เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 199 ก็ดีนะ ผมชอบ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เสี่ยวเหมิงจองตั๋วเครื่องบินช่วงบ่ายโมง หลังจากที่ไป๋มู่ชิงรับประทานมื้อเที่ยงกับพวกเขาแล้วก็กลับห้องมาเก็บข้าวของ เธอยืนมองตัวเองผ่านกระจกเงา แม้รอยฟันบนไหล่จะไม่ลึกมาก ทว่าเพียงแค่ตั้งใจมองสักหน่อยก็จะมองเห็น

อวัยวะส่วนที่มีบาดแผลประกอบกับรูปร่างลักษณะของบาดแผลที่ทำให้คนเข้าใจผิดง่ายเช่นนี้ เธอไม่ได้กังวลว่าจะถูกผู้อื่นหัวเราะเยาะแต่อย่างใด ทว่าสิ่งที่เธอเป็นกังวลนั้นคือกลัวว่าเฉียวเฟิงจะเข้าใจผิด

เสื้อที่เธอสวมสองวันนี้ไม่ได้เป็นแบบคอสูง หากอยากปกปิดบาดแผลนั้นไว้คงปกปิดไม่อยู่แน่นอน

เธอใช้รองพื้นในการปกปิดไว้บ้าง จากนั้นก็ลากกระเป๋าเดินทางขนาดเล็กเดินออกไป

ประธานจางและเสี่ยวเหมิงนั่งกระหนุงกระหนิงอยู่เก้าอี้ตรงข้าม ส่วนไป๋มู่ชิงนั่งที่นั่งชิดหน้าต่างอยู่ลำพัง ศีรษะพิงหลังเก้าอี้ พร้อมมองออกไปนอกหน้าต่างซึ่งมีเครื่องบินลำอื่นกำลังลงจอดและบินขึ้นอยู่ไม่ขาด ครั้นสิ่งที่คิดอยู่ภายในหัวของเธอกลับเป็น……ไม่รู้ว่าตอนนี้หนานกงเฉินเป็นอย่างไรบ้าง

เมื่อคืนนี้เขาป่วยอาการสาหัสเช่นนั้น คงไม่หายง่าย ๆ หรอกใช่ไหม ?

จนกระทั่งเครื่องบินเริ่มออกตัว และขณะที่เธอหันลำตัวนั่งตัวตรงนั้น อยู่ ๆ หางตาของเธอก็เหลือบไปยังเงาร่างอันคุ้นเคย เธอชะงักไปชั่วครู่ พร้อมทั้งมองหนานกงเฉินที่ไม่ทราบว่ามานั่งอยู่ข้างกายเธอตั้งแต่เมื่อไร

“ทำไม เจอหน้าผมมันน่าตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ ?” หนานกงเฉินเคลื่อนสายตาออกจากนิตยสารการเงินในมือและมองหน้าเธอพร้อมทั้งหัวเราะขำขัน : “คุณหนูอีกำลังคิดในใจว่า ทั้งที่เมื่อวานผมป่วยหนักแบบนั้นทำไมวันนี้ถึงลุกจากเตียงได้ใช่ไหมครับ ?”

ไป๋มู่ชิงคิดเหมือนอย่างที่เขาว่าเช่นนั้นจริง ๆ เธอจึงกล่าวขึ้นโดยไม่ได้ปฏิเสธ : “คุณชายเฉินไม่เป็นอะไรแล้วเหรอคะ ?”

หนานกงเฉินส่ายหน้า : “ไม่เป็นไรแล้ว”

“อ้อ ถ้างั้นก็ดีค่ะ……” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า และครุ่นคิดในใจจนใบหน้าเรียวเล็กของเธอแดงก่ำขึ้น : “ไม่ทราบว่าเขาจะยังจำเรื่องที่เขาปฏิบัติกับเธอเมื่อคืนนี้ได้หรือไม่ ? หวังว่าจะจำไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงน่าอึดอัดใจน่าดู”

เธอเพิ่งคิดเสร็จ สายตาที่หนานกงเฉินจับจ้องมาที่เธอก็ผุดความรู้สึกผิดขึ้นมา เขาจ้องหน้าเธอพลางกล่าวว่า : “เรื่องเมื่อวานนี้ขอโทษจริง ๆ นะครับ ผมควบคุมตัวเองไม่อยู่”

เขาหมายถึงเรื่องไหน ? ที่จูบเธอหรือว่าที่กัดเธอ ?

ไป๋มู่ชิงไม่มีเวลามาพิจารณาเรื่องนั้น เธอรีบส่ายหน้าทันควัน : “ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนั้นคุณชายเฉินเมาแล้วแถมยังอาการป่วยกำเริบอีก”

“เมื่อคืนนี้ผมคิดว่าคุณเป็นภรรยาเก่าของผมน่ะ เพราะงั้นถึงทำพฤติกรรมแบบนั้นออกมา” หนานกงเฉินกล่าวขึ้นอีกครั้ง

“มู่ชิงคือภรรยาเก่าของคุณเหรอคะ ? เป็นผู้หญิงที่คุณชอบในตอนแรก ?” ไป๋มู่ชิงถามด้วยความสงสัย

หนานกงเฉินพยักหน้า : “เมื่อก่อนตอนที่ผมอาการป่วยกำเริบเธอเป็นคนดูแลผมมาตลอด อีกทั้งทุกครั้งก็จะถูกผมทำร้ายบาดเจ็บด้วย”

“ถ้างั้นเธอไม่กลัวเหรอคะ ?” ไป๋มู่ชิงคิดถึงสถานการณ์ขณะที่เขาอาการป่วยกำเริบเมื่อคืนนี้ หากเป็นคนทั่วไปคงหวาดกลัวสินะ ? หากเมื่อคืนนี้เธอไม่เป็นกังวลว่าเขาจะทำร้ายตัวเอง เธอคงตกใจตื่นจนวิ่งเตลิดไปตั้งนานแล้ว

“เธอบอกว่าเธอไม่กลัว แต่ผมรู้ว่าเธอจะต้องเจ็บมาก” สายตาของหนานกงเฉินมองต่ำลง และมองไปยังรอยเขี้ยวที่มีรองพื้นปกปิดอยู่ของเธอ จากนั้นก็ยกมือขึ้นมากดเบา ๆ จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความรู้สึกผิดและอ่อนโยนว่า : “เจ็บไหม ?”

ช่วงเวลาที่นิ้วมืออันร้อนผ่าวของเขาสัมผัสบนผิวของเธอนั้น เธอรีบหดหัวไปด้านข้างทันทีราวกับถูกไฟดูด

ฝ่ามือของหนานกงเฉินจึงค้างอยู่กลางอากาศ จากนั้นเขาจึงชักมือกลับด้วยความเคอะเขินเล็กน้อย : “ขอโทษครับ……”

ไป๋มู่ชิงสัมผัสได้ว่าปฏิกิริยาตอบสนองของตนนั้นรุนแรงเกินไป เธอจึงแอบสูดหายใจเข้าลึกพร้อมกล่าวขึ้นว่า : “เมื่อคืนนี้เจ็บอยู่ค่ะแต่ว่าตอนนี้ไม่เจ็บแล้ว คุณชายเฉินไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดหรอกค่ะ”

หนานกงเฉินพยักหน้า จากนั้นก็นั่งตัวตรง

เครื่องบินโบยบินต่อไป ทั้งสองคนก็เริ่มเข้าสู่ความเงียบเช่นกัน

หนานกงเฉินตั้งใจบอกให้เลขาเหยียนเปลี่ยนเที่ยวบินมาเที่ยวบินนี้ เพื่อที่จะได้ดูเธอ ดูว่าเธอถูกตนทำร้ายแล้วเป็นอย่างไรบ้าง เวลานี้ขณะที่ได้เห็นรอยฟันบนคอของเธอแล้ว เขาจึงนึกถึงไป๋มู่ชิงที่ถูกตนกัดจนผิวเป็นรอยหมด เพียงแค่รอยฟันบนข้อมือก็มีเยอะมากแล้ว ยังไม่รวมส่วนอื่นอีก

และไม่รู้ว่ามีอะไรดลใจ สายตาของเขาจึงเคลื่อนไปอยู่บนข้อมือของไป๋มู่ชิง ข้อมือและนิ้วมือเธอต่างก็มีรอยถูกเผาและรอยเหยียบย่ำ ครั้นบนข้อมือกลับว่างเปล่า ไม่มีรอยอันใดเลย

เขาสูดหายใจเข้าเบา ๆ พลางคิดในใจว่าตนกำลังทำอันใดอยู่ ? หรือว่าผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ยังเป็นมู่ชิงของเขาได้อยู่ ?

ไป๋มู่ชิงเงียบไปยาวนาน เวลาต่อมาเธอจึงปริปากถามเขาไปอย่างระมัดระวังขึ้นโดยไม่ทราบว่าเพื่อทำลายความเงียบของทั้งคู่หรือเพื่อสนองความสงสัยภายใจของตนกันแน่ : “คุณชายเฉิน อาการป่วยของคุณ……มันคืออะไรกันแน่คะ ?”

เธอมองใบหน้าด้านข้างของหนานกงเฉิน ทั้งที่เมื่อมองภายนอกเขาดูเป็นคนสุขภาพแข็งแรงมากแท้ ๆ

หนานกงเฉินเงียบไปนาน ค่อยพูดตอบเธอว่า : “ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว”

“เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้ว ?” ไป๋มู่ชิงสงสัยขึ้นมากกว่าเดิม

ในที่สุดหนานกงเฉินก็หันหน้ามา : “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เคยใช้ชีวิตในประเทศมาก่อน”

“หมายความว่าไงคะ ?”

“ข่าวลือที่ว่าหนานกงเฉินเป็นโรคประหลาด จะมีชีวิตไม่ถึง 30 ปี แถมยังเป็นโรคที่เกิดจากดวงของสามีภรรยาไม่สมพงษ์กันอีก” หนานกงเฉินใช้นิตยสารตบไปยังมือของเธอ บนหนังสือมีบทความที่เกี่ยวกับเขาอยู่ ไป๋มู่ชิงหยิบนิตยสารขึ้นมาด้วยความฉงนสงสัย ในบทความเขียนเรื่องเกี่ยวกับเขาได้อย่างน่ากลัวและอันตรายมาก

อันที่จริงนี่เป็นข่าวลือที่ล้าสมัยไปแล้ว ทว่าจนถึงปัจจุบันนี้ยังคงมีคนเผยแพร่ต่อไปด้วยความบันเทิง โดยเฉพาะหลังจากที่ภรรยาคนที่เจ็ดของเขาเสียชีวิตลง ก็ยิ่งเผยแพร่กันรุนแรงขึ้นกว่าเดิม

ไป๋มู่ชิงกวาดสายตาอ่านเนื้อหาด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็เงยหน้าจ้องหน้าเขา : “คุณมีภรรยามาแล้วแปดคนจริง ๆ เหรอคะ ? แถมยังตายหมดแล้วด้วย ? และอาการป่วยของคุณ……ถ้าบนนิตยสารเขียนไว้ถูกต้อง ทำไมคุณยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ล่ะคะ ? เป็นเพราะคู่ครองฟ้าลิขิตปรากฏตัวออกมาจริง ๆ เหรอคะ ? คุณหนูจูเป็นคู่ครองฟ้าลิขิตของคุณจริง ๆ เหรอคะ ?”

หนานกงเฉินไม่ทราบว่าจะควรตอบคำถามที่มาเป็นชุดเช่นนี้ของเธออย่างไรดี

ไป๋มู่ชิงรับรู้ได้ว่าตนถามเยอะเกินไป ดังนั้นจึงปิดนิตยสารลงแล้วคืนเขาไป : “ขอโทษนะคะ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้คุณทุกข์ใจ”

“คุณเชื่อไหม ?” หนานกงเฉินถามกลับ

“พูดตามความจริง ฉันไม่ค่อยเชื่อค่ะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “บนโลกนี้จะมีตำนานผีและเทพเยอะขนาดนั้นได้ยังไง ?”

“ถ้าคุณได้อ่านบทความนี้ก่อนหน้า เมื่อคืนนี้คุณยังกล้าอยู่ช่วยผมในห้องอีกไหม ?”

ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นก็ส่ายหน้า : “ฉันไม่รู้ค่ะ ตอนนั้นฉันรู้สึกแค่ว่าถ้าไม่ช่วยคุณ คุณอาจจะกัดฟันตัวเองขาด นั่นมันเป็นแค่การตอบสนองตามสันชาตญาณเมื่อเจอเรื่องกะทันหันละมั้งคะ”

หนานกงเฉินสบตาเธอ ถ้าหากไม่ใช่เพราะเธอนั้นไม่ทราบเรื่องเกี่ยวกับเขาเลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะใบหน้าที่ไม่เหมือนกับไป๋มู่ชิงของเธอ ถ้าหากไม่เป็นเพราะตอนนั้นเขาไปดูศพกับตาตัวเอง เขาคงคิดว่าบุคคลที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นคือภรรยาที่เขาคนึงหามาตลอด

เนื่องจากความคิดของเธอ และคำพูดของเธอนั้นล้วนคล้ายกับไป๋มู่ชิงอย่างยิ่ง !

“คุณ……เป็นคนเดียวกับเธอจริง ๆ” หนานกงเฉินกล่าวคำพูดนี้ออกมาราวกับกำลังตกอยู่ในห้วงความฝัน

ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างเคอะเขิน เนื่องจากเขาไม่ได้บอกเช่นนี้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น

ช่วงบ่ายไป๋มู่ชิงและเฉียวเฟิงไปรับเสียวหว่านชิงจากโรงเรียนอนุบาลตรงเวลาดังเช่นที่เคยเป็นมาเนื่องจากเป็นช่วงเวลาเลิกเรียน บริเวณรอบ ๆ โรงเรียนจึงมีรถจอดอยู่เต็มไปหมด

ไป๋มู่ชิงจอดรถที่ริมถนนฝั่งตรงข้ามโรงเรียนอนุบาล จากนั้นก็หยิบนิตยสารหนึ่งเล่มออกจากที่นั่งข้างคนขับพร้อมยื่นให้เฉียวเฟิงที่นั่งอยู่ที่นั่งข้างหลัง : “คุณอ่านนิตยสารที่นี่ก่อนสักครู่นะคะ ฉันจะไปถามพฤติกรรมช่วงนี้ของหว่านชิงกับครูฟางหน่อย”

“โอเค คุณไปเถอะ” เฉียวเฟิงรับนิตยสารไป

ไป๋มู่ชิงเดินข้ามถนนไป เดินมุ่งไปทางโรงเรียนอนุบาล

เฉียวเฟิงหยิบนิตยสารมาพลิกเปิด จากนั้นก็วางลงด้วยความเบื่อหน่าย เปลี่ยนมามองรถที่ขับผ่านไปผ่านมานอกหน้าต่างรถแทน

หลังจากที่นั่งมาสักพัก อยู่ ๆ เขาก็เห็นรถคันหนึ่งที่คุ้นหน้าคร่าตากำลังเข้าจอดที่ข้างทางถนนฝั่งตรงข้าม เนื่องจากผู้ที่ขับรถสปายเกอร์ในเมืองซีนั้นมีไม่มากนัก เพราะฉะนั้นเขาจึงมองสังเกตอย่างเป็นพิเศษ เมื่อเขามองเห็นเลขทะเบียนรถและเห็นหนานกงเฉิน ก็ต้องตกตะลึงทันที

ตามที่เขาทราบมา หนานกงเฉินไม่มีลูก และเป็นไปไม่ได้ที่จะมีลูกเรียนอยู่ในโรงเรียนอนุบาล เหตุใดเขาจึงมาที่นี่ ?

หรือว่าเขารู้จักเสียวหว่านชิงแล้ว ? ดังนั้นจึงมาที่นี่งั้นหรือ ?

ยิ่งเขาคิดลึกเท่าไรก็ยิ่งเป็นกังวลมากเท่านั้น เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วต่อสายถึงเฉียวซือเหิง บอกว่าเขาพบหนานกงเฉินที่หน้าประตูทางเข้าโรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่า

เฉียวซือเหิงครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็พูดขึ้นว่า : “ช่วงนี้ฉันเพิ่งเจอหน้าหนานกงเฉินเอง เขาไม่ได้มีความผิดปกติอะไร อีกอย่างตามนิสัยของเขาแล้วถ้าเขารู้ว่าหว่านชิงเป็นลูกสาวของเขาแล้วเขาคงไม่เล่นเกมสะกดรอยตามกับนายหรอก เขาจะแย่งมาทันที”

“แล้วทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ?”

“คงเป็นเพราะบังเอิญมาจอดรถที่นั่นพอดีมั้ง นายไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”

เมื่อได้ยินที่เฉียวซือเหิงกล่าวมาเช่นนั้นแล้ว เฉียวเฟิงจึงสบายใจขึ้นมาเสียที

หนานกงเฉินที่อยู่ภายในรถสปายเกอร์ฝั่งตรงข้ามนั้น เขาไม่ทราบจริง ๆ ว่าเสียวหว่านชิงคือลูกสาวของตนเอง เขาเพียงแค่อยู่ ๆ ก็อยากเจอหน้าไป๋มู่ชิงและเสียวหว่านชิงเท่านั้น จึงขับรถบึ่งมาที่นี่โดยไม่รู้ตัว

หลังจากที่กลับจากเมืองเยว่ ความรู้สึกดีที่เขามีต่อไป๋มู่ชิงที่เกิดขึ้นอย่างปริศนานั้นก็รุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ รุนแรงจนถึงขั้นทำให้เขาทำเรื่องที่โง่เขลาอย่างเช่นวันนี้ได้

เขามองเห็นไป๋มู่ชิงกำลังจูงมือเสียวหว่านชิงที่กำลังกระโดดโลดเต้นออกจากโรงเรียนอนุบาลผ่านกระจกรถ รอยแผลบนหน้าผากของเสียวหว่านชิงทิ้งรอยสีแดงเอาไว้ ทว่านี่มันไม่ส่งผลกระทบกับความสวยและความน่ารักบนใบหน้าของเธอเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นท่าทางอันร่าเริงขณะที่เธอบอกลาบรรดาเพื่อนตัวน้อยของเธอ และเมื่อมองดูใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มที่ทั้งน่ารักน่าเอ็นดูนั้น หนานกงเฉินจึงมีความรู้สึกที่ว่าอยากพุ่งเข้าไปกอดเธอขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าเขาผู้ที่ไม่เคยชอบเด็กเล็กมาก่อนจะมีความคิดเช่นนี้กับลูกของผู้อื่น

มือของเขาวางอยู่บนที่ล็อคประตูรถ เขาเกือบเปิดประตูลงรถไปแล้ว ทว่าสุดท้ายกลับล้มเลิกความตั้งใจที่จะลงรถไป

เขาควรปรากฏตัวต่อหน้าสองแม่ลูกคู่นั้นด้วยสถานะหรือเหตุผลอันใด เจอหน้าแล้วพูดอะไรได้ ? บอกว่าเป็นการเจอกันโดยบังเอิญงั้นหรือ ? หรือบอกพวกเธอว่าเขามารอพวกเธอออกมาโดยเฉพาะ ถ้าหากเขาพูดเช่นนั้นจริง ๆ จะทำให้ผู้อื่นคิดว่าตนมีเจตนาร้ายหรือไม่ ?

เมื่อคิดได้ดังนั้นเขาจึงล็อคประตูรถที่สตาร์ทอยู่ พร้อมเอนร่างพิงที่นั่ง สายตาพลางมองสองแม่ลูกที่กำลังจูงมือกันข้ามถนนผ่านกระจกหน้ารถ

และขณะนี้เอง อยู่ ๆ รถคันสีเงินเทาก็พุ่งผ่านรถของหนานกงเฉินไปทางบริเวณที่สองแม่ลูกยืนอยู่ด้วยความเร็ว

หนานกงเฉินตกใจเป็นอย่างมาก มองดูแล้วรถคันนั้นอาจชนทั้งสองคนได้ ครั้นโชคดีที่ไป๋มู่ชิงมีความว่องไว เธอรีบดึงเสียวหว่านชิงถอยไปข้างหลังทันที จากนั้นรถคันนั้นก็พุ่งผ่านไปโดยเร็วไว

ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วและกะทันหันเกินไป หนานกงเฉินยังไม่ทันได้ผลักเปิดประตูลงรถไปด้วยซ้ำ แค่เวลาชั่วพริบตาเดียวก็กลายเป็นราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น

ไป๋มู่ชิงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเธอหันหน้าไปมอง รถคันสีเทาสว่างก็ได้ขับผ่านเบื้องหน้าเธอไปเรียบร้อยแล้ว

“ทำไมถึงขับรถเร็วแบบนี้นะ” เธอบ่นด้วยใบหน้าที่ซีดเซียว

“จริงด้วยค่ะ ตกใจหมดเลย” ผู้ปกครองท่านหนึ่งกล่าวขึ้น

เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่ได้คิดว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการเจตนาทำร้ายแต่อย่างใด ทว่าหนานกงเฉินรู้สึกว่าเรื่องนี้มันแปลก ๆ เพราะเขารู้สึกได้ว่ารถคันนั้นเพิ่งเริ่มเร่งความเร็วเมื่อขับมาอยู่ข้าง ๆ เขา

ไป๋มู่ชิงที่เพิ่งขวัญเสียกับเหตุการณ์ก่อนหน้าตบหน้าอกตัวเอง จากนั้นก็อุ้มเสียวหว่านชิงเดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม

เฉียวเฟิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามไม่ได้เห็นชัดเจนว่าเมื่อสักครู่มันเกิดอะไรกันแน่ เขาทราบเพียงว่ามีรถหนึ่งคันขับเร็วเกินกำหนด เสียวหว่านชิงขึ้นรถมาและบอกพ่อทันที : “คุณพ่อคะ เมื่อกี้มีรถคันหนึ่งขับเร็วมากเลยค่ะ หนูกับคุณแม่ตกใจแทบแย่”

เฉียวเฟิงอุ้มเธอขึ้นนั่งบนคาร์ซีท จากนั้นก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม : “เพราะงั้น จากนี้ไปตอนข้ามถนนจะต้องระวังหน่อยนะรู้ไหมครับ ?”

“รู้แล้วค่ะ หนูจะระวังนะคะ” เสียวหว่านชิงกล่าวด้วยความเชื่อฟัง

หนานกงเฉินมองไป๋มู่ชิงอุ้มเสียวหว่านชิงไปนั่งยังที่นั่งด้านหลัง ปิดประตูรถ จากนั้นก็กลับไปยังที่นั่งคนขับและขับรถออกไป

เขารีบส่งข้อความหาเลขาเหยียนด้วยความรวดเร็ว จากนั้นก็สตาร์ทรถแล้วขับออกจากโรงเรียนอนุบาลทันที

หนานกงเฉินยังไม่ถึงคฤหาสน์หลังเก่า เลขาเหยียนก็โทรเข้ามาแล้ว หนานกงเฉินจึงถามขึ้นด้วยความอยากรู้เต็มทน : “สืบมาได้หรือยัง ?”

“เป็นรถทะเบียนซ้ำค่ะ มีอะไรเหรอคะคุณชายเฉิน ?” เลขาเหยียนถาม

หนานกงเฉินเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็กล่าวว่า : “ไม่มีอะไร” พูดจบจึงวางสายไปทันควัน

หลังจากที่เขาขับรถมาถึงคฤหาสน์หลังเก่าแล้วนั้นก็ได้เดินขึ้นห้องนอนของจูจูที่อยู่ชั้นสองทันที

มีน้อยครั้งมาก ๆ ที่เขาจะเข้าไปห้องนอนของจูจู ครั้นวันนี้กลับเดินเข้าไปอย่างกะทันหัน อีกทั้งยังเป็นวันที่เลิกงานเร็วเช่นนี้อีกด้วย ทำให้จูจูรู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง

“เฉินคุณกลับมาแล้วเหรอคะ……” เธอเดินเข้ามาหาเขาพร้อมคล้องแขนของเขาเอาไว้ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม : “วันนี้ตอนบ่ายฉันไม่มีอะไรทำ ก็เลยเรียนทำน้ำเชื่อมกับพี่เหอ ฉันทำไว้ให้คุณด้วยฝีมือตัวเองหนึ่งถ้วยด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันลงไปยกขึ้นมาให้……”

เวลานี้หนานกงเฉินกลับกระชากมือที่เธอคล้องแขนตนไว้ออก จากนั้นก็จ้องหน้าเธอตาเขม็ง : “วันนี้ตอนบ่ายเธอยังมีอารมณ์ทำน้ำเชื่อมด้วยงั้นเหรอ ?”

“มีอะไรเหรอคะ ?” สีหน้าของจูจูซีดเซียวลงเล็กน้อย เธอมองหน้าเขาแล้วพูดขึ้นว่า : “เฉินเกิดเรื่องอะไรขึ้นคะ ?”

“ฉันถามเธอหน่อย วันนี้เธอใช้ให้คนไปขับรถชนคุณหนูอีสองแม่ลูกที่โรงเรียนอนุบาลใช่ไหม ?” หนานกงเฉินถามออกไปตรง ๆ

จูจูอ้าปากขึ้น จากนั้นก็ส่ายหน้าโดยสันชาตญาณ : “จะเป็นอย่างนั้นได้ไงคะ ? เฉิน……ทำไมคุณถึงมีความคิดแบบนี้คะ ฉัน……”

“หยุด” หนานกงเฉินพูดแทรกเธอด้วยน้ำเสียงอันเย็นชา : “ฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอไม่มีทางยอมรับหรอก ฉันก็ไม่ได้อยากบังคับให้เธอยอมรับหรอกนะ แต่มีอยู่อย่างที่เธอจะต้องทำความเข้าใจไว้จะดีที่สุด ช่วงนี้คุณหนูจูเพิ่งกลับประเทศมา และไม่มีเพื่อนที่เมืองซีเลย ไม่มีทางที่จะไปเป็นศัตรูกับใคร ก่อนหน้าที่เขาจะเจอกับฉัน พวกเขาสองแม่ลูกไม่เคยเกิดอุบัติเหตุอะไรกับตัวเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ตั้งแต่ที่รู้จักกับฉันมา เธอก็ถูกอัดที่โรงจอดรถ เกิดเรื่องที่ห้างสรรพสินค้า และวันนี้ก็เกือบโดนรถชนตายหน้าทางเข้าโรงเรียนอนุบาล เธอจะอ้างว่าเธอเป็นผู้บริสุทธิ์ต่อไปก็ได้นะ ถึงยังไงฉันก็ไม่มีหลักฐาน ฉันก็ไม่อยากเสียเวลาให้คนไปสืบเรื่องเหล่านี้ด้วย……”

“หนานกงเฉิน !” จูจูพูดตัดบทเขาด้วยความเดือดดาล พร้อมจ้องหน้าเข้าด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อ : “ในความคิดคุณฉันมันเป็นคนที่ร้ายกาจขนาดนั้นเลยหรือไง ? เรื่องฆ่าแกงคุณยังกล้าโยนใส่ฉันได้ ? เพื่อนังผู้หญิงที่มีสามีแล้วคนนั้นคุณไม่มีแม้แต่ความสามารถในการแยกแยะเลยใช่ไหม ?”

หนานกงเฉินมองน้ำตาบนใบหน้าของเธอ และพยักหน้า : “ดี ฉันจะถือซะว่าเรื่องเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับเธอก็แล้วกัน แต่ฉันขอเตือนเธอไว้อย่าง ถ้าจากนี้ไปเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสองแม่ลูก เธอจะต้องรับผิดชอบทั้งหมด !”

“คุณว่าอะไรนะ ?” จูจูอึ้งไป

“ฉันบอกว่าถ้าจากนี้ไปเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาสองแม่ลูก ฉันจะตัดขาดกับเธอ ทันที !” หนานกงเฉินพูดประโยคนี้จบ จึงกลับหลังหันเดินมุ่งไปยังประตูห้องนอน

“เฉินคะ……” จูจูรีบเข้าไปดึงข้อมือของเขาไว้ จากนั้นก็พูดขึ้นทั้งน้ำตาว่า : “ทำไมคุณถึงพูดกับฉันแบบนี้คะ ? เขาเป็นแค่ผู้หญิงที่มีสามีแล้ว แถมยังมีลูกแล้วด้วย ฉันจะไปทำร้ายเขาได้ยังไงคะ ? คุณ……”

“ขอให้ไม่ได้ทำจริง ๆ เถอะ” หนานกงเฉินชักมือออกจากมือของเธอด้วยความเย็นชา

เมื่อเห็นบานประตูที่ถูกเขาปิดอย่างแรง จูจูจิตใจล่องลอย เธอยืนนิ่งอยู่กับที่และเมื่อผ่านมาเป็นเวลาเนิ่นนาน เธอจึงเดินไปหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะจากนั้นก็เดินเข้าห้องน้ำไป

เธอโทรหาเบอร์ของจูจื้อเหวิน เมื่อปลายสายรับแล้วจึงถามขึ้นว่า : “พ่อคะ วันนี้พ่อให้คนขับรถไปชนผู้หญิงที่แซ่อีใช่ไหม ?”

ปลายสายนั้นมีเสียงของการเล่นไพ่นกกระจอกดังเข้ามา จากนั้นก็มีเสียงของจูจื้อเหวินดังเข้ามา : “ใช่น่ะสิ แต่ว่าผู้หญิงคนนั้นโชคดี ไม่ได้ถูกชนตาย”

“พ่อ……เป็นพ่อจริง ๆ ด้วยเหรอเนี่ย ? นี่พ่ออยากให้ฉันตายหรือไง ?” จูจูตะคอกด้วยความโมโห เรื่องเหตุการณ์ในลิฟต์ยังไม่ได้ผ่านไป ก็มีเรื่องใหม่มาอีกแล้ว มิน่าหนานกงเฉินจึงยกความรับผิดชอบมาไว้ที่เธอทั้งหมดเช่นนี้

“มีอะไรเหรอ ?” จูจื้อเหวินกล่าวอย่างไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด

“หนานกงเฉินเดาว่าหนูเป็นคนทำ ขู่หนูว่าถ้าจากนี้ไปถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนที่แซ่อีนั่นก็จะหย่ากับหนูทันที” จูจูกล่าวด้วยความไม่พอใจนัก : “พ่อคะ หนูบอกกับพวกพ่อแล้วไม่ใช่หรือไง ? อย่ายื่นมือมายุ่งเรื่องของหนู หนานกงเฉินไม่ใช่คนที่หลอกง่ายขนาดนั้นนะ”

“จู อย่าเพิ่งร้อนใจไป” ในที่สุดปลายสายก็ไม่มีเสียงไพ่นกกระจอกแล้ว จูจื้อเหวินน่าจะอยู่ในห้องน้ำ เขากล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง : “จูลูก วันนั้นหลังจากที่ลูกเล่าเรื่องสองแม่ลูกนี้ให้พ่อฟัง พ่อก็ไปดูที่โรงเรียนอนุบาล พบว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นหน้าตาเหมือนกับไป๋มู่ชิงตอนเด็ก ๆ เปี๊ยบเลย ลูกว่ามันน่าเหลือเชื่อไหม ? มิน่าล่ะหนานกงเฉินเลยดีกับพวกเขาสองแม่ลูกขนาดนี้”

“พ่อว่าอะไรนะ ?” จูจูสงบสติอารมณ์จากนั้นก็ถามขึ้น

“พ่อบอกว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเหมือนมู่ชิงตอนเด็กมาก ลูกไม่ใช่บอกว่าหนานกงเฉินชอบจูจูตอนเด็ก แต่ไม่ชอบจูจูตอนนี้เหรอ ? พ่อว่านะเขาน่าจะคิดว่าผู้หญิงที่แซ่อีอะไรนั่นเป็นไป๋มู่ชิงแล้วละ พ่อคิดว่าถ้าปล่อยให้ผู้หญิงคนนี้มีชีวิตต่อไป ก็มีแต่จะเป็นพิษภัยในอนาคต ก็เลยใช้ให้คนไปขับรถชนเธอน่ะ”

จูจูอึ้งไปเนิ่นนาน จากนั้นค่อยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงตกตะลึง : “เหมือนมากจริง ๆ เหรอคะ ?”

“รูปตอนเด็กของไป๋มู่ชิงลูกเคยเห็นแล้วไม่ใช่เหรอ ?”

“หนูลืมไปตั้งนานแล้วค่ะ”

“เอาเถอะ เหมือนมากจริง ๆ” จูจื้อเหวินกล่าว : “เพราะงั้นถ้าผู้หญิงคนนี้ยังมีชีวิตอยู่ ไม่นานก็ช้าจะต้องแย่งหนานกงเฉินไปแน่นอน”

“แต่หนานกงเฉินบอกไว้ชัดเจนแล้วว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ จะโยนความรับผิดชอบให้หนูทั้งหมด” จูจูกล่าวด้วยน้ำเสียงเอือมละอา

จูจื้อเหวินไม่คิดว่าเป็นเรื่องใหญ่โตอันใด : “คำพูดแบบนี้เอาไว้ทำให้ลูกตกใจซะมากกว่ามั้ง ?”

“ไม่ค่ะ พ่อไม่รู้จักหนานกงเฉิน เขาเป็นคนที่พูดยังไงก็อย่างนั้นมาตั้งแต่ไหนแต่ไร” จูจูสูดหายใจเข้าเบา ๆ จากนั้นก็กล่าว : “สรุปแล้วเรื่องนี้พ่ออย่ามายุ่งเลย หนูจะคิดหาวิธีจัดการเอง”

“ลูกรัก ลูกจัดการได้เหรอ ?”

“ตอนนี้ยังไม่รู้ค่ะ สรุปแล้วพ่อห้ามสร้างความวุ่นวายให้หนูเพิ่มก็แล้วกัน” จูจูกล่าวตักเตือน

“ก็ได้ จากนี้ไปพ่อไม่ไปยุ่งกับเธอแล้ว” จูจื้อเหวินรับปาก

หลังจากที่เห็นหนานกงเฉินและไป๋มู่ชิงมีความสนิทสนมกันขณะอยู่บนเครื่องบิน ประธานจางจึงไม่สงสัยว่ายาที่ตนวางนั้นเปล่าประโยชน์หรือไม่แล้ว เขาคิดว่าคืนวันนั้นระหว่างหนานกงเฉินและไป๋มู่ชิงจะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่นอน ไม่อย่างนั้นความสัมพันธ์ของทั้งคู่คงไม่ดีเช่นนี้

เมื่อคิดได้ดังนั้นมีครั้งหนึ่ง ณ บริษัทหนานกงกรุ๊ป ประธานจางอดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างเปิดเผย เขาจ้องหน้าหนานกงเฉินแล้วถามเขาด้วยความระมัดระวัง : “คุณชายเฉิน คุณคิดว่าคุณหนูอีพนักงานบริษัทผมนี่เป็นยังไงบ้างครับ ?”

หนานกงเฉินชายตามองเขา จากนั้นก็ยิ้มขึ้นมา : “ก็ดีนะ ผมชอบ”

“อ้อ คุณชายเฉินชอบก็ดีแล้วครับ” ประธานจางพยักหน้า ด้วยรอยยิ้มที่มีเลศนัย

หลังจากที่ประธานจางกลับบริษัทจึงดักไป๋มู่ชิงในห้องพักเบรกแล้วถามเธอไปว่าเธอนั้นคิดว่าคุณชายเฉินเป็นอย่างไร

ไป๋มู่ชิงครุ่นคิดชั่วครู่จากนั้นก็พยักหน้า : “ก็ดีนะคะ ไม่ได้น่ากลัวเหมือนอย่างที่คิด”

“อืม ถ้างั้นก็ดี” ขณะที่ประธานจางหันหลังกำลังจะเดินออกจากห้องเบรกไป อยู่ ๆ ก็หันหน้ามาและจ้องหน้าเธอแล้วกล่าวว่า : “จริงสิ เสี่ยวอี ตอนเย็นจะมีลูกค้ามาเยี่ยมชมบริษัทของเรา คุณอย่าเพิ่งกลับเร็วไปล่ะ”

ไป๋มู่ชิงถามด้วยความฉงนใจ : “งั้นจะกลับได้ตอนกี่โมงคะ ?”

“ไม่ดึกมากหรอกน่าจะทุ่มกว่า ๆ ก็กลับได้แล้วละ” เมื่อประธานจางกล่าวจบก็เดินออกไปทันที

ช่วงบ่ายโมงเมื่อถึงเวลาเลิกงานแล้วทุกคนก็เริ่มรอคอยการมาถึงของลูกค้า จนกระทั่งเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้วก็ไม่เห็นมีใครมาสักคน สุดท้ายประธานจางได้ออกมาประกาศกับทุกคนว่าลูกค้าเปลี่ยนเวลาแล้ว

“บัดซบเอ๊ย ! หลอกให้พวกเราทำโอทีอีกแล้ว” เสี่ยวซ่งกล่าวขึ้นด้วยความโกรธเคืองเสียงเบา : “เสียใจจริง ๆ ที่วันนั้นไม่จัดการมันจนพิการ”

เหล่าบรรดาเพื่อนร่วมงานเริ่มทยอยกันกลับบ้าน ไป๋มู่ชิงเองเมื่อทำงานสุดท้ายที่เหลืออยู่เล็กน้อยเสร็จก็ออกจากบริษัทไปเช่นกัน

ขณะที่เธอเดินมายังชั้นหนึ่งและเดินออกจากล็อบบี้เพื่อเตรียมเดินไปเรียกรถแท็กซี่ข้างทาง ครั้นทันใดนั้นเองก็มีเสียงแตรรถดังขึ้นมา เธอหันหน้าไปมองด้วยความตกตะลึง จึงพบว่าภายในรถฮัมวีคันหนึ่งมีเงาร่างอันคุ้ยเคยนั่งอยู่ด้านใน หรือว่าจะเป็นหนานกงเฉิน ?

เธอยืนแน่นิ่งอยู่ข้างทาง ครั้นหนานกงเฉินได้กดแตรรถอีกครั้ง เธอจึงสาวเท้าเดินเข้าไปถามที่หน้าต่างรถ : “คุณชายเฉินเรียกฉันอยู่เหรอคะ ?”

“ไม่อย่างนั้นล่ะ ?” หนานกงเฉินมองเธอ จากนั้นก็ใช้คางชี้ไปยังที่นั่งข้างคนขับ : “ขึ้นมาสิ”

ไป๋มู่ชิงลังเลไปชั่วครู่ จากนั้นก็ลากเปิดประตูรถพร้อมขึ้นไปนั่ง เธอมองหน้าเขาพร้อมถามว่า : “คุณชายเฉิน คุณมาหาฉันมีธุระอะไรเหรอคะ ? ถ้าเป็นธุระทางการให้เลขาเหยียนโทรหาฉันได้ไหมคะ วันพรุ่งนี้ฉันจะไปที่บริษัทคุณเองเลยค่ะ”

“ถ้าเป็นธุระส่วนตัวล่ะ ?”

“ธุระส่วนตัวเหรอคะ ? ถ้าเป็นธุระส่วนตัวยิ่งมาที่นี่ไม่ได้เลยนะคะ” ไป๋มู่ชิงกวาดสายตามองภายนอก : “ถ้ามีเพื่อนร่วมงานมาเห็นเข้าพวกเขาจะเข้าใจผิดได้นะคะ”

“ไม่ต้องห่วง ไม่เห็นหรือไงว่าผมเปลี่ยนรถคันใหม่แล้ว”

“แต่มันดูโดดเด่นมากเลยนะคะ”

“ถ้างั้นวันพรุ่งนี้ผมค่อยเปลี่ยนคันที่มันไม่เด่นก็แล้วกัน”

“คุณชายเฉิน……” ไป๋มู่ชิงเอือมละอา : “วันนี้คุณเป็นอะไรไปกันแน่คะ ? สบายดีใช่ไหม ?”

“อื้อ……อารมณ์ไม่ดี ดื่มเหล้าไปนิดเดียวแต่ก็ไม่กล้าดื่มเยอะ เพราะกลัวว่าจะอาการป่วยจะกำเริบ” หนานกงเฉินกล่าว

เมื่อได้ยินที่เขาว่ามาดังนั้น ไป๋มู่ชิงจึงได้กลิ่นหอมของไวน์ที่อยู่ภายในรถ แม้ว่าท่าทางของเขาจะดูน่าสงสารเล็กน้อย ทว่าเธอยังคงใจแข็งพูดออกไปว่า : “คุณชายเฉินคะ ถ้าคุณอารมณ์ไม่ดีก็ควรไปหาเพื่อนหรือภรรยาของคุณสิคะ พวกเราทำอย่างนี้……มันไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่นะคะ ไม่ว่าอาจจะถูกภรรยาคุณหรือสามีฉันเห็นเข้า ไม่ดีทั้งสองอย่างเลยนะคะ คุณว่าถูกต้องไหมคะ……”

“วันนี้เป็นวันครบรอบการเสียชีวิตของลูกชายผม” อยู่ ๆ เขาก็พูดขึ้นแทรกเธอ

ไป๋มู่ชิงชะงักไป จากนั้นก็เก็บคำพูดที่กำลังจะเปล่งออกมากลับไปทันควัน

วันครบรอบการเสียชีวิตของลูกชาย……ที่แท้เขาก็มีลูกชายด้วย ทั้งยังไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วด้วย ?

เมื่อมองเห็นความตั้งตารอคอยและความทุกข์ทรมานที่อยู่นัยน์ตาของเขา เธอจึงรู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมาทันที ทำอย่างไรดี ? ดูเหมือนว่าเขาต้องการคนปลอบใจจริง ๆ ทว่าสถานะของทั้งคู่ไม่เหมาะสมจริง ๆ……

“อยู่เป็นเพื่อนผมสักครู่ได้ไหม ? แค่แปปเดียวเท่านั้น” หนานกงเฉินกล่าวอ้อนวอนเสียงเบา

“คุณชายเฉิน……”

“ได้ไหมครับ ?”

“ไม่เหมาะจริง ๆ ค่ะ……”

“ถ้าคุณไม่อยู่กับผม งั้นผมก็ทำได้เพียงกลับไปดื่มเหล้าที่บาร์แล้วละ คุณทนได้เหรอที่จะให้ผมอาการป่วยกำเริบเหมือนคืนนั้นอีก ? คุณหมอบอกแล้วว่าทุกครั้งที่อาการป่วยกำเริบชีวิตก็จะแขวนอยู่บนเส้นด้ายด้วย ทุกครั้งจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิต อีกทั้ง……”

“ก็ได้ค่ะ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ” ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้จนต้องพูดแทรกเข้า : “แต่พวกเราต้องตกลงกันก่อนนะคะ ฉันอยู่เป็นเพื่อนคุณได้แค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้น”

หนานกงเฉินจ้องหน้าเธอ จากนั้นก็พยักหน้า : “พอแล้วละ”

ไป๋มู่ชิงคาดเข็มขัดนิรภัยจากนั้นก็พูดกับเขาว่า : “พวกเราไปหาร้านกาแฟหรือร้านน้ำชานั่งกันดีกว่าค่ะ”

จากนั้นรถก็เริ่มออกตัว ไป๋มู่ชิงรู้สึกได้ว่ารถส่ายเล็กน้อย เธอจึงคว้าที่จับบนศีรษะเอาไว้แน่นพร้อมหันข้างไปมองหน้าเขา ดูเหมือนว่าหมอนี่จะไม่ได้ดื่มแค่นิดเดียวสินะ

หนานกงเฉินไม่ได้พาเธอไปนั่งร้านน้ำชาหรือร้านกาแฟ แต่ขับรถมาหยุดอยู่ที่ริมแม่น้ำ

เขาเดินลงรถไปก่อน จากนั้นก็หยิบเบียร์สองกระป๋องออกจากตู้เย็นท้ายรถ พร้อมยื่นให้เธอหนึ่งกระป๋อง

ไป๋มู่ชิงเงยหน้ามองเบียร์ที่อยู่ในมือเขา และกล่าวว่า : “ตกลงกันแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะไม่ดื่ม ? ทำไมต้องหยิบเบียร์ยังหยิบเบียร์ออกมาอีกคะ ?”

หนานกงเฉินยิ้มพลางกวาดสายตามองไปยังแม่น้ำอันกว้างใหญ่ : “คุณไม่รู้สึกเหรอว่าดื่มเหล้าเวลานี้มันเข้ากับบรรยากาศมากเลย ?”

“อย่าดื่มเลยดีกว่าค่ะ ถ้าเกิดคุณอาการป่วยกำเริบที่นี่จะทำยังไงคะ ? ที่นี่ไม่มีหมอด้วย” ไป๋มู่ชิงยื่นมือไปหยิบเบียร์ที่อยู่ในมือเขามา ครั้นเขายกมือขึ้นหลบเธอทันควัน ไป๋มู่ชิงจึงยื่นมืิอไปคว้ามาอีกครั้ง : “เอามาให้ฉันนะ ไม่อย่างนั้นฉันจะกลับแล้ว”

ในที่สุดเธอก็แย่งเบียร์ที่อยู่ในมือเขามาจนได้ ครั้นลำตัวครึ่งท่อนของเธอได้แนบชิดอยู่กับร่างเขาโดยไม่รู้ตัวเข้าเสียแล้ว ขณะที่เธอคว้าเบียร์และถอยหลังไปนั้น บริเวณส่วนเอวของเธอจึงถูกมือหนึ่งกอดรัดไว้อย่างแรง พร้อมล็อกร่างกายของเธอเอาไว้

ไป๋มู่ชิงชะงักไป จากนั้นก็ก้มหน้ามองมือที่เขากอดรัดเอวของตนเอาไว้ เธอเงยหน้าขึ้นมาจ้องหน้าเข้าอย่างตกตะลึง : “หนานกงเฉิน คุณจะทำอะไร……?”

เธอยังไม่ทันได้พูดจบ หนานกงเฉินก็พลิกตัวแล้วกดเธอไว้กับประตูรถ จากนั้นริมฝีปากสีแดงก็ประกบเข้ากับริมฝีปากของเธอทันที เป็นจูบที่เต็มไปด้วยกลิ่นหอมของเหล้าและห้วงแห่งความรักใคร่……

ไป๋มู่ชิงอึ้งไป เธอจ้องใบหน้าอันหล่อเหลาที่อยู่เบื้องหน้าเธอ นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่เขาขืนใจจูบเธอ

เธอรู้ว่าเขาเมาแล้ว เธอรู้ว่าเขาจะต้องคิดว่าตนเป็นภรรยาคนก่อนของเขาเป็นแน่ ทว่ามันไม่ได้หมายความว่าเขาจะสามารถขืนใจเธอครั้งแล้วครั้งเล่าเช่นนี้ได้ !

หลังจากที่หนานกงเฉินจูบเธอเป็นเวลาเนิ่นนานก็คลายเธอออก ครั้นสายตายังคงจ้องมองใบหน้าของเธออย่างลึกซึ้งอยู่อย่างนั้น เวลาต่อมาก็พูดเสียงเบาขึ้นว่า : “แม้แต่ลมหายใจของคุณก็เหมือนเธอขนาดนี้ คุณหนูอี คุณอธิบายหน่อยได้ไหมว่าทำไม ?”

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็เรียกสติกลับคืนมาได้ เธอยกมือขึ้นมาตบไปบนใบหน้าของเขาอย่างแรง : “หนานกงเฉิน ! ฉันขอเตือนคุณไว้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้าย !”

เมื่อพูดจบ เธอก็ใช้แรงผลักเขาออกไป เพื่อผละเขาออกจากตนเอง ครั้นหนานกงเฉินกลับเข้าไปใกล้เธอมากกว่าเดิม มือหนึ่งของเขาดันรถไว้ อีกมือจับใบหน้าตนที่ถูกเธอตบเข้าแต่ไม่เจ็บไว้ สายตายังคงจับจ้องไปที่เธออย่างสงบนิ่งเช่นเคย : “ทั้งชีวิตนี้ผมไม่เคยคิดจะไปแย่งผู้หญิงมาจากผู้ชายคนอื่นเลย มีแค่ครั้งนี้เท่านั้น ถ้าคุณสามารถบอกมา 10 ข้อที่ยืนยันว่าคุณไม่ใช่ไป๋มู่ชิงออกมาได้ ผมก็จะทำลายความสงสัยและปล่อยคุณไป”

“คุณหมายความว่ายังไง ?” ไป๋มู่ชิงผลักแขนของเขาออกด้วยความโมโห : “คุณเองต่างหากที่เอาแต่บอกว่าฉันเหมือนภรรยาคนก่อนของคุณ ควรจะเป็นคุณมากกว่าที่ต้องพูดมา 10 ข้อว่าฉันเหมือนตรงไหน ?”

“คุณเหมือนเธอทุกประการ แม้แต่ลมหายใจก็ยังเหมือน” มือที่เขาดันรถไว้เคลื่อนมาอยู่บนใบหน้าของเธอ จากนั้นก็ลูบเบา ๆ ที่แก้มเธอ

ไป๋มู่ชิงปิดตาปี๋ด้วยความเอือมละอา จากนั้นก็จ้องหน้าเขาพร้อมพูดว่า : “คุณชายเฉิน คุณต้องการอะไรกันแน่ ? ต่อให้ฉันเหมือนภรรยาคนก่อนของคุณ แล้วคุณจะรับฉันกลับไปแต่งงานกับคุณใหม่งั้นเหรอ ?”

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน……” แววตาของหนานกงเฉินสงบนิ่งลงเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น : “แล้วคุณว่าไง ? ผมควรทำยังไงดี ?”

ผลจากแอลกอฮอล์ ริมฝีปากของเขาเคลื่อนจากแก้มของเธอลงมา จากนั้นก็มาหยุดอยู่บนริมฝีปากของเธออีกครั้ง

ครานี้ไป๋มู่ชิงไม่ยอมให้เขาสมปรารถนาอีก เธอเบี่ยงใบหน้าออกไปอีกข้าง จากนั้นก็ฉวยโอกาสขณะที่เขาไม่ทันได้ระวังตัวผลักร่างของเขาออก พร้อมทั้งวิ่งหนีไปเบื้องหน้าโดยไม่หันหน้ากลับมามองอีกเลย

หนานกงเฉินไม่ได้ตามเธอไป ครั้นยืนนิ่งจ้องมองทิศทางที่เธอวิ่งหนีไปอยู่เนิ่นนาน จนกระทั่งแผ่นหลังของเธอหายไปแล้ว เขาจึงหลับตาลงช้า ๆ พร้อมทั้งสูดหายใจเข้าเบา ๆ

ภายในรถคันหนึ่งจากฝั่งตรงข้าม จูจูมองร่างของเขาที่ยืนอยู่ริมแม่น้ำคนเดียวเป็นเวลาเนิ่นนาน ไม่สามารถอธิบายความน้อยเนื้อต่ำใจและความโมโหที่อยู่ในใจออกมาเป็นคำพูดได้เลย

เธอกวาดสายตามองทิศทางที่ไป๋มู่ชิงวิ่งหนีไป จากนั้นก็นึกถึงว่าจะขับรถไปชนเธอให้กระเด็นออกไป ทว่าวันนี้เธอไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เนื่องจากคำตักเตือนของหนานกงเฉินต้องมาก่อน

หนานกงเฉินช่างเป็นคนที่ไร้เหตุผลและป่าเถื่อนขนาดนี้ ทั้งที่นอกใจเธอแล้วแท้ ๆ กลับยังมามีหน้ามาตักเตือนและขู่เธออีกว่าห้ามทำร้ายผู้หญิงคนนั้น !

จูจูยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ใจ สองมือที่กุมพวงมาลัยรถไว้นั้นรัดแน่นขึ้น สุดท้ายเธอจึงสตาร์ทรถแล้วขับออกไป

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงกลับมาถึงบ้าน ก็เข้าอาบน้ำแล้วขึ้นนอนพักผ่อนบนเตียง

เฉียวเฟิงมองหน้าเธอ จากนั้นก็ยิ้มขึ้นแล้วถามว่า : “เป็นอะไรเหรอ ? งานไม่ราบรื่น ?”

ไป๋มู่ชิงหันหน้ามองเขา ครั้นจนปัญญาที่จะบอกเรื่องที่ตนเจอะเจอมาคืนนี้ให้เขาฟัง ถ้าหากให้เขาทราบเรื่องว่าตนถูกผู้ชายขืนใจจูบสองหน เขาจะต้องเสียใจมากเลยใช่หรือไม่ ?

คิดได้ดังนั้นเธอจึงส่ายหน้า และเข้าไปแนบอิงอยู่ในอ้อมกอดพร้อมโอบร่างเขาไว้แน่น

เฉียวเฟิงก็ไม่ได้ซักไซ้ถามเธอต่อ เขาลูบไหล่ของเธอพร้อมกล่าวว่า : “ถ้างั้นก็นอนพักผ่อนเถอะนะ ตื่นนอนขึ้นมาแล้วอารมณ์ก็จะดีขึ้นเอง ”

“อื้อ ขอบคุณค่ะสามี” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ครั้นภายในใจกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดที่มีต่อเขา

วันต่อมา หลังจากที่ลุงหลิวขับรถไปส่งเสียวหว่านชิงเรียบร้อยแล้ว จึงขับไปส่งไป๋มู่ชิงที่บริษัทต่อ

เมื่อรถจอดสนิทแล้ว ไป๋มู่ชิงจึงโน้มตัวไปพรมจูบบนแก้มของเฉียวเฟิง : “เจอกันตอนเย็นค่ะ”

“เจอกันตอนเย็น ทำตัวให้มีความสุขเข้าไว้นะ” เฉียวเฟิงยกมือขึ้นลูบเส้นผมของเธอ

“แน่นอนค่ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้าแล้วลงรถไป

เมื่อเธอมาถึงบริษัทจึงเดินไปพบประธานจางเป็นอันดับแรก และขอร้องให้เขาเปลี่ยนบิลของบริษัทหนานกงกรุ๊ปไปให้ผู้อื่นรับผิดชอบ

ประธานจางจึงมองหน้าเธอด้วยความสงสัย เกือบจะหลุดปากพูดแล้วว่าทะเลาะกับคุณชายเฉินหรือเปล่า ทว่าเขายั้งคำพูดนั้นเอาไว้ทัน และเปลี่ยนเป็นกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เอือมละอาว่า : “เสี่ยวอี คุณก็ทราบดีว่าคุณเป็นคนที่ทางบริษัทหนานกงกรุ๊ปเลือกเอง ผมตัดสินใจเองไม่ได้หรอกนะ”

“ถ้างั้นฉันก็จะลาออก คราวนี้ได้แล้วใช่ไหมคะ ?”

“อย่า อย่าเด็ดขาดนะ” ประธานจางกล่าวขึ้นด้วยความร้อนรนใจ : “คุณติดตามช้า ๆ ไปก่อน เดี๋ยวผมจะหาโอกาสคุยกับเลขาเหยียนเอง”

“แต่ว่า……” ประธานจางกล่าวแทรกขึ้นด้วยความฉงนใจ : “ผมขอถามเหตุผลที่ทำไมคุณถึงได้ตัดสินใจอย่างกะทันหันแบบนี้ได้ไหม ?”

“ไม่มีอะไรค่ะ ก็แค่ไม่อยากรับงานนี้แล้ว” ไป๋มู่ชิงกล่าว : “หวังว่าประธานจางจะรีบจัดการนะคะ ไม่อย่างนั้นฉันคงต้องลาออกจริง ๆ”

เมื่อเธอพูดจบก็กลับหลังหันเดินออกจากห้องทำงานของประธานจางทันที

หลังจากที่ส่งไป๋มู่ชิงแล้วนั้น ลุงหลิวก็บึ่งรถไปยังร้านอาหารต่อ ระหว่างทางก็พูดพร้อมรอยยิ้มว่า : “คุณชายรอง ความสัมพันธ์ของคุณกับนายหญิงรองนี่ดีจริง ๆ เลยนะครับ”

ได้ยินดังนั้นเฉียวเฟิงจึงอมยิ้ม ครั้นไม่ได้กล่าวอันใดออกมา

จากนั้นลุงหลิวจึงอดไม่ได้ที่จะกล่าวขึ้นอีกครั้งว่า : “ผมมองออกว่านายหญิงรองจริงใจกับคุณมาก นายหญิงเป็นห่วงคุณเยอะเกินไปจริง ๆ”

“อืมฉันก็รู้สึกได้เหมือนกัน” เฉียวเฟิงฉีกยิ้มขึ้น

เวลาต่อมารถได้ขับมาหยุดอยู่ด้านหน้าของร้านอาหาร ลุงหลิวลงรถไปก่อนพร้อมหยิบวีลแชร์ออกจากท้ายรถ จากนั้นก็พยุงเฉียวเฟิงลงจากที่นั่งด้านหลังแล้วมานั่งบนวีลแชร์

ทั้งสองคนกำลังจะเดินมุ่งเข้าไปในร้านอาหาร ครั้นทันใดนั้นเองก็มีผู้หญิงวัยรุ่นผู้หนึ่งมายืนขวางเบื้องหน้าเฉียวเฟิงเอาไว้ สองมือที่กำลังเคลื่อนวีลแชร์ของเฉียวเฟิงจึงหยุดชะงักไป เขาเงยหน้ามองผู้หญิงที่สวมเสื้อผ้าดูดีมีสกุล หน้าตาสละสลวยที่ยืนขวางเบื้องหน้า

ผู้หญิงคนนั้นก็มองหน้าเขาเช่นกัน นัยน์ตาของเธอเต็มไปด้วยความตกตะลึงและความดูถูกเหยียดหยาม

“พวกเรารู้จักกันเหรอครับ ?” เฉียวเฟิงยักคิ้วให้เธอ หญิงสาวผู้นี้น่าตาคุ้นหน้าคร่าตาเล็กน้อย ทว่าเขากลับนึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหนมาก่อน

หญิงสาวที่เขารู้จักมีไม่เยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และผู้ที่เขาคบค้าสมาคมด้วยก็ยิ่งน้อยไปใหญ่ เพราะเช่นนั้นถ้าหากเป็นคนที่ตนรู้จักนั้น เขาควรจำได้ถึงจะถูก

“มิน่าล่ะทำไมเมียถึงแอบไปกินข้างนอก ที่แท้ก็เป็นขยะที่แม้แต่ทำให้เมียสมปรารถนาก็ทำไม่ได้นี่เอง” สองมือของจูจูกอดหน้าอกเอาไว้ เธอก้มมองหน้าเขาจากด้านบนลงมา พร้อมทั้งหัวเราะคิกคัก

คำพูดนี้ของเธอทำให้เฉียวเฟิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที และทำให้ลุงหลิวที่ยืนอยู่ด้านหลังถึงกลับต้องกล่าวตักเตือนเธอด้วยความโกรธเคืองออกมา : “คุณผู้หญิง กรุณาพูดจาเคารพผู้อื่นด้วย !”

“คุณชายรอง พวกเราไปกันครับ” ลุงหลิวเลื่อนเฉียวเฟิงอ้อมจูจูไปจากด้านหลัง จากนั้นก็เดินเข้าไปในร้านอาหาร

“รอเดี๋ยว !” จูจูสาวเท้าเข้ามาเร็วไว จากนั้นก็มายืนขวางอยู่เบื้องหน้าเฉียวเฟิงอีกครั้ง

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท