีโอกาสได้ดื่มกับพี่เขา ฉันดีใจมากเลย……!”

“แต่ว่าคุณชายใหญ่ไม่สามารถดื่มได้จริงๆ”

“ดื่มหน่อยเถอะ มาที่นี่ก็เพราะมาดื่มไม่ใช่เหรอ?”

“หรือว่าให้ฉันดื่มแก้วนี้แทนคุณชายใหญ่และดื่มกับเป็นแก้วสุดท้ายด้วยดีไหม?” ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปหยิบแก้วของหนานกงเฉินกลับโดนหน้ากงเฉินปัดมือของเธอ

“แค่ดื่มแก้วเดียวเอง ฉันไม่ต้องการให้ผู้หญิงมาช่วงหรอกนะ”หนานกงเฉินยกแก้วไปชนกับคุณชายใหญ่หลิน

ไป๋มู่ชิงกลับไปแย่งแก้วในมือของเขามา หลังจากนั้นเธอดื่มเหล้าข้าวแก้วนั้นลงไป

ความร้อนของเหล้าได้ผ่านลำคอเข้าไป เธอทรมานจนถึงขั้นขมวดคิ้ว รู้สึกได้ว่าในท้องเหมือนกับไฟลุกโชนอยู่

หนานกงเฉินเห็นเธอขมวดคิ้วและสีหน้าที่ทรมานของเธอ รู้ทั้งรู้ว่าดื่มไม่เป็นยังจะอวดเก่งอีกนะ

“พี่สะใภ้ร้ายกาจมาก!”คุณชายใหญ่หลินพูดไปพร้อมกับลินเหล้าออกมา

ในที่สุดเซิ่งเคอก็เอ่ยปากให้หยุด“พี่หลิน งั้นเดียวผมดื่มกับพี่เอง พี่ใหญ่ดื่มไม่ได้จริงๆ”

คุณชายหลินดูถูกเซิ่งเคอ รู้สึกว่าเซิ่งเคอคือหมารับใช้ที่ตระกูลหนานกงรับมาเลี้ยงมาโดยตลอด ไม่รู้สึกอยากจะดื่มกับเขาเลยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นเรื่องมากมายของเขาทำให้รู้สึกโกรธขึ้นมา

ไม่เพียงแต่ไม่ได้ระบายความในใจออกมา แต่ยังยิ้มออกมาอย่างประนีประนอมและพูดว่า“อย่างนั้นก็ได้ พวกเราพักกันสักครู่เดียวค่อยดื่มต่อ”

“ไม่ดื่มแล้ว ฉันอยากกลับแล้ว” ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นจากโซฟาพูด

“ยังเช้าอยู่เลยทำไมอยากกลับแล้วล่ะ?พี่สะใภ้ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”คุณชายใหญ่หลินถามไป๋มู่ชิง

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า พูดด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อยว่า“ขอโทษนะ ฉันรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวเลยอยากกลับก่อน”

“อย่างนี้นี่เอง พวกเรายังไม่ได้ไปชมจันทร์เลย”คุณชายใหญ่หลินยังดื่มไม่สมใจเลยเลยยังไม่อยากกลับ

ในขณะที่ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าเวลาไหนคือเวลาที่เหมาะสม ทันใดนั้นหนานกงเฉินลุกขึ้นมาจากโซฟาและพูดว่า“พวกเรากลับก่อนนะ”

คำพูดนี้ของเขาไม่ใช่คำของร้อง แต่เป็นการบอกให้ชัดเจนว่าเขาอยากกลับแล้ว

เขาพูดออกมาอย่างเคร่งขรึมแบบนั้น คุณชายใหญ่หลินก็ไม่กล้าที่จะของให้เขาอยู่ต่อแล้ว

ไม่รอให้คุณชายใหญ่หลินเอ่ยปาก หนานกงเฉินก็เดินออกไปจากห้องแล้ว

ไป๋มู่ชิงเห็นหนานกงเฉินออกไปก็รีบเดินตามออกไป เดินออกไปจากประตูใหญ่ของคาราโอเกะ

ที่ที่พวกเขาอยู่นั้นคือที่แขกวีไอพี คนที่อยู่ห้องแถวนั้นก็ล้วนแต่เป็นคนมีเงินกันทั้งนั้น ระเบียงทางเดินและในห้องรับรองตกแต่งไว้อย่างหรูหรา ตอนที่เดินผ่านห้องหนึ่งทันใดนั้นห้องนั้นก็เปิดประตูออกมา มีคู่ชายหญิงคู่หนึ่งกอดกันล้มออกมา

ถึงแม่ว่าอีกฝ่ายเป็นคนชวนพวกเขาและเพื่อจะไม่ได้มีเรื่อง ไป๋มู่ชิงยังโค้งให้พวกเขาและพูดว่า“ขอโทษค่ะ”

“หลีกไป อย่ามาขวาง” ที่บนหัวของเธอก็ได้ยินเสียงผู้หญิงที่คุ้นชินคนหนึ่ง

ไป๋มู่ชิงอึ้งไปเลย พอเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบว่าคือไป๋ยิ่งอัน!

ไป๋ยิ่งอันที่อยู่ข้างหน้าเธอสวมชุดเดรสสั้นสีดำสุดเซ็กซี่ แต่งหน้าอย่างสวยงาม ในเวลานั้นเธอถูกชายอ้วนวัยกลางคน ผมบางๆคนหนึ่งกอดอยู่ ผู้ชายคนนั้นแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร เขาก็จูบไปที่แก้มของเธอและพูดว่า“ที่รัก……เสี่ยรอไม่ไหวแล้วที่จะรักเธอแล้ว รีบพาเสี่ยไปที่ท้อง……เร็ว……”

ไป๋มู่ชิงมองทั้งสองคนด้วยความตกใจไม่น้อยเลย

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท