เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 203 ฉันอยากฆ่าเขา!

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

หนานกงเฉินมองไปยังรายงานการวินิจฉัยบนโต๊ะ มือที่ยื่นออกมาจู่ๆ ก็ชะงักกลางอากาศ จากนั้นก็ถอยหลังออกมาหนึ่งก้าว เงยหน้าขึ้นมองเธอ “เธอบอกฉันดีกว่า”

“คุณชายเฉินหวังว่าพวกเธอสองคนเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกัน?”

“ฉัน……” หนานกงเฉินยากที่จะยิ้มออกมา “ฉันหวังว่ามู่ชิงยังมีชีวิตอยู่ แต่ฉันไม่อยากให้มู่ชิงกลายเป็นภรรยาของคนอื่น เห็นได้ชัดว่ามันเป็นไปไม่ได้ใช่ไหม?”

เขายื่นฝ่ามือไปยังผลการวินิจฉัยอีกครั้ง แล้วเปิดเอกสาร

“คุณชายเฉิน มาถึงจุดนี้แล้ว คุณไม่มีทางเลือกแล้ว” เลขาเหยียนมองสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไปของเขาแล้วพูดขึ้น

จ้องมองไปที่ผลลัพธ์รายงานการวินิจฉัย หนานกงเฉินแค่รู้สึกว่าในใจเหมือนมีกองกำลังเป็นหมื่นเป็นพันเอ่อล้นเข้ามาในพริบตาเดียว เกิดความโกรธดุเดือดในใจของเขา โกรธจนรู้สึกหายใจลำบาก

ร่างกายเขาเริ่มสั่นสะท้านทีละนิด แม้แต่สองมือเขาก็กำลังสั่นนิดๆ ไร้เรี่ยวแรงตาม รายงานการวินิจฉัยฉบับนั้นที่อยู่ระหว่างนิ้วเขาเหมือนกับใบไม้ไหวตามสายลม มันอาจจะปลิวหล่นได้ทุกเมื่อ

“คุณชายเฉิน คุณยังโอเคไหมคะ?” เลขาเหยียนถามอย่างเป็นห่วง

คุณหมอจางรออยู่ชั้นล่าง เธอจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เธอลังเลว่าต้องให้คุณหมอจางรีบขึ้นมาในเวลานี้หรือเปล่า

รายงานการวินิจฉัยพิสูจน์ตัวตนคุณหนูอีฉบับนั้นสุดท้ายก็ร่วงหล่นลงพื้นจากปลายนิ้วหนานกงเฉิน หนานกงเฉินเหมือนรวมพลังทั้งหมดในร่างกายแล้วตะคอกออกมา “เฉียวซือเหิง! ฉันต้องฆ่าแกด้วยมือฉันเอง!”

ในเวลาต่อมา เขารีบวิ่งจากหลังโต๊ะทำงานไปยังประตู บิดลูกบิดประตูจะวิ่งออกไป

“คุณชายเฉิน–!” เลขาเหยียนรีบวิ่งไปปิดประตู หันตัวกลับมาดึงแขนเขาแล้วพูดขึ้นอย่างหมดหนทาง “ที่ฉันไม่อยากบอกผลลัพธ์ให้คุณเพราะกลัวคุณสะเทือนใจเหมือนในตอนนี้ ฉันรู้ว่าคุณอยากฆ่าเฉียวซือเหิงมาก แต่คุณฆ่าเขาไปมันจะมีประโยชน์อะไร? เอานายหญิงน้อยกลับมาได้ไหม?”

ร่างกายหนานกงเฉินพิงบานประตู หายใจหอบเฮือกใหญ่

ตอนนี้เขาจะสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร? จะสงบสติอารมณ์ได้อย่างไร?

“คุณชายเฉิน คุณอยากให้นายหญิงน้อยปลอดภัยไม่เป็นอะไรไหม อยากให้เธอไม่โดนคนอื่นทำร้ายอีกต่อไปไหม? แล้วกลับมาอยู่เคียงข้างคุณอย่างมีความสุข? ถ้าอยากละก็สงบสติลงดีไหม?”

คำพูดเลขาเหยียนในที่สุดก็ทำให้หนานกงเฉินสงบสติอารมณ์เล็กน้อย เขาหันร่างกายไป ไหลตามบานประตูลงมานั่งบนพื้น

เลขาเหยียนให้คำแนะนำต่อไป “ด้านนอกมีคนเยอะมาก คุณรู้เหรอว่าคนไหนเป็นหูเป็นตาให้คุณผู้หญิงหรือนายหญิงน้อย? คุณโวยวายเสียงดังออกไปแบบนี้แล้วพวกเธอเห็นเขา โดนพวกเธอคุณผู้หญิงรู้ว่านายหญิงน้อยคนก่อนยังไม่ตาย พวกเธอจะคิดยังไง จะทำยังไง? คุณเคยคิดเรื่องนี้เพื่อนายหญิงน้อยไหม?”

“ไม่งั้นฉันทำยังไงได้บ้าง? ปล่อยให้มู่ชิงอยู่กับผู้ชายคนอื่นเหรอ? การกระทำเหมือนโจรของพี่น้องตระกูลเฉียว พวกมันฉวยโอกาสตอนที่มู่ชิงความจำเสื่อมแล้วแย่งเธอไปจากฉัน! พวกมัน……!”

“พวกมันทำแบบนี้น่ารังเกียจจริงๆ แต่ปัญหาคือตอนนี้นายหญิงน้อยความจำเสื่อม เธอจำคุณไม่ได้ เธอรักคุณชายรองตระกูลเฉียว ตอนนี้เธอมีความสุขมาก ถ้าคุณพาเธอกลับมาอย่างรีบร้อน เธอต้องไม่มีความสุขแน่ๆ ต้องต่อต้านแทบตายแน่ๆ”

เลขาเหยียนชะงัก แล้วพูดต่ออย่างขมขื่น “คุณชายเฉิน วันนี้มันไม่เหมือนกัน ตอนแรกนายหญิงน้อยยินยอมที่จะถูกคุณคุมขัง โดนฝืนให้อยู่กับคุณ เพราะเธอรักคุณในใจเธอมีคุณ แต่ตอนนี้ในใจเธอมีแต่คุณชายรองตระกูลเฉียว ถ้าคุณบังคับแย่งเธอกลับมามันจะทำให้สิ่งต่างๆ หยุดชะงัก ไม่มีประโยชน์ใดๆ”

หนานกงเฉินกะพริบตาที่เห่อแดงสองข้าง พ่นออกมาอย่างเจ็บปวด “แล้วฉันควรทำยังไง?”

มู่ชิงลืมเขาไปแล้ว นี่มันช่างเป็นความจริงที่โหดร้าย

“ค่อยๆ เถอะค่ะ เราต้องระงับอารมณ์และคำพูดก่อน” เลขาเหยียนพูด “ตอนนี้ปมหลักอยู่ที่นายหญิงน้อย ถ้าเธอจำคุณไม่ได้ คุณทำอะไรก็ไม่มีประโยชน์ นอกจากนี้คุณกับเธอก็แต่งงานกันทั้งคู่แล้ว ต่างคนต่างมีครอบครัว ถึงคุณจะพาเธอกลับมาได้คุณจะทำอะไรได้อีก? คุณไม่สามารถให้อะไรเธอได้ อาจจะนำหายนะมาสู่เธออีกครั้งก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”

ทุกประโยคของเลขาเหยียนมีเหตุผลมาก แต่หนานกงเฉินไม่สามารถกลั้นความสะเทือนใจไว้ในใจได้ เขาอยากเจอเธอโดยทันที กอดเธอเอาไว้ในอ้อมกอด อยู่เคียงข้างเธอ และไม่อยากให้เธออยู่ในอ้อมกอดผู้ชายคนอื่น เรียกผู้ชายคนอื่นว่าสามี ช่วยคนอื่นเลี้ยงลูก

“คุณชายเฉิน คุณอย่าไปคิดเรื่องไม่ดีพวกนั้นเลย คุณคิดว่านายหญิงน้อยเธอยังมีชีวิตอยู่ เธอไม่ได้โดนเผาจนจำไม่ได้เหมือนที่คุณเห็นตอนแรก ไม่ได้ตายไป คิดเรื่องมีความสุขพวกนี้ดีกว่า” เลขาเหยียนยิ้ม “เรื่องที่ดีแบบนี้ตอนนี้คุณควรมีความสุขไม่ใช่เหรอ? ทำไมยังต้องกังวลว่าเธออยู่กับใครอีก?”

หนานกงเฉินมองเธอ สุดท้ายก็สบายใจขึ้นนิดหน่อย

ใช่แล้ว รู้ว่าเธอมีชีวิตอยู่ รู้ว่าเธอใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเขาก็ควรดีใจไม่ใช่เหรอ? ทำไมต้องสืบหามากมายขนาดนั้น?

แต่……รู้ว่าเมื่อเธอตายไปเขาลืมเธอไม่ได้ ตอนนี้รู้ว่าเธอมีชีวิตอยู่ เขายิ่งลืมเธอไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องพาเธอกลับมาให้ได้!

“คุณชายเฉิน เราลุกขึ้นก่อนเถอะค่ะ” เลขาเหยียนยื่นมือไปพยุงแขนเขา พยุงเขาขึ้นมาจากพื้น

หนานกงเฉินในตอนนี้เหมือนตุ๊กตาที่ถูกดึงวิญญาณออกมา เธอยกตัวเองขึ้นมาจากพื้นแล้วเดินไปที่โซฟา

ในขณะนี้ จู่ๆ ประตูทางเข้าก็มีเสียงเคาะ จากนั้นจูจูก็ผลักประตูเดินเข้ามา ปากก็เรียก “เฉิน คุณอยู่ไหม?”

เลขาเหยียนที่อยู่ในห้องตกใจสะดุ้ง เธอเงยหน้าชำเลืองมองหนานกงเฉินผู้สิ้นหวัง แล้วมองรายงานการวินิจฉัยที่พื้นก็ตื่นตกใจ จากนั้นก็จงใจแสร้งทำเป็นตกใจเอาสองมือชักกลับจากร่างกายหนานกงเฉิน

จูจูจ้องมองสีหน้าแดงก่ำเธอด้วยความโกรธ มุมปากมียิ้มเยาะเย้ย “กลางวันแสกๆ เลขาเหยียนไม่ออกไปทำงานอยู่กับคุณชายเฉินทำอะไร?”

“ขอโทษค่ะ ตอนนี้ฉันจะออกไปทำงานแล้ว” เลขาเหยียนเบนสายตาขึ้นมองหนานกงเฉิน จากนั้นก็หันกลับมาหยิบรายงานการวินิจฉัยข้างโต๊ะทำงาน แล้วรีบเดินไปที่ประตูห้องทำงาน

“เดี๋ยวก่อน” ทันใดนั้นจูจูก็เรียกตามหลังเลขาเหยียน

เลขาเหยียนฝีเท้าชะงัก หันตัวกลับมาถามอย่างสุภาพ “นายหญิงน้อยมีอะไรเหรอคะ?”

“ที่มือเธอถือคืออะไร?” จูจูกวาดตามองไปที่เอกสารในมือเธอ

แม้ว่าเอกสารจะถูกเลขาเหยียนม้วนขึ้นมา แต่เมื่อครู่นี้เธอเหลือบไปเห็นคำว่า ‘รายงานการวินิจฉัย’ เธอก้าวเท้าไปข้างหน้า ยื่นมือจะหยิบเอกสารจากมือเลขาเหยียน

เลขาเหยียนดึงเอกสารถอยกลับมา จ้องมองเธออย่างสุภาพแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “นายหญิงน้อย นี่เป็นเอกสารลับของบริษัท คุณดูไม่ได้ค่ะ”

“เอกสารลับ?” จูจูชี้ตัวเองด้วยความโกรธ “เอกสารลับของบริษัทเธอดูได้แต่ฉันดูไม่ได้เหรอ?”

จูจูพูดจบก็จะยื่นมือไปแย่ง เลขาเหยียนก็หลบไว้ข้างๆ พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “นายหญิงน้อย ถ้าคุณต้องการดูจริงๆ รบกวนขอคำแนะนำจากคุณชายเฉินก่อน ไม่งั้นโปรดยกโทษให้ฉันที่ให้เอกสารให้คุณไม่ได้”

ขอคำแนะนำจากคุณชายเฉินก่อน? จูจูกวาดตามองหนานกงเฉินที่นั่งโซฟาหลับตาไม่พูดอะไร ขอคำแนะนำจากเขา นั่นเป็นการหาความโกรธแท้ๆ เลย!

จูจูหายใจเข้าลึกๆ กลั้นความโกรธในใจ จ้องมองเลขาเหยียนแล้วพูดขึ้น “ดูเธอจะรับใช้คุณชายเฉินเป็นอย่างดีเลยนะ แม้แต่ฉันก็ไม่ได้เท่าเธอ”

“นายหญิงน้อยชมเกินไปแล้ว นี่เป็นงานของฉันค่ะ” เลขาเหยียนยิ้มอย่างสุภาพ

ถ้าให้เธอยอมรับต่อไป ตราบใดที่สามารถเบี่ยงเบนความสนใจของเธอได้ ในใจเลขาเหยียนแอบคิด จากนั้นจึงนำรายงานการวินิจฉัยหันตัวแล้วเดินออกไป

หนานกงเฉินอยู่ที่นั่น จูจูก็ไม่กล้าแสดงออกก้าวร้าวเกินไป แค่จ้องมองเลขาเหยียนเดินออกไปโดยที่ทำอะไรไม่ได้

ภายในห้องทำงานเหลือเพียงหนานกงเฉินและจูจูสองคน รอบๆ เงียบสงบ และหนานกงเฉินยังคงนั่งโซฟาหลับตาอยู่ จูจูใบหน้าผ่อนคลายลง เดินไปนั่งข้างๆ เขาแล้วพูดขึ้น “คุณชายเฉิน วันนี้คุณย่าบอกว่าอยากมาเดินเล่นที่บริษัท ฉันมากับเธอ ถือโอกาสแวะมาเยี่ยมคุณ”

“เธอไม่ได้มาเยี่ยมฉัน แต่มาดูว่ามีผู้หญิงอยู่ที่นี่ไหมใช่ไหมล่ะ?” หนานกงเฉินลืมตาอย่างแผ่วเบา จ้องมองเธอ “เธอไม่เหนื่อยเหรอ?”

“ฉันแค่มาที่นี่โดยบังเอิญครั้งเดียว แต่ทุกครั้งเห็นคุณอยู่กับผู้หญิงที่ไม่เหมือนเดิม ไม่คิดว่าวันนี้คุณจะสนิทกับเลขาเหยียน คุณว่าฉันเหนื่อยไหมล่ะ?” จูจูพูดขึ้นอย่างตำหนิ

หนานกงเฉินจ้องมองเธอ จู่ๆ ก็ยิ้มขึ้นมา

“คุณยิ้มอะไร?” จูจูไม่พอใจ

“ไม่รู้ พอใจ ก็เลยอยากยิ้ม” หนานกงเฉินยิ่งยิ้มกว้างมากขึ้น คิดว่ามู่ชิงของเขายังมีชีวิตอยู่เขาก็อารมณ์ดีมาก แต่เขาบอกจูจูไม่ได้ เขาไม่สามารถให้โอกาสเธอทำร้ายมู่ชิงได้

“ได้อยู่กับเลขาเหยียนทำให้คุณมีความสุขขนาดนี้เลยเหรอ?” เขายิ่งมีความสุข จูจูก็ยิ่งรู้สึกแย่ในใจ

หนานกงเฉินพยักหน้า “ถูกต้อง เลขาเหยียนอยู่กับฉันมาหลายปี ไม่มีใครเข้าใจฉันดีกว่าเธอ ช่วยฉันได้มากกว่าเธอ……”

“เฉิน คุณเป็นอะไร แต่แดงขนาดนี้” ทันใดนั้นจูจูก็พบว่าขอบตาหนานกงเฉินแดงก่ำ เหมือนร้องไห้มาก่อน

หนานกงเฉินยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง “ไม่มีอะไร เธอยังมีธุระอีกไหม?” สายตาที่เขาจ้องมองเธอค่อยๆ กลายเป็นเฉียบคม ในใจคิดว่าในปีนั้นที่มู่ชิงถูกสับเปลี่ยนตัวอย่าให้มันเกี่ยวข้องกับเธอจะดีที่สุด ไม่อย่างนั้นเขาจะไม่ปล่อยเธอไปอย่างเด็ดขาด

รู้สึกถึงสายตาเย็นชาของเขา จูจูก็ไม่อยากจะอยู่ต่อ ทำได้แค่พูดขึ้น “ไม่มีอะไร คุณย่ายังอยู่ในห้องรับรอง ฉันไปหาเธอก่อนนะ”

เธอพาคุณผู้หญิงเดินรอบๆ บริษัทหนึ่งรอบ เพื่อตรวจสอบอย่างฉับพลันจริงๆ ทันใดนั้นเธอก็รู้สึกว่านี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย แม้ว่าทุกครั้งเธอจับได้ว่าเขาอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เธอก็ทำอะไรเขาไม่ได้ สู้ไม่รู้ดีกว่า

เธอเคยได้ยินคนพูดตั้งนานแล้วว่าหนานกงเฉินเป็นชู้กับเลขาเหยียน เมื่อก่อนก็ไม่แน่ใจมาตลอด ไม่คิดว่าวันนี้จะเจอพวกเขาอยู่ด้วยกันจริงๆ และหนานกงเฉินก็ไม่ได้อธิบายแม้แต่ประโยคเดียว ถึงขั้นยกย่องเลขาเหยียนเป็นนางฟ้า

เมื่อจูจูไปแล้ว หนานกงเฉินก็นั่งข้างหน้าต่างบานใหญ่และตกอยู่ในห้วงความคิด

เขาไม่สะเทือนใจอีกแล้ว และไม่หุนหันพลันแล่นอีกต่อไป……

หลังจากครุ่นคิดอย่างสงบหนึ่งวันหนึ่งคืน หนานกงเฉินก็โทรไปหาไป๋มู่ชิง

ตอนนี้ไป๋มู่ชิงกำลังเก็บกระเป๋าเดินทาง วางแผนว่าพรุ่งนี้จะไปต่างประเทศแต่เช้า เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เห็นเบอร์หนานกงเฉินก็ปิดเสียงโทรศัพท์ ก้มหน้าเก็บกระเป๋าเดินทางต่อไป

เธอไม่ต้องรับสายก็คิดได้ว่าหนานกงเฉินหาตามหาเธอทำไม เขาตามหาเธอนอกจากพูดเรื่องอดีตภรรยาของเขาแล้วจะทำอะไรได้อีก? ดังนั้น เธอยอมไม่รับสายดีกว่า

โทรศัพท์ดังซ้ำแล้วซ้ำเล่าสุดท้ายก็ไม่มีคนรับสาย หนานกงเฉินจึงโทรกลับไปอีกครั้ง

ไป๋มู่ชิงมองไปที่เบอร์ที่กะพริบบนหน้าจอ มันชัดเจนว่าถ้าเธอไม่รับสายเขาก็จะไม่ยอมแพ้

หลังจากลังเลสักพักหนึ่ง เธอทำได้แค่กดปุ่มรับสาย “คุณชายเฉิน ฉันกำลังเก็บกระเป๋าเดินทางยุ่งอยู่นิดหน่อย คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”

น้ำเสียงที่พูดค่อนข้างเย็นชา

“เธอจะไปต่างประเทศจริงๆ เหรอ?” หนานกงเฉินกังวลใจ

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “ใช่ เครื่องบินรอบพรุ่ง……วันมะรืน”

เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา เธอจงใจบอกเครื่องบินรอบวันพรุ่งนี้เป็นวันมะรืนแทน

“ต้องไปเหรอ?”

“มันเป็นกำหนดการเดินทางตั้งนานแล้ว เปลี่ยนไม่ได้” ไป๋มู่ชิงยังคงพูดเรียบๆ “คุณชายเฉินมีอะไรหรือเปล่า?”

หนานกงเฉินคร่ำครวญอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามออกมาหนึ่งประโยค “ไม่ไปไม่ได้เหรอ?”

“คุณชายเฉิน……” ไป๋มู่ชิงหมดหนทาง “คุณอย่าเป็นแบบนี้ได้ไหม? ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ใช่อดีตภรรยาของคุณ ฉันมีสามีและลูกแล้ว หวังว่าคุณจะไม่มารบกวนชีวิตฉันอีก ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันวางก่อนนะ”

“เดี๋ยวก่อน”

“คุณชายเฉินยังมีเรื่องอะไรอีกคะ?”

หนานกงเฉินหมุนแหวนที่ถูกถอดออกมาจากปลายนิ้วเธอในมือเขาเบาๆ พูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยน “คุณหนูอี ฉันเจอแหวนเธอแล้วนะ”

“จริงเหรอ?” น้ำเสียงเดิมทีเรียบเฉยของไป๋มู่ชิงกลายเป็นดีใจมาก

“อืม คนทำความสะอาดเก็บมาได้ เพิ่งคืนกลับมาเมื่อไม่นานมานี้” หนานกงเฉินในใจรู้สึกเบื่อนิดหน่อย ไม่คิดว่าเธอให้ความสำคัญกับแหวนนี้มากขนาดนี้

“ดีจัง ขอบคุณนะคะ จริงสิ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ สามีฉันอยู่ข้างนอกพอดี ฉันว่าจะให้เขาไปเอามาเลย”

“คุณหนูอี ฉันคืนแหวนให้เธอได้ แต่มีเงื่อนไข”

“คุณ……” ไป๋มู่ชิงหดหู่ สุดท้ายก็ทำได้แค่พูดอย่างหมดหนทาง “คุณว่ามา เงื่อนไขอะไร”

“ในเมื่อเดี๋ยวเธอจะไปต่างประเทศแล้ว ก่อนไปต่างประเทศอยู่เป็นเพื่อนฉันเป็นครั้งสุดท้ายได้ไหม?” กลัวเธอจะคิดมาก หนานกงเฉินจึงพูดต่อ “เธออย่าเข้าใจผิด ฉันแค่อยากพาเธอไปดูอะไรนิดหน่อย ไม่ทำอะไรเธอหรอก”

“คุณจะพาฉันไปดูอะไร?”

“เดี๋ยวเธอก็รู้”

ไป๋มู่ชิงยังคงลังเล และถามอย่างสงสัย “คุณหาแหวนเจอหรือเปล่า คงไม่ได้หลอกฉันใช่ไหม?”

“ฉันเคยหลอกเธอด้วยเหรอ?” หนานกงเฉินทำอะไรไม่ถูกนิดหน่อย

“ไม่เคยได้ยังไง? ครั้งสุดท้ายที่ริมแม่น้ำไม่ได้โดนคุณหลอกไปเหรอ?”

หนานกงเฉินพูดไม่ออก จากนั้นก็กล่าวขอโทษ “เอาล่ะ ครั้งนั้นฉันไม่ผิดเอง แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้ดื่มเหล้า และไม่ได้หมดสติสักนิด ขอรับรองกับเธอว่าเรื่องแบบคราวก่อนจะไม่เกิดขึ้นอีก” หนานกงเฉินเสียงแผ่วลง ในขณะเดียวกันโทรศัพท์ไป๋มู่ชิงก็มีเสียง ‘ติ๊ง’ มีเสียงข้อความดังเข้ามา

“แหวนส่งไปในโทรศัพท์คุณแล้ว” หนานกงเฉินพูด

ไป๋มู่ชิงคลิกที่ผู้รับบนโทรศัพท์ แน่นอนว่ามันเป็นแหวนวงนั้นที่เธอทำหายจริงๆ แม้แต่ความโค้งบนพื้นผิวก็เหมือนกันทุกประการ

ดูเหมือนหนานกงเฉินจะไม่ได้หลอกเธอ ช่วยเธอหาแหวนเจอจริงๆ

เพื่อเอาแหวนคืนมา เธอต้องยอมรับคำขอของเขา แต่ไม่ลืมที่จะเตือนก่อน “หนานกงเฉิน คุณให้ฉันอยู่เป็นเพื่อนได้ แต่คุณต้องสัญญากับฉันว่าจะไม่แตะต้องตัวฉัน ไม่ทำให้ฉันลำบากใจ และเวลาห้ามนานเกินไป”

หนานกงเฉินคิดแล้วพยักหน้า “โอเค ฉันจะพยายามอย่างเต็มที่”

“ไม่ใช่พยายาม แต่ต้องทำ!”

หนานกงเฉินยิ้มอย่างมีความสุข นี่คือมู่ชิงในความทรงจำของเขา ไม่โลภมากจนขาดสติ ปฏิบัติต่อความรู้สึกอย่างภักดี ไม่ว่าผู้ชายตรงหน้าจะมีเสน่ห์น่าดึงดูดมากแค่ไหนก็ไม่หลงง่ายๆ ตอนนี้เขาถึงขนาดรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนชั่วร้ายจริงๆ ถึงได้ตั้งคำถามความจริงใจที่เธอมีต่อตนครั้งแล้วครั้งเล่า

“ฉันสัญญากับเธอ” หนานกงเฉินพูด “ตอนนี้ออกมาได้ไหม?”

ไป๋มู่ชิงตกตะลึง เธอวิ่งไปที่ขอบหน้าต่างแล้วมองออกไป เห็นรถหนานกงเฉินจอดอยู่หัวมุมถนน และรถที่ขับคือคันสีขาวเงินไม่โดดเด่น

เห็นเธอชะโงกศีรษะออกไป หนานกงเฉินถึงขนาดโบกมือให้เธอด้วยซ้ำ

ไป๋มู่ชิงถอยกลับไปโดยไม่พูดอะไร ความรู้สึกนี้ทำไมเหมือนแอบคบชู้เลย?

เธอรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินไปที่รถหนานกงเฉินพร้อมส่งข้อความไปบอกเฉียวเฟิงว่าตัวเองออกไปทำธุระนิดหน่อยข้างนอก

เพราะพรุ่งนี้ต้องไปต่างประเทศ เฉียวเฟิงจึงพาหว่านชิงกลับคฤหาสน์ใหญ่ตระกูลเฉียวไปอำลาคุณนายเฉียวแต่เช้าตรู่ ไป๋มู่ชิงรู้ว่าคุณนายเฉียวไม่ชอบตน จึงอยู่บ้านเก็บข้าวของ

เธอเปิดประตูเข้าไปในรถ พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา “แหวนฉันล่ะ?”

“ยังไม่เชื่อฉันอีกเหรอ?” หนานกงเฉินมองเธอ พูดขึ้นด้วยความรู้สึกแย่ในใจ “แหวนวงนี้สำคัญกับเธอมากเลยเหรอ?”

“ก่อนหน้านี้ฉันบอกไปแล้ว มันคือแหวนแต่งงานของฉันกับเฉียวเฟิง มันจึงสำคัญมาก”

“แต่งงาน……” หนานกงเฉินยิ้มขมขื่น สายตามองสังเกตเธอครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งๆ ที่เธอเหมือนมู่ชิงของเขามากขนาดนั้น ก่อนหน้านี้เขายังสงสัยเลย น่าตลกจริงๆ!

สายตาเขามองที่มือขวาเธอ เธอสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาว ข้อมือเรียบเนียนของเธอปรากฏขึ้น ดูเหมือนเฉียวเฟิงจะใช้ความคิดไม่น้อย แม้แต่รอยฟันบนข้อมือเธอก็จัดการจนหมดสิ้น และแผลบนนิ้วเธอตอนนี้ก็หายดีแล้ว ดูเรียวขาวเหมือนมู่ชิงทั้งหมดจริงๆ

ในตอนนี้ขณะนี้ ไม่ว่าจะมองส่วนไหนของเธอก็คุ้นเคยไปหมด อารมณ์เขาก็เพิ่มขึ้นทีละนิด เริ่มตื่นเต้น

เขาไม่เคยคิดว่าชีวิตนี้ตัวเองจะได้เจอเธอ และเผชิญหน้ากับเธออย่างใกล้ชิดแบบนี้

เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปจับมือขวาเธอ ไป๋มู่ชิงกลับชักฝ่ามือตัวเองกลับทันควัน จ้องมองเขาด้วยใบหน้าระแวงแล้วพูดขึ้น “คุณจะทำอะไร? คุณสัญญากับฉันแล้วว่าจะไม่ทำอะไรฉัน”

หนานกงเฉินยิ้มอย่างหมดหนทาง “อย่าเครียดขนาดนั้น ถึงฉันจะทำอะไรเธอก็ไม่รีบเร่งหรอก”

เขายื่นมือออกไปใหม่ ดึงฝ่ามือเธอออกจากหลังมือเธอ นิ้วอุ่นบีบฝ่ามือเธอ

แม้ว่าอากาศจะร้อน แต่ฝ่ามือเธอเย็นเฉียบเล็กน้อย มันเหมือนกับสองปีก่อน เมื่อก่อนเขารู้ว่าเธอเป็นผู้หญิงที่มีร่างกายเย็น มือเท้าเย็นในฤดูร้อน ตอนฤดูหนาวจะยิ่งเย็นจนน่าสงสาร

เขาสูดหายใจเข้า มืออีกข้างหนึ่งก็หยิบแหวนวงนั้นออกมาจากในตู้เก็บของในรถ สวมนิ้วนางให้เธออย่างระมัดระวัง

นิ้วนางของเธอยังคงเรียวยาวเช่นเคย เมื่อสวมแหวนเข้าไปก็พอดีเลย ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงฉากตอนแรกที่เขาสวมแหวนบรรพบุรุษของตระกูลหนานกงบนนิ้วเธอ แหวนหยกฝังทองคำอยู่บนมือเธอพอดี แต่แหวนตรงหน้านี้สามารถถอดออกได้อย่างง่ายได้ และแหวนวงนั้นจะถอดอย่างไรก็ถอดไม่ออก

นี่มันน่าจะเป็นพรหมลิขิตใช่ไหม? เขาคิดว่านะ

ไป๋มู่ชิงหลังจากพบว่าที่แท้เขาก็สวมแหวนให้กับตัวเอง ก็แอบโล่งใจเงียบๆ เธอเงยหน้าชำเลืองมองเขาอย่างรวดเร็ว พบว่าสายตาเขากำลังมีสมาธิมาก สีหน้าอ่อนโยนขนาดนั้น เหมือนแหวนวงนี้เขาซื้อให้เธออย่างไรอย่างนั้น

“ขอบคุณค่ะ” เธอขยับฝ่ามือ เขาไม่มีท่าทีว่าจะปล่อย

“ตอนนั้นต้องเจ็บมากเลยใช่ไหม?” เขาถาม

ไป๋มู่ชิงประหลาดใจเล็กน้อย พบว่าเขากำลังจ้องไปที่รอยแผลเป็นบนหลังมือตัวเอง จึงใช้มืออีกข้างดึงข้อมือเสื้อแล้วพูดอย่างอึดอัด “ก็ยังโอเคนะคะ มันผ่านไปแล้ว ฉันจำไม่ค่อยได้เหมือนกัน”

“ความทรงจำที่ลึกซึ้งขนาดนั้นจะจำไม่ค่อยได้ได้ยังไง?” หนานกงเฉินหลุดหัวเราะขณะที่ปล่อยเธอ

ไป๋มู่ชิงชักฝ่ามือกลับมา พูดเร่งเร้า “คุณชายเฉินเรารีบไปกันเถอะ ถ้ามีคนเห็นมันจะไม่ดี”

หนานกงเฉินพยักหน้า สตาร์ทรถ

หลังจากรถขับไปได้สักพักหนึ่ง ไป๋มู่ชิงมองสังเกตถนนนอกหน้าต่างที่ยิ่งห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ จึงหันหน้าไปจ้องมองเขาแล้วเอ่ยถาม “คุณชายเฉิน คุณจะพาฉันไปไหน? ที่นี่ที่ไหนอ่ะ?”

“มันคือทางไปคฤหาสน์หลังเก่าตระกูลหนานกง” หนานกงเฉินพูด

“คฤหาสน์หลังเก่าตระกูลหนานกง?” ไป๋มุ่ชิงยิ่งไม่เข้าใจ “แต่คุณจะพาฉันไปที่นั่นทำไม? ฉัน……”

“ไม่ต้องเป็นห่วง ไม่ได้พาคุณไปเป็นแขกตระกูลหนานกงหรอก แค่พาคุณไปเดินเล่นรอบๆ”

ไม่ได้ไปตระกูลหนานกงเหรอ? ก็ยังดี! แต่……

“ทำไมต้องอยากพาฉันไปเดินรอบๆ ตระกูลหนานกงล่ะ?” ไป๋มู่ชิงถามต่อไป

ทันใดนั้นหนานกงเฉินก็จอดรถข้างถนน ไป๋มู่ชิงตกตะลึง หันหน้าไปมอง รถจอดอยู่บนอ่าวแห่งหนึ่ง

เธอหันหน้าไปมองหนานกงเฉิน เมื่อกำลังจะถามว่าทำไมเขาพาเธอมาที่นี่ ก็พบว่าใบหน้าหล่อของเขาที่เดิมทีสงบนิ่งค่อยๆ กลายเป็นเสียใจ กลืนคำพูดที่จะพูดออกไป เธอแค่มองเขาเงียบๆ

เธอนึกว่าเขาพาตัวเองมาที่นี่เพื่อดูทะเล ไม่คิดว่าเขากลับพูดว่า “อดีตภรรยาฉันเคยประสบอุบัติเหตุรถยนต์ที่นี่ รถชนภูเขากระเด็นตกหน้าผาและระเบิด สุดท้ายก็ตกสู่ก้นทะเล”

ฟังดูน่ากลัวมาก…… ไป๋มู่ชิงอดไม่ได้ที่จะหดตัวลง สีหน้ามีความเห็นอกเห็นใจ

“ถนนเส้นนี้เป็นถนนที่เราสองคนไปทำงานกันทุกวัน ทุกวันต้องไปสองรอบ เธอกลับโดนรถชนที่นี่” หนานกงเฉินเบนสายตากลับมาจากเส้นโค้งตรงหน้ามามองเธอ “เธอไม่รู้สึกว่าที่นี่คุ้นเคยสักนิดจริงๆ เหรอ?”

ไป๋มู่ชิงมองอ่าวตรงหน้าอย่างตกตะลึง แล้วมองหนานกงเฉินที่ทำหน้าเสียใจอีกครั้ง สุดท้ายก็แค่ส่ายหน้า

เธอไม่รู้สึกคุ้นเคย ไม่รู้สึกคุ้นเคยเลยสักนิด

หนานกงเฉินหยิบคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตออกมาจากตู้ เปิดหน้าจอ นิ้วคลิกซอฟต์แวร์วิดีโอในหน้าแรก จากนั้นก็ยื่นแท็บเล็ตให้เธอ ไป๋มู่ชิงรับมันมาอย่างสงสัย

สิ่งที่กำลังเล่นอยู่ในวิดีโอคือวิดีโอที่ไป๋มู่ชิงรถขน ไป๋มู่ชิงมองรถสีขาวที่ขับเร็วขึ้นเรื่อยๆ ในวิดีโออย่างตะลึงงัน จากนั้นก็ชนภูเขาแล้วกระเด็นตกหน้าผา ฉากนั้นแย่มากจนเธอกรีดร้องออกมา โยนแท็บเล็ตในมือเธอทิ้งในพริบตาเดียว

ฉากนั้นน่ากลัวเกินไป น่าหวาดเสียวเกินไป เธอตกใจจนสีหน้าซีดเซียว ศีรษะเหมือนถูกทุบด้วยท่อนไม้ เจ็บปวดใจมาก

เธอกุมศีรษะตัวเองแล้วกรีดร้อง ร่างกายสั่นเทาเหมือนร่อนน้ำตาล

“มู่ชิง……” หนานกงเฉินรีบดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอดตัวเอง ขณะที่ลูบไหล่เธอก็พูดอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำให้เธอเจ็บ ฉันแค่อยากให้เธอรีบๆ ดีขึ้น รีบๆ จำทุกอย่างได้……ขอโทษ……”

“ไม่……!” ไป๋มู่ชิงผลักเขาออกทันที กรีดร้องออกมา “ฉันไม่ใช่มู่ชิงอะไรนั่น ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ใช่……!”

เธอตะโกนขณะที่ผลักประตูรถก้าวลงไป

“มู่ชิง……!” หนานกงเฉินรีบผลักประตูรถตามลงไป รีบไล่ตามเธอ ดึงเธอกลับมาในอ้อมกอดอีกครั้งแล้วพูดปลอบ “มู่ชิงเธอสงบสติอารมณ์ก่อน ฟังฉัน……”

“ฉันไม่ฟัง! ฉันบอกว่าฉันไม่ใช่มู่ชิงของคุณ ฉันไม่ใช่!” ไป๋มู่ชิงใช้สองมือปิดหูตัวเอง ความเจ็บปวดที่ส่วนศีรษะยิ่งหนักขึ้นเรื่อยๆ ฉากที่ฉายซ้ำๆ ในสมองคือฉากที่รถตกหน้าผาในวิดีโอเมื่อครู่นี้

หนานกงเฉินไม่มีทางเลือก ทำได้แค่เปลี่ยนคำพูด “โอเค ฉันรู้ว่าเธอไม่ใช่มู่ชิง คุณหนูอี เราสงบสติอารมณ์กันก่อนดีไหม? สงบสติอารมณ์หน่อยนะ……”

เขายังคงกอดเธอ เห็นสีหน้าซีดเซียวของเธอแล้วสงสารมาก

ก่อนพาเธอมาที่นี่ เขาลังเลครั้งแล้วครั้งเล่า กลัวว่าเธอจะได้รับการกระตุ้นเหมือนในตอนนี้ แต่เขาไม่มีทางเลือก เขากลัวว่าถ้าตัวเองไม่รีบให้เธอหาความทรงจำคืนมา เธอจะไปต่างประเทศกับเฉียวเฟิงจริงๆ

ไป๋มู่ชิงในตอนนี้รู้สึกแย่จนไร้เรี่ยวแรงที่จะยืน เธอพิงอ้อมกอดหนานกงเฉิน รู้สึกว่าทั้งร่างจะถูกฉีกออกเพราะความเจ็บปวดที่ส่วนศีรษะ

“คุณหนูอี เธอยังโอเคไหม?” หนานกงเฉินมองสังเกตเธออย่างตึงเครียดแล้วถามขึ้น

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าอย่างยากลำบาก “ฉันยังโอเค……”

“ไป ฉันจะช่วยพยุงคุณไปพักบนรถสักหน่อย” หนานกงเฉินโอบเธอกลับไปที่รถ แล้วเอาน้ำแร่ให้เธอหนึ่งขวด หลังจากดื่มน้ำแร่ในที่สุดก็ดีขึ้นเล็กน้อย

เธอพยายามดิ้นนั่งตัวตรงจากอ้อมกอดเขา จ้องมองเขาด้วยความโกรธแล้วพูดขึ้น “หนานกงเฉิน ตอนนี้คุณพอใจหรือยัง?”

หนานกงเฉินมองความขุ่นเคืองบนใบหน้าเธอ พูดขึ้นด้วยใบหน้ารู้สึกผิด “ขอโทษ ฉัน……”

“ฉันบอกไปแล้วว่าฉันไม่ใช่มู่ชิงอะไรนั่น” ไป๋มู่ชิงขัดเขา แต่ไม่กล้าแม้แต่มองออกไปนอกหน้าต่าง “ตอนนี้ฉันจะบอกคุณ ไม่ว่าจะเป็นสถานที่นี้หรือช่วงเวลาที่รถชนฉันก็ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับมันเลยสักนิด”

“ถ้าเธอไม่มีความทรงจำ แล้วทำไมจู่ๆ มีการตอบสนองมากขนาดนั้นล่ะ?” หนานกงเฉินยิ้มขมขื่น

เขาอยากขอเธอว่าอยากจากไปอีกเลย อย่าปฏิเสธอดีตของตัวเองเลย แต่เขาไม่กล้าพูด เขากลัวว่าตัวเองจะทำให้เธอรำคาญอีก กระตุ้นเธออีก

ไป๋มู่ชิงพูดขึ้นด้วยความโกรธเต็มเปี่ยมอย่างที่คิดไว้ “คุณให้ฉันดูวิดีโอน่าเศร้าแบบนั้น ฉันจะไม่ตอบสนองได้ยังไง? หนานกงเฉิน! คุณรู้ไหมว่าคุณทำแบบนี้ทำให้ฉันตกใจแทบตาย”

หนานกงเฉินส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง ดูเหมือนการฟื้นฟูความทรงจำของเธอไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น

“ตอนนี้ไปส่งฉันกลับได้หรือยัง?” ไป๋มู่ชิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์

หนานกงเฉินไม่ได้พูดอะไรอีก สตาร์ทรถเงียบๆ แล้วขับเข้าไปในเขตเมือง

เขาไม่ได้ส่งเธอกลับบ้าน แต่พาเธอมาที่คอนโดเซียงตี ไป๋มู่ชิงกวาดตามองออกไปข้างนอกแล้วถามอย่างหมดหนทาง “หนานกงเฉิน นี่คุณจะพาฉันไปดูอะไรอีก?”

“พาเธอไปพักผ่อนสักหน่อย” หนานกงเฉินดึงเข็มขัดนิรภัยออก

“ไม่ต้องหรอก” ไป๋มู่ชิงปฏิเสธโดยสัญชาตญาณ “ฉันไม่อยากพักผ่อน ตอนนี้ฉันแค่อยากกลับบ้าน”

“อย่างมากครึ่งชั่วโมงฉันจะไปส่งเธอที่บ้าน”

ไป๋มู่ชิงมองเขา ถึงจะโกรธแต่ก็ทำได้แค่ดึงเข็มขัดนิรภัยออกอย่างหมดหนทางแล้วลงรถไปพร้อมกับเขา

ให้เขาทรมานเป็นครั้งสุดท้ายแล้วกัน ครั้งสุดท้าย

เธอสูดลมหายใจเข้าเบาๆ ก้าวเท้าตามเขาไป

หนานกงเฉินพาเธอไปชั้นบนที่เมื่อก่อนพวกเขาอยู่ด้วยกัน ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ที่ใส่รหัสผ่าน หนานกงเฉินจ้องมองเธอแล้วพูดขึ้น “รหัสที่นี่ฉันไม่เคยเปลี่ยนมันเลย เธออยากลงกดมันดูไหม?”

ไป๋มู่ชิงมองที่กดรหัสผ่าน แล้วมองเขาอีกครั้ง ส่ายหน้า “คุณชายเฉินอย่าเป็นแบบนี้ ฉันจำรหัสผ่านอะไรนั่นไม่ได้ นับประสาอะไรกับจำได้ว่าตัวเองเคยอยู่ที่นี่”

“ที่นี่คือที่เราเคยอยู่เป็นครั้งคราว มา ยื่นมือออกมา” หนานกงเฉินส่งสัญญาณให้เธอยื่นนิ้ว

ไป๋มู่ชิงมองนิ้วตัวเอง และไม่ได้ทำตามเขา

หนานกงเฉินจับมือเล็กๆ ของเธอ ใช้นิ้วชี้กดรหัสผ่านบนเครื่อง ประตูใหญ่เปิดออกดัง ‘ครืด’ หนานกงเฉินเปิดประตู ห้องที่สว่างก็ปรากฏต่อหน้าไป๋มู่ชิง

เธอมองไปรอบๆ ห้องสว่างนี้ อพาร์ทเมนท์ริมแม่น้ำตกแต่งหรูหรา ในใจเกิดความรู้สึกแปลกๆ แต่มันไม่ใช่ความรู้สึกคุ้นเคยสถานที่นี้ แต่เป็นความรู้สึกดีที่ไม่ชัดเจน

เธอลองเดินเข้าไป ลองพยายามนึกย้อนกลับไป แต่เธอก็ยังนึกอะไรไม่ออก

เธอเดินออกไปยังระเบียง มองวิวแม่น้ำสวยงามด้านนอก รู้สึกว่าที่นี่สบายมาก!

“เธอจำได้ไหม?” ทันใดนั้นหนานกงเฉินก็พาเธอไปที่รั้วประตูถัดไป ชี้ไปที่รั้วน่าหวาดเสียวแล้วพูดขึ้นขณะหัวเราะเบาๆ “มีครั้งหนึ่งเราทะเลาะกัน ฉันซ่อนตัวดื่มเหล้าที่นี่ จูจูมาดื่มเป็นเพื่อนฉัน แล้วเธอมาเจอเข้า เธอไล่ตามมาถึงที่นี่ ต้องการไล่จูจูออกไป จากนั้นฉันก็โกรธแล้วผลักเธอออกไปแล้วล็อกกลอน แต่เธอไม่ยอม เธอกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฉันและจูจู หลังจากเข้ามาจากประตูใหญ่ถัดไป ก็ปีนจากระเบียงที่นี่มาทางฝั่งนี้”

หนานกงเฉินชี้ไปที่บ้านหลินอันหนานข้างๆ ไป๋มู่ชิงก้าวไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แค่มองลงไปข้างล่างก็รู้สึกขาสองข้างอ่อนแรง ในใจเธอหัวเราะเยาะขมขื่น เธอเชื่อว่านั่นต้องไม่ใช่เธอแน่ๆ เพราะเธอกลัวความสูง เธอไม่มีความกล้าที่จะปีนมาจากฝั่งตรงข้าม

“ตอนนั้นฉันได้ยินเสียงเลยเดินออกมาดู ไม่คิดว่าขาเธอจะห้อยกลางอากาศ ฉันตกใจแทบแย่ รีบดึงเธอขึ้นมา จากนั้นก็ดุเธอ” หนานกงเฉินยิ้มขมขื่น นึกถึงฉากในตอนนั้น จนถึงตอนนี้เขายังคงหวาดผวาอยู่

“จริงๆ ตอนนั้นความโกรธในใจฉันตกใจเรื่องเธอจนหายไปหมด โกรธเธอดุด่าเธอเพราะเธอไม่ทะนุถนอมตัวเองเลย ไม่คิดว่าจะทำอันตรายแบบนี้ออกมาได้ ถ้าตอนนั้นฉันออกมาช้าเพียงไม่กี่ก้าว เธออาจจะตกลงไปแล้วก็ได้”

ไป๋มู่ชิงได้ยินคำพูดของเขา มองไปที่ระยะห่างระหว่างสองห้อง ขนาดจำไม่ได้ขาสองข้างเธอยังอ่อนแรงในตอนนี้เลย

“ดูเหมือนอดีตภรรยาคุณจะเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญมาก” ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปจ้องมองเขาแล้วยิ้มบางๆ “คุณชายเฉิน ฉันกลัวความสูง ถึงสามีฉันจะโดนฉุดไปก็ไม่กล้าปีนจากฝั่งตรงข้ามมาหรอกค่ะ ประเด็นนี้ฉันรู้ดี”

หนานกงเฉินยิ้มให้เธอ ยิ้มอย่างขมขื่น

ทั้งๆ ที่รู้ว่าเธอคือไป๋มู่ชิง ทั้งๆ ที่เธอมีความกล้าแบบนี้ แต่เขาจะทำอย่างไรให้เธอเชื่อว่านั่นคือตัวเธอเองจริงๆ?

เขาหายใจเข้าลึกๆ แอบปลอบตัวเองในใจว่าอย่าใจร้อนเกินไป ไม่อย่างนั้นจะมีแนวโน้มที่จะกระตุ้นเธอและทำให้เธอโกรธเหมือนเมื่อครู่นี้ ซึ่งผลลัพธ์คือการต่อต้าน

เขาเดินกลับไปในห้องรินน้ำอุ่นให้เธอหนึ่งแก้ว ให้เธอนั่งพักผ่อนที่เก้าอี้หวายข้างๆ จ้องมองเธอแล้วพูดขึ้น “ฉันอยากเล่าเรื่องอดีตภรรยาของฉันตั้งแต่ต้นจนจบให้เธอฟัง ได้ไหม?”

ไป๋มู่ชิงสัมผัสแววตาอ้อนวอนของเขา ในใจทั้งๆ ที่อยากปฏิเสธ แต่คำพูดปฏิเสธกลับพ่นไม่ออกมาเลย สุดท้ายก็เลือกที่จะพยักหน้า

เธอไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องรอยอมรับคำขอของเขา เพราะเห็นแววตาอ้อนวอนเขาใช่ไหม? หรือในก้นบึ้งหัวใจก็อยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับเขา?

“เรื่องราวมันค่อนข้างยาว หวังว่าเธอจะอดทนฟังฉันเล่ามันจนจบนะ” หนานกงเฉินพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มบางๆ

เรื่องราวระหว่างหนานกงเฉินและไป๋มู่ชิงยาวนานมากจริงๆ ตั้งแต่การแต่งงานสับเปลี่ยนตัวกัน ไปจนถึงคลอดลูกและอุบัติเหตุรถยนต์ ถ้าเล่าอย่างละเอียด เดาว่าหนึ่งวันหนึ่งคืนก็เล่าไม่จบ

เวลาที่ทั้งสองประสบพบเจอมันไม่ถือว่านาน ก็แค่สองปี แต่ความทรมานและความยากลำบากทั้งหมดที่พบเจอนั้นมากกว่าทั้งชีวิตคนอื่นอีก

หนานกงเฉินเลือกที่จะเล่ากระบวนการที่สำคัญบางอย่าง และไป๋มู่ชิงถือแก้วน้ำในมือฟังอย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมาเลยตั้งแต่ต้นจนจบ ความคิดในใจเธอจากตอนแรกที่ฟังแบบขอไปทีก็ค่อยๆ กลายเป็นตั้งใจฟัง จนถึงการแสดงทางสีหน้าต่อมา เมื่อหนานกงเฉินเล่าเรื่องลูกชายที่น่าเศร้าของเขา ในที่สุดเธอก็อ้าปากค้าง เงยหน้าขึ้นมามองเขาด้วยความประหลาดใจ

หนานกงเฉินมองเธอแล้วพูดอย่างเศร้าๆ “วันนั้นที่ฉันทำให้เธอขุ่นเคืองที่ริมแม่น้ำเป็นวันครบรอบวันตายของลูกชายฉัน ไม่……เขาก็เป็นลูกชายเธอด้วย”

“ไม่!” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้าด้วยสัญชาตญาณ “เขาไม่ใช่ลูกชายฉัน ลูกสาวฉันก็อายุสามขวบ ฉันมีแค่ลูกสาวคนเดียว!”

ลูกสาวเธอยังสบายดี และแทบเป็นเวลาเดียวกับลูกชายของเขา ลูกชายเขาจะเป็นลูกชายเธอได้อย่างไร? ถ้าบอกว่าเมื่อครู่นี้เขาพูดจนน่าประทับใจนิดหน่อย ในตอนนี้ หลังจากได้ยินเขาพูดเรื่องลูกชาย เธอมั่นใจเต็มร้อยว่าตัวเองไม่ใช่อดีตภรรยาที่เขาตามหา

หนานกงเฉินเห็นใบหน้ามั่นคงของเธอ ยิ้มขมขื่นอย่างปวดใจ “มู่ชิง อย่าโง่เลย หว่านชิงไม่ใช่ลูกสาวของเธอ คนที่เธอคลอดลูกเมื่อสามปีก่อนคือลูกชาย เขาเสียชีวิตก่อนพระจันทร์เต็มดวง”

“หนานกงเฉินคุณอย่าพูดอะไรไร้สาระได้ไหม? หว่านชิงเป็นลูกสาวแท้ๆ ของฉันหรือเปล่าตัวฉันเองยังไม่รู้แน่ชัดอีกเหรอ?”

“เธอแน่ใจได้ยังไง? คุณเคยตรวจ DNA หรือยัง?”

“ฉัน……ฉันยังไม่เคยตรวจ แต่ฉันรู้ว่าเธอคล้ายฉันหลายๆ ที่ แม้แต่การแพ้ละอองเกสรดอกไม้ก็ถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้”

“แค่เรื่องนี้เรื่องเดียวเธอก็แน่ใจว่าหว่านชิงเป็นลูกสาวแท้ๆ ของเธอเหรอ?” หนานกงเฉินส่ายหน้าอย่างหมดหนทาง “ดูเหมือนเธอจะเชื่อใจเฉียวเฟิงมากจริงๆ”

“ถ้าคุณอยากเถียงกับฉันเรื่องนี้ ขอโทษนะ ฉันอยู่ด้วยไม่ได้จริงๆ” ไป๋มู่ชิงยืนขึ้นจากโซฟาทันที จ้องมองเขา “คุณชายเฉิน ครึ่งชั่วโมงมันผ่านไปตั้งนานแล้ว ได้โปรดให้ฉันกลับไปได้ไหม?”

หนานกงเฉินสูดลมหายใจเข้า กดฝ่ามือเธอแล้วพูดขึ้น “เอาล่ะ ฉันไม่พูดเรื่องเด็กๆ แล้ว เธออย่าเพิ่งสะเทือนใจขนาดนั้น”

หว่านชิงน่ารักขนาดนั้นเขาเห็นแล้วก็ชอบมาก และใช้ชีวิตด้วยกันไม่กี่ปี โทษเธอไม่ได้ที่สะเทือนใจขนาดนั้น ทุกครั้งที่เจอกันก่อนหน้านี้ เขาก็มองออกว่าความรู้สึกของเธอกับหว่านชิงไม่ได้ลึกซึ้งธรรมดา

ความรู้สึกนั้น เป็นความรู้สึกที่เหมือนแม่ลูกแท้ๆ กันอย่างมาก

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท