เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 151 วิธีกู้สถานการณ์

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

หนึ่งชั่วโมงต่อมา

เมื่อทั้งสองคนเห็นรายงานผลตรวจครรภ์ที่เป็นลบ ใบหน้าจึงแสดงถึงความตกตะลึงในทันที

ไป๋มู่ชิงถึงขั้นมีความคิดอยากตายโผล่ขึ้นมาด้วย ผ่านมาชั่วครู่หนึ่งจึงได้หันไปจ้องหน้าถามคุณหมอ : “คุณหมอคะ เป็นไปได้ไหมคะว่าจะตรวจผิด ? ฉัน……”

“การตรวจเลือดไม่มีทางผิดหรอก คุณไม่ได้ตั้งครรภ์จริง ๆ ครับ” คุณหมอกล่าวพร้อมสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียดาย และเมื่อเห็นว่าเธอเสียใจมาก จึงได้กล่าวปลอบใจ : “ไม่เป็นไรหรอกครับ พวกคุณยังหนุ่มยังสาวกันอยู่ สามีของคุณเองก็ดูเป็นคนร่างกายแข็งแรงเหมือนกัน อยากตั้งครรภ์ง่ายนิดเดียวครับ พยายามดูอีกสักตั้งก็แล้วกันนะครับ?”

ไป๋มู่ชิงกรอกตาขึ้นบนด้วยความพูดไม่ออก คนที่เธอเป็นห่วงคือคุณผู้หญิงต่างหากเล่า หลายวันมานี้เธอดื่มซุปไก่บำรุงกำลัง แถมยังซื้อของใช้จำเป็นของทารกแรกเกิดเตรียมไว้แล้วด้วย ถ้าหากคุณผู้หญิงทราบเข้าว่าเธอนั้นไม่ได้ตั้งครรภ์ นึกไม่ออกจริง ๆ ว่าท่านจะมีปฏิกิริยาเช่นไร จะโกรธจนยันเธอเข้าศาลบรรพบุรุษเลยหรือไม่

เมื่อนึกถึงศาลบรรพบุรุษ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะตัวสั่นเทาขึ้นมา มือที่กุมเสื้อของหนานกงเฉินเอาไว้ก็รัดแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เมื่อออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว สองคนที่นั่งอยู่ในรถต่างก็เงียบสงัด

ไป๋มู่ชิงกำลังรอการตอบสนองของหนานกงเฉินอยู่ เพราะเขานั้นไม่ได้พูดอะไรเลยตั้งแต่ที่ได้ยินคุณหมอประกาศว่าไม่ได้ตั้งครรภ์

ในที่สุดเธอก็ทนไม่ได้จนต้องหันไปถามเขาตาเขม็ง : “คุณชายใหญ่ นี่คุณกำลังโกรธฉันอีกแล้วใช่ไหม ? ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”

หนานกงเฉินหันหน้ามาสบตากับเธอ : “ได้ยินคุณหมอบอกว่าไม่ได้ตั้งครรภ์ เธอควรรู้สึกดีใจไม่ใช่หรือไง ?”

“มันก็ดีใจอยู่หรอก แต่ว่า……” ไป๋มู่ชิงสังเกตเห็นว่าอยู่ ๆ สีหน้าของหนานกงเฉินก็เย็นชาขึ้นมา จึงได้รีบหยุดพูดประโยคหลังทันที แม่เจ้า นี่เธอกำลังพูดอะไรอยู่กันแน่ !

เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงรีบกลับคำพูดทันที : “ไม่สิ ฉันหมายถึง……หมายถึง……”

หมายถึงอะไรหรือ ? ผู้ที่สมควรตายอย่างเธอควรแก้ตัวอย่างไรดี ?

“เธอไม่อยากมีลูกกับฉันจริง ๆ ด้วย!” มือของหนางกงเฉิงที่จับพวงมาลัยอยู่กุมแน่นขึ้นเรื่อย ๆ คราวที่แล้วเนื่องจากเล่ห์กลของคุณย่าจึงทำให้ตั้งครรภ์อย่างไม่ตั้งใจ คราวนี้เป็นเพราะความไม่ตั้งใจอีกแล้ว สรุปคือไม่มีสักครั้งเลยที่เธอเต็มใจ

“ก็ได้ ฉันยอมรับว่าไม่อยากมีลูกตอนนี้จริง ๆ คุณเองก็ไม่อยากมีเหมือนกันไม่ใช่หรือไง? ฉันคิดว่าเหตุผลของพวกเราน่าจะเหมือนกัน ฉันรู้ว่าคุณจะต้องคิดไปอย่างอื่น แต่ฉันสาบานได้ว่าฉันไม่มีความสัมพันธ์เกินเลยกับหลินอันหนานจริง ๆ คุณอย่าเอาเขามาเพิ่มความโมโหให้ตัวเองเลย”

เมื่อไป๋มู่ชิงพูดจบ จึงได้หันไปจ้องหน้าเขา : “คุณได้ยินที่ฉันพูดไหม?”

เมื่อเห็นว่าเขาดูเหมือนจะไม่มีน้ำโหแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงได้กล่าวถามด้วยความระมัดระวัง : “แล้วพวกเราทำยังไงต่อ ? ควรบอกกับคุณย่ายังไงดี ? คุณว่าถ้าคุณย่ารู้ว่าฉันไม่ได้ท้องตั้งแต่แรก จะเป็นยังไงเหรอ ?”

“มันเกี่ยวกับฉันด้วยเหรอ?”

“มันจะไม่เกี่ยวกับคุณได้ยังไงล่ะ” ไป๋มู่ชิงไม่ยอมรับไม่ได้ว่าที่เขาพูดนั้นถูกต้อง ถ้าหากคุณผู้หญิงทราบเรื่องเข้า ต่อให้หนานกงเฉินจะเป็นตัวตั้งตัวตีในการโกหกก็ตาม คุณผู้หญิงก็คงไม่ทำอะไรหนานกงเฉินหรอก ตรงกันข้ามคงจะผลักความรับผิดชอบมาไว้ที่ตัวเธอ ทั้งหมด จากนั้นก็ทำการลงโทษเพียงเธอคนเดียว

“คุณว่า……คุณย่าจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟเลยหรือเปล่านะ?” เธอกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

สายตาที่หนานกงเฉินจ้องเธอนั้นเผยถึงความชั่วร้าย เขากล่าวว่า : “ถ้าเบา ๆ ก็แค่ตี ถ้าหนัก ๆ เลยก็ไล่ออกจากบ้านตระกูลหนาน”

“ไล่ออกจากบ้านตระกูลหนาน?” ไป๋มู่ชิงอึ้งไป

“เธออยากจะบอกว่า การลงโทษนี้มันตรงกับความต้องการของเธอมากเลยใช่ไหมล่ะ ?”

“เอ่อ……ไม่ใช่แน่นอน” ไป๋มู่ชิงพูดไม่ออก หมอนี่เลิกพูดแทงใจดำบ่อย ๆ จะได้ไหม ?

“แล้วพวกเราจะทำยังไงดี?” เธอถามอีกครั้ง

“ก่อนที่คุณย่าจะรู้ความจริง ก็ชิงตั้งท้องจริง ๆ สิ”

“ฮะ?”

หนานกงเฉินโน้มตัวเข้ามาจ้องตาเธอ : “นี่คือวิธีกู้สถานการณ์เพียงหนึ่งเดียว เธอจะปฏิเสธก็ได้นะ แต่ผลที่ตามมาเธอรับผิดชอบเอง”

เมื่อหยุดไปชั่วครู่ เขาได้กล่าวขึ้นอีกครั้ง “คุณไป๋ เธอรู้อยู่แก่ใจว่าฉันไม่อยากมีลูก เพราะฉะนั้นฉันกำลังจะสละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยให้เธอรอดพ้นจากความลำบากนี้อยู่ เธอจำใส่หัวไว้ดี ๆ”

ช่างเป็นคุณชายใหญ่ผู้ยิ่งใหญ่เสียจริง !

เพื่อที่จะช่วยเหลือเธอในการผ่านความยากลำบากนี้ไปได้ คิดไม่ถึงว่าหนานกงเฉินผู้ที่คัดค้านการมีลูกกับเธอมาตลอดนั้นจะพูดจากปากของตัวเองว่าอยากมีลูกเช่นนี้ ? ไป๋มู่ชิงรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณของเขาจะแย่อยู่แล้ว เพียงแค่……เหตุใดเธอถึงมักรู้สึกว่าเบื้องหลังของการซาบซึ้งใจนั้น มีความรู้สึกอันเย็นยะเยือกอยู่เล็กน้อยกันนะ ?

“ในเมื่อคุณไม่อยากมีลูกขนาดนี้ ถ้างั้น……คุณก็ไปคุกเข่าในศาลบรรพบุรุษกับฉันดีไหม?” ไป๋มู่ชิงคิดไปคิดมา จึงคิดว่าวิธีนี้ดีที่สุดแล้ว

หนานกงเฉินส่ายหน้า : “ไม่ ครั้งนี้คุณย่าต้องให้เธอย้ายไปพักยาว ๆ ที่ศาลบรรพบุรุษแน่นอน”

พักระยะยาว? แม่เจ้า !

“คุณย่าคงไม่ใจร้ายขนาดนั้นหรอกมั้งเนอะ?” สีหน้าของไป๋มู่ชิงเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

“ถ้าใช่ล่ะ ?” หนานกงเฉินกล่าวออกมาเพียงเท่านี้

ไป๋มู่ชิงขวัญเสียไปแล้ว

“เธอพิจารณาดูดี ๆ ก็แล้วกัน” หนานกงเฉินสตาร์ทรถ มุ่งไปยังบ้านของตัวเอง

เมื่อรถยนต์ได้ขับเข้ามาในบ้านแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงมองเห็นคุณผู้หญิงยืนชะเง้อคอยอยู่หน้าประตูบ้าน คล้ายกำลังรอเธอกับหนานกงเฉินกลับบ้านอย่างไรอย่างนั้น ปรากฏว่าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ เมื่อคุณผู้หญิงมองเห็นรถยนต์ขับเข้ามาแล้ว ก็รีบเดินบึ่งเข้ามาหาทันที

“คุณผู้หญิง ค่อย ๆ นะคะ” พี่เหอเดินตามมาพยุงเขาไว้ด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

คุณผู้หญิงมองสำรวจสองคนที่ลงมาจากรถ จากนั้นก็จับมือคู่นั้นของไป๋มู่ชิงเอาไว้ พร้อมทั้งกล่าวถามด้วยความร้อนรนใจ : “ที่พวกเธอออกไปข้างนอกกะทันหันแบบนี้เป็นเพราะปัญหาเกี่ยวกับลูกเหรอ ? แล้วลูกเป็นยังไงบ้าง ? เป็นอะไรหรือเปล่า ?”

ไป๋มู่ชิงมองเห็นสีหน้ากังวลใจของคุณผู้หญิง เธอจึงได้เงยหน้าขึ้นมาแอบมองหนานกงเฉินที่ได้เดินอ้อมไปด้านหลังของคุณผู้หญิงเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงได้ยิ้มพลางกล่าวด้วยความเก้ ๆ กัง ๆ เล็กน้อย : “คุณย่าไม่ต้องห่วงนะคะ ลูกไม่เป็นไรค่ะ คุณชายใหญ่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เอง”

จากการพิจารณามาตลอดทาง สุดท้ายเธอก็เลือกที่จะปกปิด

เธอไม่ได้เป็นห่วงว่าคุณผู้หญิงจะไล่ให้เธอไปพักที่ศาลบรรพบุรุษจริง ๆ แต่อย่างใด เธอรู้ดีว่าหนานกงเฉินเพียงพูดให้เธอกลัวเท่านั้น การที่เธอตัดสินใจว่าจะมีลูกให้ได้ภายในเวลาอันรวดเร็วนั้น หลัก ๆ สืบเนื่องจากการตัดสินใจของหนานกงเฉินนั่นเอง

แม้แต่ผู้ที่ไม่อยากมีลูกกับเธออย่างหนานกงเฉิน ยังปล่อยวางความกดดันในใจทั้งหมดไปเลย แล้วตัวเธอจะลังเลอยู่ใย

“มีอะไรเหรอ ? เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ?” คุณผู้หญิงไล่ถามต่อไป

“ไม่มีอะไรจริง ๆ ค่ะ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงไม่กลับมาเร็วแบบนี้หรอก จริงไหมคะคุณชายใหญ่” เธอกล่าวพลางหันหน้าไปยิ้มให้กับหนานกงเฉิน

หนานกงเฉินรีบพูดให้ความร่วมมืออีกแรง : “ใช่แล้วครับคุณย่า หมอบอกว่าไม่มีปัญหาอะไรเลย”

ในที่สุดคุณผู้หญิงก็สบายใจ เธอลูบหน้าอกของตัวเอง : “ตกใจแทบแย่ นึกว่าหลานตัวน้อยของฉันจะเป็นอะไรไปแล้วซะอีก”

“คุณผู้หญิง ฉันเพิ่งบอกไปเองว่าร่างกายของนายหญิงน้อยดีขนาดนั้น ลูกในท้องจะต้องแข็งแรงแน่นอน” พี่เหอกล่าวพร้อมยิ้มไปด้วย จากนั้นก็หันไปพูดกับทั้งสองคนนั้น : “คุณชายใหญ่ นายหญิงน้อยคะ พวกคุณไม่เห็นว่าเมื่อกี้คุณผู้หญิงร้อนใจขนาดไหน ตั้งแต่ที่ทั้งสองคนออกไปก็มารอที่หน้าประตูตลอด อยากโทรหาก็โทรไม่ได้ อยากตามหาก็ไม่รู้ไปหาที่ไหน คุณเขาเป็นกังวลใจแทบแย่”

“แสดงให้เห็นว่าคุณย่ารักหลานชายตัวน้อยคนนี้แค่ไหนน่ะสิ” ผู่เหลียนเหยาที่ยืนอยู่ข้างเซิ่งเคอด้านนอกประตูก็อมยิ้มพูดเสริมไปเช่นกัน

เซิ่งเคอหาวนอนพลางกล่าวขึ้นว่า : “พี่สะใภ้ไม่เป็นอะไร งั้นพวกเราก็เข้านอนอย่างสบายใจได้แล้ว ไปเถอะ ไปนอนกัน” เมื่อพูดจบ เขาก็ได้เข็นผู่เหลี่ยนเหยากลับเข้าห้องนอน

ไป๋มู่ชิงคิดไม่ถึงว่าเพียงเพราะอุบัติเหตุเล็กน้อยของตน จะก่อให้เกิดความวุ่นวายได้ถึงเพียงนี้ ความรู้สึกผิดในใจจึงได้เพิ่มทวีคูณขึ้น ถ้าหากตั้งครรภ์จริง ๆ ก็คงดี ครั้นไม่ได้ตั้งครรภ์กลับทำให้ทุกคนทรมานเช่นนี้ เพียงคิดก็รู้สึกหนักอึ้งในใจแล้ว

“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว กลับห้องไปพักผ่อนดี ๆ เถอะนะ” คุณผู้หญิงกล่าวกำชับด้วยความเป็นห่วง

“คุณย่าเองก็รีบกลับห้องไปพักผ่อนเหมือนกันนะคะ” ไป๋มู่ชิงกล่าว

คุณผู้หญิงพยักหน้า ทว่ากลับหันมาอีกรอบคล้ายกับเพิ่งนึกอะไรออก จากนั้นก็ได้พูดกับหนานกงเฉิน : “เฉิน ตอนนี้ยิ่งอันอยู่ในช่วงอันตรายนะ อย่าไปทรมานเธอก็แล้วกันนะ”

เมื่อสักครู่คุณหมอเพิ่งตักเตือนมา เวลานี้คุณผู้หญิงเองก็ตักเตือนอีกคน หนานกงเฉินรู้สึกเพียงว่าตนเองนั้นบริสุทธิ์ใจและแอบมีความน้อยใจเล็กน้อย ทั้งทั้งที่ไป๋มู่ชิงเป็นคนนอนเบียดเขาทุกคืนแท้ ๆ

ทว่าเขากลับไม่ได้แสดงความบริสุทธิ์ใจของตนออกมาแต่อย่างใด เขาพยักหน้าพลางกล่าวว่า : “ไม่ต้องห่วงครับคุณย่า ผมจะระวังนะครับ”

“งั้นก็ดี” คุณผู้หญิงพยักหน้า จากนั้นก็เดินกลับเข้าห้องนอน

เมื่อเห็นว่าคุณผู้หญิงเข้าห้องนอนไปแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงได้เงยหน้ามองหนานกงเฉิน จึงได้สบตาที่เขามองมาพอดี จากนั้นก็ก้มหน้าลงเหมือนเดิมราวกับรู้สึกผิดมาก

หนานกงเฉินชักสายตากลับจากใบหน้าของเธอ จากนั้นจึงได้เดินนำหน้าขึ้นไปชั้นบน

ไป๋มู่ชิงเดินขึ้นชั้นบนตามหลังของเขาไป หลังจากที่เห็นหนานกงเฉินก้าวเข้าไปในห้องนอนแล้วนั้น เธอก็ได้ก้าวเข้าห้องตามไปด้วยความลังเลเล็กน้อย หนานกงเฉินถอดชุดนอนที่สวมอยู่ออก จากนั้นได้หยิบตัวที่สะอาดมาสวมแทน

ไป๋มู่ชิงยืนอยู่ด้านข้างตัวเขา หลบสายตาเล็กน้อยพลางกล่าวขึ้นด้วยความเป็นกังวลใจ : “ถ้าเกิดว่าฉันตั้งท้องไม่ได้สักทีเลยล่ะจะทำยังไง ? คุณย่าจะต้องรู้อยู่วันยังค่ำ”

หนานกงเฉินไม่คิดว่าเป็นเช่นนั้น : “นี่เธอกำลังสงสัยความสามารถของฉันอยู่เหรอ ?”

“ไม่ใช่นะ ฉันกำลังสงสัยตัวฉันเองต่างหาก” ไป๋มู่ชิงรีบพูดตอบไป : “ตอนที่คลอดลูกครั้งที่แล้วไม่ได้เข้าไฟให้ดี ๆ น่าจะทิ้งต้นตอของโรคไว้ รอบประจำเดือนครั้งนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันที่ดีที่สุดแล้ว”

หนานกงเฉินหันหน้ามาสบตาเธอ ภายในตามีอารมณ์อันแปลกประหลาดกำลังเคลื่อนไหวอยู่ ผ่านมาชั่วครู่จึงได้กล่าวขึ้นคล้ายกับประโยคปลอบใจ : “ไม่ต้องห่วง ขอแค่เธอให้ความร่วมมือดี ๆ ก็คงไม่มีปัญหาอะไรหรอก”

เมื่อเห็นว่าเขาพูดอย่างมั่นใจในตัวเองเช่นนั้น ไป๋มู่ชิงจึงได้สบายใจขึ้นมา

หนานกงเฉินกวาดสายตามองเธอ จากนั้นจึงพูดขึ้นอีก “ไปเปลี่ยนชุดสะอาด ๆ แล้วเข้านอนซะ”

“อืม โอเค” ไป๋มู่ชิงหันลำตัวออกไปจากห้องนอนของเขา แล้วกลับไปยังห้องของตนเอง

ไป๋มู่ชิงได้จัดการข้าวของที่ซื้อมาเมื่อก่อนอีกรอบ จากนั้นก็นำของใช้เด็กทารกบางชิ้นใส่ถุงแล้วบอกหนานกงเฉินช่วยเอาไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเฉิงเป่ยให้

เด็กทารกที่นั่นเยอะมาก จะต้องได้ใช้งานแน่นอน

หนานกงเฉินมองถุงในมือของเธอ จากนั้นก็พูดขึ้น : “ไม่ต้องรีบเอาไปขนาดนั้นหรอก เดี๋ยวก็มีลูกแล้ว”

“แม้แต่เงาของลูกก็ยังไม่เห็นเลย เอาไปเถอะจะได้ไม่เปลืองประโยชน์” เดิมทีของเหล่านี้ก็ซื้อมาเร็วเกินไป ขืนรอต่อไปคงหมดอายุพอดี

ท้ายที่สุดแล้วหนานกงเฉินก็ได้รับถุงจากมือของเธอไป พร้อมทั้งหันหลังเดินลงไปชั้นล่าง

ไป๋มู่ชิงเพิ่งนำของที่เหลือเก็บเข้าตู้เหมือนเดิมเสร็จ พี่เหอก็ได้ยกซุปไก่เดินเข้ามาพอดี เมื่อเห็นเธอดื่มเสร็จแล้วจึงได้กำชับว่า : “นายหญิงน้อย นอนลงบนเตียงแล้วพักผ่อนให้ดี ๆ นะคะ อย่าออกไปด้านนอกซี้ซั้วเข้าใจไหมคะ?”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าด้วยความรู้สึกผิด เมื่อเห็นพี่เหอออกไปจากห้องแล้วค่อยโล่งใจขึ้นมาหน่อย

คิดไม่ถึงว่าการแกล้งตั้งครรภ์นั้นจะเป็นเรื่องที่ทรมานมากเหมือนกัน

ช่วงกลางดึกไป๋มู่ชิงได้นอนหลับไปแล้ว ไม่รู้ว่าหลับไปนานแค่ไหน ทว่าอยู่ ๆ ก็รู้สึกว่ามีคนเข้ามากอดตนจากด้านหลัง เธอส่งเสียงครางอยู่ในลำคอพร้อมทั้งหันไปกอดคนที่อยู่ด้านหลังคืนตามสันชาตญาณ

“กลับมาแล้วเหรอคะ ?” เธอถามด้วยความสะลึมสะลือ

“ทำไมไม่เข้าไปนอน ?” หนานกงเฉินถาม

“ประจำเดือนฉันมาน่ะ”

“หนึ่งสัปดาห์แล้วนะ” หนานกงเฉินอุ้มเธอขึ้นด้วยมือเดียว พร้อมเดินเข้าไปในห้องนอนตรงข้าม

เมื่อรู้สึกว่าร่างกายตนเองลอยขึ้น ไป๋มู่ชิงจึงได้ตกใจตื่นขึ้นมาในที่สุด เธอเบิกตากว้างและพบว่าหนานกงเฉินกำลังอุ้มตนเดินออกไปด้านนอก จึงได้กล่าวเสียงเบา : “คุณชายใหญ่ จะทำอะไรน่ะ?”

“ฉันไม่ชอบห้องนอนนี้เหมือนกับเธอ”

“ไม่ใช่ ฉันหมายถึง คุณกำลังจะทำอะไร”

“จะทำอะไรได้อีกล่ะ ? ทำคนไง” หนานกงเฉินตอบกลับราวกับเป็นเรื่องปกติ

“ประจำเดือนเพิ่งหายมันทำคนไม่ได้หรอกนะ”

“ใครว่า ถ้าทำได้จริง ๆ ขึ้นมาล่ะ ?” หนานกงเฉินวางเธอลงบนเตียง จากนั้นก็ก้มหน้าลงพรมจูบไปบนริมฝีปากของเธอ

ไป๋มู่ชิงสัมผัสถึงกลิ่นหอมอ่อน ๆ ของเหล้าบนริมฝีปากของเขา เธอกระพริบตาเล็กน้อยแล้วถามว่า : “นี่คุณดื่มเหล้าอีกแล้วเหรอ?”

“ดื่มนิดเดียวเอง” หนานกงเฉินจูบบนริมฝีปากของเธอลึกขึ้น เพื่อปิดกั้นคำตำหนิที่เธอกำลังจะพูดออกมา เขารู้ดีว่าตัวเองดื่มเหล้าไม่ได้ ทว่าเขาอยู่ในแวดวงธุรกิจทุกวัน จะไม่ดื่มเลยจะเป็นไปได้อย่างไร ?

ความจริงแล้วทั้งสองคนทราบดีว่าตอนนี้ไม่ใช่ระยะตกไข่ไม่มีทางที่จะตั้งครรภ์ได้ ทว่าทั้งคู่ก็ยังคงกระทำอย่างเร้าร้อนอยู่ดี

หลังจากเสร็จกิจแล้ว ไป๋มู่ชิงฟุบลงไปนอนอยู่บนเตียงตัวอ่อนไร้เรี่ยวแรง หนานกงเฉินยืนมือดึงเธอเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา และทั้งคู่ก็เข้าสู่ห้วงนิทรา

วันที่สอง ขณะที่ไป๋มู่ชิงตื่นขึ้นมา หนานกงเฉินได้ออกไปทำงานแล้ว

คุณผู้หญิงทราบว่าเธอตั้งครรภ์อยู่ จึงไม่ได้ใช้ให้คนมาเรียกเธอลงไปทานอาหารเช้า ปล่อยให้เธอนอนต่อไปอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ไป๋มู่ชิงนอนจนตื่นขึ้นเอง เมื่อเธอตื่นนอนมาก็เป็นเวลาเก้าโมงกว่าแล้ว หลังจากนั้นเธอจึงได้รีบลุกขึ้นด้วยความเร็ว และไปล้างหน้าล้างตาลงไปชั้นล่าง

ที่ชั้นล่างคุณผู้หญิงกำลังนั่งจิบน้ำชาอยู่บนโซฟา ไป๋มู่ชิงสะดุ้งเล็กน้อยจากนั้นก็กล่าวทักทายด้วยความสุภาพ : “คุณย่า”

เธอนอนหลับจนถึงเก้าโมงเช้า ทว่าคุณผู้หญิงไม่เพียงแต่ไม่โมโหแถมยังส่งรอยยิ้มมาให้เธออย่างเอ็นดูเสียด้วย : “ตื่นแล้วเหรอ ?หลับสบายดีไหม ?”

“สบายดีค่ะ ขอบคุณนะคะคุณย่า” ไป๋มู่ชิงรีบตอบกลับไป

คุณผู้หญิงพยักหน้า ส่วนพี่เหอก็ได้เข้าไปเตรียมอาหารเช้าให้เธอเรียบร้อยแล้ว

เมื่อพี่เหอเตรียมอาหารเช้าเสร็จ ก็ได้ออกไปข้างนอกเป็นเพื่อนคุณผู้หญิง ส่วนไป๋มู่ชิงก็นั่งรับประทานอาหารเช้าตามลำพัง ขณะที่ทานเสร็จแล้วออกไปจากห้องอาหารนั้น ก็ได้เจอผู่เหลียนเหยาที่กำลังเลื่อนวีลแชร์ออกมาจากห้องนอนพอดี

เธอจึงกล่าวทักทาย : “เหลียนเหยา วันนี้พักผ่อนเหรอ?”

“ใช่แล้วค่ะ สลับกันหยุดน่ะ” ผู่เหลียนเหยาตอบกลับ

ไป๋มู่ชิงเห็นว่าเธอกำลังย้ายตัวไปนั่งบนโซฟา จึงได้เดินไปข้างหน้าเพื่อพยุงเธอเอาไว้ ผู่เหลียนเหยาเห็นดังนั้นจึงพูดอย่างซาบซึ้งใจ : “ไม่ต้องหรอกค่ะพี่สะใภ้ ฉันทำได้ค่ะ”

ขณะที่กำลังพูดอยู่นั้นผู่เหลียนเหยาได้ใช้มือหนึ่งจับที่วางแขนของวิลแชร์เอาไว้ อีกมือก็จับโซฟาเอาไว้ จากนั้นก็ย้ายร่างกายของตนเองไปนั่งบนโซฟาด้วยความคล่องแคล่ว

“ขาเธอ……” ไป๋มู่ชิงมองสำรวจขาทั้งสองข้างของผู่เหลียนเหยา จากนั้นก็ถามอย่างเป็นห่วง : “หมอบอกว่ายังไงเหรอ ? จะดีขึ้นหรือเปล่า?”

ผู่เหลียนเหยาส่ายหน้า

“แล้ว……” ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี ครั้นผู่เหลียนเหยากลับยิ้มบาง ๆ พร้อมกล่าวว่า : “อันที่จริงไม่มีอะไรหรอกค่ะ ชินแล้วก็จะดีเอง ตอนแรก ๆ ฉันเองก็เศร้าใจและรับไม่ได้เหมือนกัน แต่เซิ่งเคอเขาได้ให้ความกล้าสำหรับการใช้ชีวิตใหม่ต่อไปแก่ฉันค่ะ หลังจากนั้นก็พบว่า ความจริงแล้วการที่ขาทั้งสองข้างพิการก็ไม่มีอะไรเลย พี่ดูสิ ตอนนี้ฉันทำงานได้เหมือนเดิม ได้รับความรักเหมือนเดิม ฉันโชคดีมากกว่าคนที่โชคร้ายจริง ๆ ซะอีกนะ”

เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าอันร่าเริงของเธอ ไป๋มู่ชิงจึงฉีกยิ้มขึ้นด้วยความสบายใจ : “เธอคิดอย่างนี้ก็ดีแล้ว”

“เพราะฉะนั้น พี่ก็ไม่ต้องรู้สึกกดดันอะไรหรอกนะ ฉันไม่เคยคิดเลยว่าพี่มีความผิด”

“ขอบใจนะ”

“ขอบใจทำไม พวกเราเป็นคนในครอบครัวเดียวกันนี่นา” ผู่เหลียนเหยามองท้องน้อยของไป๋มู่ชิงด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็กล่าวขึ้นถาม : “แล้วพี่ล่ะ ลูกเป็นยังไงบ้าง ? เริ่มทำให้พี่อึดอัดหรือยัง ?”

“ยังหรอก ลูกยังเล็ก ๆ อยู่เลย” ไป๋มู่ชิงตอบกลับด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย

“ใกล้แล้วละค่ะ”

“ใช่แล้วจ้ะ”

“พี่สะใภ้ ครั้งนี้พี่ต้องคลอดลูกที่แข็งแรงมากแน่ ๆ ค่ะ” ผู่เหลียนเหยายกมือขึ้นมาลูบบนหลังมือของเธอ พลางเผยรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง

ทั้งที่รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอนั้นอบอุ่นเป็นอย่างมาก ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใดไป๋มู่ชิงจึงรู้สึกเสียววูบอยู่ในใจ น่าจะเป็นเพราะตนเองไม่ได้ตั้งครรภ์ตั้งแต่แรก ไป๋มู่ชิงคิดอยู่ในใจ

เธอไม่ได้นั่งบนโซฟาต่อ แต่ได้ลุกขึ้นมาพร้อมพูดว่า : “เหลียนเหยา เธอดูโทรทัศน์ไปนะพี่ขอตัวไปนอนข้างบนก่อน”

“ค่ะ ไปพักผ่อนให้ดี ๆ นะคะ” ผู่เหลียนเหยากล่าว

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็หันหลังเดินสาวเท้ายาว ๆ ขึ้นไปชั้นบน

ไป๋มู่ชิงมองดูเวลา ตอนนี้ใกล้ 11 โมงแล้ว หนานกงเฉินยังคงไม่ออกจากห้องอ่านหนังสือเช่นเดิม

เธอวางรีโมตลง จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปยังห้องหนังสือ

เธอเคาะประตูสองสามครั้ง เมื่อได้รับการอนุญาตแล้วเธอจึงได้ผลักประตูห้องหนังสือเดินเข้าไป

หนานกงเฉินกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ บนโต๊ะมียาแผนโบราณสีดำวางอยู่หนึ่งถ้วย

ไป๋มู่ชิงเดินเข้าไปลูบขอบถ้วยดู ปรากฏว่ายานั้นยังอุ่น ๆ อยู่ ทว่าก็ใกล้จะเย็นชืดเต็มทีแล้ว

หนานกงเฉินวางโทรศัพท์ลง พลางมองมาที่เธอ : “ทำไม ? ถ้าไม่สักทีจะนอนไม่หลับเหรอ ?”

ไป๋มู่ชิงกลอกตาใส่เขาอย่างพูดไม่ออก : “ทำไมคุณถึงพูดจาไม่เป็นผู้ดีขึ้นทุกวันเลย ?”

“สามีภรรยายังต้องพูดจาแบบผู้ดีใส่กันด้วยเหรอ ?” หนานกงเฉินโบกไม้โบกมือเรียกเธอ ไป๋มู่ชิงก็เดินเข้าไปหา จากนั้นเขาจึงอุ้มเธอนั่งบนขาตนเอง ฝ่ามือพลางลูบไล้เข้าไปในเสื้อผ้าของเธอ

ไป๋มู่ชิงดึงฝ่ามือของเขาออกมา จากนั้นก็ยกยาแผนโบราณบนโต๊ะมาพร้อมกล่าวว่า : “รีบดื่มยาซะ”

หนานกงเฉินเหลือบตามองถ้วยยาแผนโบราณในมือของเธอ : “อีกแปปค่อยดื่ม”

“อีกแปปก็จะเย็นพอดี” เธอยังไม่รู้จักเขาดีหรืออย่างไร ? เกี่ยงไปเกี่ยงมาก็ลืมทานยาพอดี แถมยังจะเททิ้งอีกด้วย

“เย็นแล้วก็เอาไปอุ่นก็ได้แล้วนี่”

“ไม่ได้ ดื่มตอนนี้เลย” ไป๋มู่ชิงจ้องเขาตาเขม็ง ไม่ยอมประนีประนอมให้

หนานกงเฉินจึงจงใจทำตัวเป็นเด็ก : “ไม่เอาอะ”

ไป๋มู่ชิงจ้องเขา สุดท้ายก็ต้องถอนหายใจยอมประนีประนอมให้อยู่ดี เธอกล่าวว่า : “คุณจะรอให้ฉันดื่มเป็นเพื่อนให้ได้เลยใช่ไหม ?”

“ไม่ใช่ ฉันอยากให้เธอป้อน”

“ได้สิ” นี่มันจะไปยากอะไร ไป๋มู่ชิงวางถ้วยยาลงพลางผลักแขนที่เขากอดรัดช่วงเอวของเธอเอาไว้ออก : “เดี๋ยวฉันไปเอาช้อนก่อน”

“ไม่ต้องใช้หรอก”

“คุณอยากให้ฉันป้อนไม่ใช่เหรอ ?”

“ไม่มีช้อนก็ป้อนได้เหมือนกัน เช่นอย่างนี้……” หนานกงเฉินยื่นมือข้างหนึ่งขึ้นมายกถ้วยยาดื่มไปหนึ่งอึก จากนั้นก็วางถ้วยลง มือที่ถือถ้วยนั้นเปลี่ยนมาบีบคางของเธอไว้แทน และขณะที่เธอไม่ทันได้ตั้งตัวนั้น เขาก็ยื่นหน้าเข้าไปประกบริมฝีปากของเธอเอาไว้ ลิ้นได้ตวัดเปิดฟันหน้าของเธอออก

รสชาติอันขมของยาได้กระจายสู่ลิ้นของไป๋มู่ชิง จากนั้นแม้แต่ลำคอก็เต็มไปด้วยความขมของยาเหมือนกัน

“อื้อ……” เมื่อไป๋มู่ชิงรู้ตัวแล้วว่าเขากำลังทำอะไรอยู่นั้น ก็ส่งเสียงอื้ออึงในลำคอเพื่อเป็นการขัดขืน ครั้นดูเหมือนว่าการขัดขืนของเธอจะไร้ผล เนื่องจากหนานกงเฉินไม่เพียงแต่ไม่ปล่อยเธอออก ครั้นยังประกบปากเธอแน่นกว่าเดิมเสียอีก ไม่ให้เธอได้คายยาออกมาได้แม้แต่หยดเดียว

จนกระทั่งเธอได้กลืนกินยาแผนโบราณที่อยู่ในปากลงไปหมดแล้ว เขาถึงได้ปล่อยเธอออก เมื่อมองเห็นใบหน้าเรียวเล็กกำลังบูดเบี้ยวเนื่องจากความขมของยา มุมปากของเขาก็เผยถึงรอยยิ้มอันร้ายกาจออกมา : “แบบนี้แหละ อยากให้ฉันสาธิตให้ดูอีกรอบไหมล่ะ ?”

“ไม่ ไม่ต้องแล้ว!” ไป๋มู่ชิงปฏิเสธไปโดยไม่ต้องคิดเลย

ขืนยังสาธิตต่อไปอีก เธอคงดื่มยาคนเดียวหมดพอดี เขาจะได้ดื่มหรือไม่ ?

ทว่าวิธีการป้อนยาเช่นนี้ ความจริงแล้วมันช่าง……

เธอส่ายหน้าไปมาอย่างช่วยไม่ได้ คุณชายใหญ่ท่านนี้จะต้องจงใจแกล้งเธอเป็นแน่ ยาที่ขมขนาดนี้คิดไม่ถึงว่าเขาจะให้เธอใช้ปากป้อน !

ทว่าขอเพียงแค่เขายอมทานยา เธอจึงตัดสินใจทุ่มแรงใจ

ดังนั้น เธอจึงได้ยกถ้วยยาขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ตามที่เขาทำ จากนั้นก็ประกบปากเขา เพียงแค่……ไม่ว่าเธอจะใช้แรงแค่ไหน ก็เปิดกรามของเขาออกไม่ได้เสียที ทำให้เธอต้องทรมานแทบแย่

หนางกงเฉินไม่เพียงแต่ไม่ได้ดื่มยาในปากของเธอ เขากลับใช้มือจับท้ายทอยของเธอเอาไว้อย่างแรง อีกมือก็จับคางเธอเอาไว้แน่น ปลายลิ้นของเขาได้ดันเข้าไปด้านในปาก จากนั้นก็ม้วนลิ้นของเธอไปมา

เสียงอึก ๆ ดังขึ้นสองครั้ง ไป๋มู่ชิงถูกบีบบังคับให้ต้องกลืนยาที่อยู่ในปากของตัวเองลงไป

รสชาติอันขมขื่นไหลจากลำคอลงไปยังกระเพาะของเธออีกครั้ง ใบหน้าเล็ก ๆ จึงได้บูดเบี้ยวขึ้นอีกครั้ง

หลังจากเธอปรับตัวได้แล้วก็เงยหน้าขึ้นมา จึงได้พบกับรอยยิ้มอันชั่วร้ายบนใบหน้าของหนานกงเฉิน เธอได้ตะคอกใส่ด้วยความโมโหทันที : “หนานกงเฉิน ! คนหน้าไม่อาย !”

หนานกงเฉินยกนิ้วชี้ขึ้นมาวางบนปากตัวเองเพื่อแสดงว่าให้หยุดพูด : “เงียบ ๆ หน่อยสิ เธออยากให้คนอื่นคิดว่าพวกเรากำลังทะเลาะกันหรือไง ?”

“นี่มันเลวร้ายกว่าการทะเลาะกันอีกนะ” ใบหน้าของไป๋มู่ชิงยังคงเต็มไปด้วยน้ำโห : “ทำไมคุณถึงได้แกล้งฉันแบบนี้?”

“ฉันทำไมเหรอ ?” คิดไม่ถึงเลยว่าคนบางคนจะแสดงสีหน้าอันบริสุทธิ์อยู่เช่นนี้

“คุณยังจะมีหน้ามาแกล้งโง่อีกเหรอ ดูสิ……” ไป๋มู่ชิงชี้ไปยังยาที่เหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว : “ฉันช่วยคุณดื่มครึ่งหนึ่งแล้วนะ”

“กินคนละครึ่งมันยุติธรรมแล้วไม่ใช่เหรอ ?”

“นี่มันยาของคุณนะ !”

“ตอนแรกใครบอกว่าจะกินยาเป็นเพื่อนฉันกัน ?”

“ฉัน……ฉันบอกอย่างนั้นเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงเถียงข้าง ๆ คู ๆ

หนานกงเฉินใช้มือบีบคางของเธอเอาไว้ด้วยความเคยชิน พร้อมทั้งปาดคราบยาสีดำบนปากของเธอออก : “อยากให้ฉันช่วยเธอนึกย้อนความทรงจำหน่อยไหมว่าเคยพูดหรือไม่กันแน่ ?”

เมื่อพูดจบ เขาก็ก้มหน้าลงมาพรมจูบที่ปากของเธออีกครั้ง ไป๋มู่ชิงผลักและตีเขาไปมา : “เลิกงี่เง่าได้แล้ว รีบดื่มยาให้หมดเร็วเข้า”

“ไม่ดื่ม” ปากของหนานกงเฉินเคลื่อนมาหยุดที่ลำคอของเธอ จากนั้นเขาก็งับลงไปด้วยความหยอกล้อ

ไป๋มู่ชิงจั๊กจี้จนสุดจะทน พลางขยับลำตัวขัดขืนพลางกล่าวด้วยความยอมแพ้ : “ฉันป้อนคุณเอง ฉันป้อนคุณเอง……”

“เธอไม่มีความสามารถนั้น”

“ฉันมี!”

หนานกงเฉินเงยหน้าขึ้นจากไหล่ของเธอ จากนั้นก็จ้องไปยังใบหน้าของเธอ : “ได้ ถ้างั้นก็ให้โอกาสสุดท้ายก็แล้วกัน”

ไป๋มู่ชิงยกถ้วยยาขึ้นมา ก่อนที่จะดื่มยาเข้าไปนั้น ยังได้จ้องเขม็งไปที่เขาพร้อมทั้งกล่าวตักเตือนอย่างจริงจัง : “ถ้าคุณทำแบบเมื่อกี้อีกฉันจะโกรธแล้วนะ!”

จากนั้นเธอก็ดื่มยาเข้าไปอึกใหญ่ แล้วประกบปากเขาเข้าไป แค่ไม่ถึงสองวินาทียาก็ได้ไหลลงลำคอของเธอทั้งหมดในทันใด เหตุการณ์เกิดขึ้นเร็วจนเธอยังไม่ทันได้รู้ตัวด้วยซ้ำ

เธอเลียริมฝีปากอันขมของตัวเอง พร้อมจ้องเขาตาเขม็ง ในเวลานี้นึกคำพูดมาอธิบายความรู้สึกในใจอันแสนโกลาหลนี้ของตัวเองได้เลย

หนานกงเฉินได้ใช้ปลายลิ้นเลียริมฝีปากตัวเองเช่นเดียวกัน จากนั้นก็เหลือบสายตามองเธอพร้อมถามว่า : “ไหนบอกว่าจะโกรธไง ?”

เกินไปแล้ว !

ไป๋มู่ชิงมองยาในถ้วยที่เหลือไม่ถึงหนึ่งในสี่แล้ว จากนั้นก็มองหนานกงเฉินที่ทำสีหน้าอันชั่วร้ายอยู่ ในที่สุดเธอก็จำยอมลุกขึ้นจากบนขาของเขา แล้วหันหลังเดินออกไปด้านนอกห้องหนังสือทันที

หนานกงเฉินมองแผ่นหลังที่กำลังห่างออกไปของเธอ จากนั้นก็พูดขึ้นถามเสียงดัง : “นี่น่ะเหรอวิธีการแสดงความโกรธของเธอ ? นึกว่าเธอจะตีฉันซะอีก”

ประตูถูกปิดลงเสียงดังปัง หนานกงเฉินมองประตูที่เธอผลักปิดอย่างแรง แล้วได้หัวเราะเบา ๆ จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำงานที่เหลือต่อไป

ขณะที่เขาจัดการงานที่เหลือของตนเสร็จแล้วและได้กลับมาที่ห้องนอน จึงพบว่าภายในห้องนอนนั้นว่างเปล่า ไม่มีเงาของไป๋มู่ชิงอยู่แต่อย่างใด

ตอนแรกนึกว่าเธองอนก็เลยกลับห้องตัวเองไปนอนแล้ว หนานกงเฉินจึงได้เดินไปที่ห้องนอนฝั่งตรงข้าม ทว่าด้านในกลับว่างเปล่าเช่นเคย

ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว เธอจะไปที่ไหนได้ ? คงไม่ใช่ว่าโกรธจนวิ่งไปหลบที่ไหนสักแห่งแล้วนะ ? ตั้งแต่ที่เคยขังเธอไว้ที่ศาลบรรพบุรุษหลายครั้งแล้วนั้น เธอก็ได้หวาดกลัวบ้านหลังเก่าเป็นอย่างมาก ดึกดื่นแบบนี้จะต้องไม่กล้าหนีไปไหนแน่นอน

หนานกงเฉินไม่เป็นห่วงว่าเธอจะหนีออกไปด้านนอกแต่อย่างใด เพียงแค่ประหลาดใจมากว่าเธอนั้นโกรธจนถึงขั้นไหนกันแน่ และสงสัยว่าท่าทางตอนที่โกรธของเธอนั้นเป็นอย่างไร

เขากำลังเตรียมลงไปชั้นล่างเพื่อนตามหาเธอ ทว่าเมื่อเพิ่งเดินถึงหน้าประตูวนแล้วก็ได้ยินเสียงพูดคุยหัวเราะคิกคักระหว่างไป๋มู่ชิงกับผู่เหลียนเหยาดังขึ้นมา เท้าของหนานกงเฉินหยุดชะงัก ในใจพลางคิดว่าสาวน้อยผู้นี้หายโกรธเร็วเกินไปแล้ว

ดังนั้นเขาจึงเดินเลี้ยวกลับห้องนอนไป และในขณะที่เขาปรับอุณหภูมิในห้องนอนเสร็จ เลิกผ้าห่มออกเตรียมขึ้นเตียงนั้น ก็มีเสียงของไป๋มู่ชิงดังเข้ามา : “คุณชายใหญ่ คุณอย่าเพิ่งรีบนอนสิ”

หนานกงเฉินหันหน้ากลับไป ก็ได้พบกับเธอที่กำลังถือถ้วยยาแผนโบราณสีดำอันร้อนผ่าวอยู่ในมือ เขาขมวดคิ้วเข้าหากันพร้อมทั้งถามว่า : “เธอจะทำอะไร ?”

“นี่เป็นยาที่ฉันต้มให้เองกับมือเลยนะ ถ้าคุณทำสิ้นเปลืองอีกฉันก็จะเชิญคุณย่าให้มาคุมเองเลย” ไป๋มู่ชิงนำยายื่นไปไว้เบื้องหน้าเขา หนานกงเฉินกวาดสายตามองถ้วยยา จากนั้นก็มองดูสีหน้าที่แสดงออกชัดเจนว่าร้ายกาจของเธอ จึงได้แค่นหัวเราะขึ้นมา : “เอาคืนฉันเหรอ ?”

ผู้หญิงคนนี้โดนเอาใจจนติดเป็นนิสัยเสียแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะกล้าเลียนแบบการกระทำร้าย ๆ ของเขาด้วย

“ไม่ใช่ ฉันเป็นห่วงสุขภาพของคุณต่างหาก” ไป๋มู่ชิงส่งรอยยิ้มอันอ่อนโยนไปให้เขา : “เด็กดี กินยาซะนะ แบบนี้สุขภาพจะได้ดีขึ้นเร็ว ๆ ไง”

เมื่อเห็นว่าหนานกงเฉินไม่ยอมรับถ้วยยาไป เธอจึงกล่าวเพิ่มอีกหนึ่งประโยค : “คุณชายใหญ่คุณคงไม่อยากให้ฉันเรียกคุณผู้หญิงขึ้นมาจริง ๆ หรอกใช่ไหม ?”

หนานกงเฉินลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างมีเลศนัย : “ไม่ต้อง”

พูดจบ เขาก็รับถ้วยยาจากมือของเธอมา พร้อมทั้งดื่มลงไปอึก ๆ

เมื่อดื่มเสร็จแล้ว เขาก็ได้วางถ้วยยาไว้บนโต๊ะหัวเตียง จากนั้นก็โอบเอวของเธอด้วยมือเดียวดึงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของตน พร้อมทั้งกระซิบข้างใบหูเธอว่า : “รู้ผลที่ตามมาจากการแข็งข้อกับฉันหรือเปล่า ?” ขณะที่พูดนั้น เขาก็ได้ประกบริมฝีปากเข้ากับปากของเธอทันที ปลายลิ้นตวัดเปิดฟันของเธอออก

ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงก็ได้สัมผัสถึงรสชาติอันขมของยา นั่นมันคือรสชาติที่เพิ่งทำให้เธอทุกข์ทรมานเมื่อสักครู่นี้ เพียงแต่ภายใต้ความขมในคราวนี้ยังมีรสชาติที่เป็นของเขาอยู่ด้วย

ไม่ทันรอให้เธอได้ลิ้มรสอันโดดเด่นนี้ให้ดี ๆ หนานกงเฉินก็ได้กดเธอนอนบนเตียงอย่างแรงเรียบร้อยแล้ว จากนั้นเขาก็เริ่มทำการลงโทษเธอทันที……

ไป๋มู่ชิงไม่ยอมรับไม่ได้ว่าการลงโทษของหนานกงเฉินนั้นน่ากลัวจริง ๆ

หลังจากที่นอนอย่างเหนื่อยล้าอยู่บนเตียงเป็นเวลาชั่วครู่แล้ว ไป๋มู่ชิงจึงค่อย ๆ ลากสังขารกันอันหนักอึ้งของตนเข้าห้องน้ำไป เมื่อเธอส่องกระจกแล้วมองเห็นรอยแดงบนร่างกายตนเองแล้วนั้น ก็ต้องกลอกตาไปมาอย่างไร้คำพูด

หากคุณผู้หญิงเห็นเข้า จะต้องตำหนิว่าเธอนั้นไม่ระมัดระวัง ไม่รู้เรื่อง ช่วงอันตรายยังทรมานตัวเองแบบนี้อีกเป็นแน่ สรุปแล้วไม่ว่าจะเรื่องอันใดต่างก็ยกให้เป็นความผิดของเธอทุกอย่าง

เวลาต่อมาเธอได้เดินกลับขึ้นเตียง จากนั้นก็กล่าวตักเตือนข้างหูเขาเสียงเบา : “คุณชายใหญ่ ถ้าครั้งหน้าคุณทำอย่างนี้อีก ฉันจะบอกคุณย่าว่าคุณขืนใจฉัน”

เธอทราบว่าหนานกงเฉินนั้นนอนหลับไปแล้ว เพราะงั้นจึงไม่ได้หวังการตอบสนองจากเขา เพื่อเป็นการเอาคืนเธอได้แอบยื่นมือไปบีบหูของเขา : “ใครใช้ให้คุณรังแกฉัน……”

สิ่งที่ทำให้เธอคาดไม่ถึงก็คือ อยู่ ๆ หนานกงเฉินที่นอนหลับอยู่เงียบ ๆ แล้วนั้น กลับได้ส่งเสียงอื้ออึงในลำคอ พร้อมทั้งยื่นมือไปจับแขนเธอไว้ด้วยมือเดียว จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปกัด

ไป๋มู่ชิงนึกว่าเขากำลังล้อเล่นอยู่ ทว่าความเจ็บปวดบนแขนนั้นกลับทำให้เธอรู้ทันทีว่าหนานกงเฉินไม่ได้ล้อเล่นแต่อย่างใด ประกอบกับสีหน้าของเขานั้น เห็นชัดเจนว่ากำลังเจ็บปวดทรมาน

เธอรับรู้ได้ว่าหนานกงเฉินจะต้องอาการกำเริบแน่ ๆ เพียงแต่เธอยังไม่ทันได้ตั้งตัวเลย หนานกงเฉินก็ได้โยนเธอลงด้านล่างพื้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท้องของเธอกระแทกเข้ากับขอบเตียงพอดีจนต้องกรีดร้องเสียงดัง เหงื่อแตกโชก

หนานกงเฉินถูกกระตุ้นจากแสงไฟ จึงได้คลุ้มคลั่งมากขึ้น เขาได้ไล่ตามเธอลงเตียงไป แล้วใช้มือบีบคอเธอเอาไว้แน่นพร้อมทั้งตะโกนเสียงดัง : “ตายซะเถอะ……ตายซะเถอะ……!”

“คุณชายใหญ่ ปล่อย ปล่อยมือเดี๋ยวนี้……!” ไป๋มู่ชิงขัดขืนเต็มที่ เธออยากจะยื่นมือไปปิดไฟ อยากไปหยิบยามา แต่กลับสะบัดออกจากแรงกดอันมหาศาลของหนานกงเฉินไม่ได้เลย

ตัวเธอไม่สามารถช่วยเหลือเขาได้ ไป๋มู่ชิงทำได้เพียงตะโกนขอความช่วยเหลือเสียงดังลั่น

ไม่นานก็มีคนวิ่งเข้ามาหน้าประตู ซึ่งคนที่ถึงก่อนก็คือคุณผู้หญิงผู้ที่เป็นกังวลที่สุด เมื่อเธอเข้าประตูมาแล้วเห็นหนานกงเฉินกำลังบีบคอไป๋มู่ชิงอยู่บนพื้น อีกทั้งยังตะโกนว่าจะฆ่าจะทำร้าย ส่วนไป๋มู่ชิงเองก็กำลังขัดขืนด้วยความเจ็บปวดทรมานอยู่ แถมใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอก็เริ่มมีสีเขียวเล็กน้อยแล้วด้วย

คุณผู้หญิงช็อคกับเหตุการณ์เบื้องหน้านี้เป็นอย่างยิ่ง จึงได้เดินไปปิดไฟพร้อมทั้งตะโกนด้วยความร้อนรนใจ : “เฉิน ปล่อยยิ่งอันเดี๋ยวนี้ เธอกำลังตั้งท้องอยู่นะ !”

ในเวลานี้หนานกงเฉินตกอยู่ในสภาวะขาดสติสัมปชัญญะ คำพูดของคุณผู้หญิงไม่เข้าไปในหูของเขาด้วยซ้ำ เขายังคงคล่อมบนร่างไป๋มู่ชิงและบีบเค้นคอของเธออยู่เช่นเคย จนกระทั่งเซิ่งเคอและคุณหมอหวงวิ่งเข้ามา ทั้งสองคนจึงได้เข้ามาช่วยดึงร่างไป๋มู่ชิงออกจากหนานกงเฉินได้พ้น

ไป๋มู่ชิงนอนหายใจหอบอยู่บนพื้น รู้สึกราวกับว่าตนนั้นใกล้จะขาดลมหายใจแล้ว

เธอฝืนลุกขึ้นมาจากพื้น จึงได้เห็นว่าหนานกงเฉินกำลังถูกคุณหมอหวงกับเซิ่งเคอกดไว้บนเตียงอยู่ เธอจึงได้ตะโกนเสียงดังด้วยความสงสาร : “อย่ากดเขาแบบนั้นนะคะ เขาจะเจ็บได้”

อยู่ ๆ เธอก็นึกขึ้นได้ว่าหนานกงเฉินยังไม่ได้กินยา ดังนั้นจึงได้เดินโซเซไปยังโต๊ะหัวเตียง แล้วหยิบกล่องยาออกมาจากลิ้นชักส่งให้คุณหมอหวง

“ยิ่งอัน ยิ่งอันไม่เป็นอะไรใช่ไหม……” คุณผู้หญิงเห็นว่าไป๋มู่ชิงไม่มีแรงแม้กระทั่งยืนขึ้นเอง จึงมีความกระวนกระวายใจเป็นอย่างมาก จากนั้นก็ได้เรียกบอกให้พี่เหอมาพยุงเธอขึ้นยืนพร้อมทั้งกล่าวสอบถามด้วยความกังวลใจ : “ยิ่งอันเป็นยังไงบ้าง ? ท้องเป็นอะไรหรือเปล่า ? ให้เรียกรถพยาบาลไหม ?”

“เรียกรถพยาบาลดีกว่า” คุณผู้หญิงเงยหน้าขึ้นมาบอกกับพี่เหอ

ไป๋มู่ชิงได้ยินว่าคุณผู้หญิงจะเรียกรถพยาบาลจึงได้รีบพูดขึ้น : “คุณย่าคะ ฉันไม่เป็นไรค่ะ ฉันสบายดีมาก”

“สภาพนี้แล้วยังบอกว่าสบายดีอีกเหรอ ?”

“ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ นะคะ ไม่เจ็บท้องด้วย” เพื่อเป็นการยืนยันว่าตนไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ ไป๋มู่ชิงจึงได้พยายามลุกขึ้นยืนด้วยตัวเอง

รถพยาบาลหรือ ? ถ้าอย่างนั้นความก็แตกสิ ? ถึงแม้ร่างกายจะทรมานมาก ทว่าเธอก็ไปโรงพยาบาลไม่ได้เด็ดขาด

พี่เหอเหลือบมองหนานกงเฉินที่ค่อย ๆ สงบลงแล้ว จึงได้กล่าวขึ้นเพื่อปลอบใจ : “คุณผู้หญิงคะ ถ้าคุณไม่สบายใจให้คุณหมอหวงช่วยตรวจให้นายหญิงน้อยดูก่อนไหมคะ”

“ไม่ต้องหรอกค่ะ ไม่ต้องจริง ๆ อีกแปปก็ดีขึ้นแล้วค่ะ” ไป๋มู่ชิงกล่าวพร้อมทั้งระงับความเจ็บปวดที่ท้องน้อยของตนเอาไว้

เมื่อสักครู่นี้ที่ท้องกระแทกเข้าขอบเตียงเธอเจ็บเจียนตาย ตอนนี้ยังคงเจ็บปวดอยู่เหมือนเดิม ทว่าเพื่อเป็นการแสดงว่าตนนั้นไม่เป็นอะไรจึงทำได้เพียงอดทนเอาไว้

เธอเหลือบตามองหนานกงเฉินที่นอนอยู่บนเตียง พบว่าเขาใกล้จะหลับเต็มทีแล้วหลังจากที่ทานยาเข้าไป เธอจึงเดินลากขาเข้าไปถามคุณหมอหวงว่า : “คุณหมอหวงคะ คุณชายใหญ่ต้องฉีดยาหรือเปล่าคะ ?”

“ฉีดสักหน่อยดีกว่า ดูท่าทางแล้วเขาน่าจะอาการหนักน่าดู” คุณหมอหวงกล่าวพร้อมหยิบอุปกรณ์ฉีดยาออกมาจากกล่องใส่อุปกรณ์แพทย์

หลังจากที่คุณหมอหวงฉีดยาให้หนานกงเฉินเสร็จแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงได้พูดกับทุกคน : “เอาละค่ะ ทุกคนกลับไปพักผ่อนเถอะนะคะ เดี๋ยวฉันอยู่ดูแลคุณชายใหญ่เองค่ะ”

“จะทำอย่างนั้นได้ยังไง เธอเองก็บาดเจ็บเหมือนกันนะ” คุณผู้หญิงยังคงเป็นห่วงลูกที่อยู่ในท้องของเธอ จึงได้พูดกับคุณหมอหวง : “รีบตรวจดูให้นายหญิงน้อยเร็วเข้าว่าลูกในท้องเป็นอะไรหรือเปล่า เร็วเข้า”

“ครับ เชิญนายหญิงน้อยไปนอนบนเตียงห้องตัวเองหน่อยนะครับ เดี๋ยวผมตรวจดูให้” คุณหมอหวงกล่าว

“ไม่เป็นไรจริง ๆ ค่ะ” ไป๋มู่ชิงกระวนกระวายใจขึ้นมา และได้กวาดสายตาไปยังเตียงตอนจึงพบว่าหนานกงเฉินได้หลับลึกไปแล้ว คุณผู้หญิงเองก็ยืนกรานอยากจะตรวจร่างกายเธอให้ได้ เธอควรจะทำเช่นไรดี ?

ความดื้อรั้นของเธอทำให้คุณผู้หญิงเริ่มมีน้ำโหขึ้นมา จึงได้กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก “แค่ให้คุณหมอหวงตรวจดูสักหน่อยเพื่อให้ทุกคนสบายใจมันจะทำไมนักหนา ? รีบกลับห้องไปนอนบนเตียงเร็วเข้า”

“คุณย่าคะ……”

“ไป !”

ไป๋มู่ชิงจนปัญญาแล้ว ทำได้เพียงหันหลังแล้วกลับเข้าห้องตัวเองไป

ขณะที่นอนลงบนเตียงแล้ว ในสมองของไป๋มู่ชิงจึงได้เร่งคิดหาวิธีมากู้สถานการณ์โดยเร็ว เธอควรอธิบายกับคุณผู้หญิงอย่างไรดี ? เมื่อรู้ว่าเธอไม่ได้ตั้งครรภ์จะต้องโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน ถ้าหากตอนนี้หนานกงเฉินตื่นขึ้นมาก็คงดี ทำอย่างไรดี……?

ณ เวลานี้เธอทำได้เพียงอธิษฐานขอให้คุณหมอหวงวินิจฉัยไม่พบว่าเธอไม่ได้ตั้งครรภ์เท่านั้นแล้ว ขอให้เขาวินิจฉัยไม่ออกทีเถิด

คุณหมอหวงจับชีพจรเธอ ตอนแรกนึกว่าตนนั้นตรวจผิดพลาดไป จึงได้ใช้เครื่องมือตรวจให้เธออีกครั้ง สุดท้ายจึงได้พูดขึ้นมาด้วยความสับสน : “คุณผู้หญิง ไม่ได้ตั้งครรภ์นี่ครับ”

แค่คำพูดเดียว ทันใดนั้นเองไป๋มู่ชิงก็สูญเสียความคาดหวังทุกประการไป เธอแทบไม่กล้าหันหน้าไปมองสีหน้าตอนนี้ของคุณผู้หญิงเลยด้วยซ้ำ

คุณผู้หญิงได้ยินดังนั้นจึงได้สอบถามทันทีด้วยปฏิกิริยาใหญ่โตเหมือนอย่างที่คิดไว้ : “พูดอะไรนะ ? จะไม่ตั้งครรภ์ได้ยังไง ? เครื่องมือของหมอมีปัญหาหรือเปล่า ? หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับเด็ก ? ”

“ไม่ทราบครับ หรือไม่คุณผู้หญิงไปห้องรักษาเพื่อทำอัลตราซาวด์กับผมดูดีไหมครับ” คุณหมอหวงกล่าว

คุณผู้หญิงรีบพูดขึ้นทันที : “ดี รีบไป” เมื่อพูดจบแล้วจึงได้กล่าวกับพี่เหอและเซิ่งซินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ : “พวกเธอรีบไปพยุงยิ่งอันตามไปนะ”

“คุณผู้หญิง ใจเย็น ๆ นะคะ พวกเราจะพยุงนายหญิงน้อยตามไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ” พี่เหอพูดปลอบใจคุณผู้หญิง

เซิ่งซินเดินไปยังเตียงของไป๋มู่ชิง แล้วยื่นมือออกไปพยุงแขนของเธอเอาไว้พร้อมพูดว่า : “พี่สะใภ้ เดี๋ยวผมจะพยุงพี่ไปนะครับ”

ไป๋มู่ชิงมองหน้าเซิ่งซิน รู้สึกใจเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ สุดท้ายเธอจึงได้ลุกขึ้นนั่งบนเตียง จากนั้นก็รวบรวมความกล้าพูดกับคุณผู้หญิงว่า : “คุณย่าคะ คุณหมอหวงพูดถูกต้องแล้วค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งท้องตั้งแต่แรกค่ะ”

“เธอว่าอะไรนะ ?” คุณผู้หญิงตัวสั่นเทา แทบจะล้มทั้งยืน

เซิ่งซินรีบเดินเข้าไปพยุงคุณผู้หญิงเอาไว้กับพี่เหอทันที

ไป๋มู่ชิงมองเห็นใบหน้าบิดเบี้ยวเนื่องจากความโกรธของคุณผู้หญิง เธอเดาได้ตั้งนานแล้วว่าคุณผู้หญิงจะต้องโกรธเป็นฟืนเป็นไฟแน่นอน ทว่าเรื่องราวมันดำเนินมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เธอทำได้เพียงแบกหน้าเดินต่อไป เธอก้มหน้าลงพร้อมพูดขึ้นด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด : “คุณย่าคะ เป็นเพราะที่ตรวจครรภ์มีปัญหาในตอนแรก คืนนั้นที่ฉันกับคุณชายใหญ่ไปโรงพยาบาล คุณหมอบอกพวกเราว่า ไม่ได้ตั้งครรภ์ค่ะ พวกเราเป็นกังวลว่าคุณย่าจะเสียใจ เพราะงั้นถึงได้โกหกคุณย่าแบบนี้ ขอโทษนะคะ ใจเย็น ๆ ก่อนนะคะ……”

คุณผู้หญิงหายใจหอบ และกล่าวเสียงสั่นขึ้นมาหนึ่งประโยคด้วยความยากลำบาก : “ไล่นังผู้หญิงชั่วนี่ออกไปเดี๋ยวนี้ !”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท