เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 207 ปล่อยเธอไป

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

หนานกงเฉินเงียบลงสักพัก แล้วพูดว่า:“แค่คุณส่งเธอคืนมาให้ผม ผมจะใช้ทั้งชีวิตของผมปกป้องเธอ”

“ทั้งชีวิตของคุณ? ตัวคุณเองจะอยู่ได้อีกกี่ปียังไม่รู้เลย คุณจะปกป้องเธอได้นานแค่ไหนกัน? คุณอยู่กับเธอมาตั้งนาน คุณเคยปกป้องเธอไหม? ตอนเธอคลอดลูกคุณไปอยู่ที่ไหน? ถ้าตอนนั้นคุณอยู่ข้างๆเธอ จะเกิดเรื่องขึ้นกับลูกไหม? ไป๋ยิ่งอันจะมีโอกาสลงมือไหม? ถ้าในตอนนั้นคุณไม่ได้ยังมีเยื่อใยรักเก่ากับคุณหนูจู แล้วให้เขามาอยู่ข้างๆ แถมเปิดโอกาสให้เขาลงมืออีก มู่ชิงจะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ไหม? คุณเชื่อจริงๆเหรอว่าอุบัติเหตุครั้งนี้เป็นแค่อุบัติเหตุทั่วๆไป?”

“เรื่องที่ผ่านไปแล้วไม่ต้องพูดขึ้นมาแล้วได้ไหม? ผมคิดแค่อนาคตอยากอยู่กับเธอ”

“ถ้าคุณหนูจูกับคนที่อยู่เบื้องหลังนั่นยังมีชีวิตอยู่ เรื่องนี้คงไม่ผ่านไปง่ายๆ”

“คนที่อยู่เบื้องหลังอะไร?”

“ขนาดตัวคุณเองยังไม่รู้เลย คนอื่นเขาจะรู้ได้ยังไง?”

หนานกงเฉินพยักหน้า:“โอเค แค่คุณส่งเธอคืนมาให้ผม ผมจะรีบไปหย่ากับจูจู”

“ผมส่งมู่ชิงคืนให้คุณได้ แต่คุณหนูจูต้องตายก่อน”

หนานกงเฉินจ้องเขาอย่างตะลึง:“คุณว่าอะไรนะ?”

“ขอแค่คุณหนูจูตาย มู่ชิงถึงจะปลอดภัย” เฉียวเฟิงฝืนยิ้มแล้วส่ายหน้า:“จากที่ผมเห็นคุณ ตระกูลหนานกงของคุณสภาพแวดล้อมซับซ้อนขนาดนั้น ถึงคุณหนูจูตายแล้ว ก็ไม่แน่ว่ามู่ชิงจะปลอดภัยอยู่ดี”

“นี่ไม่ใช่ว่าคุณตั้งใจแกล้งผมหรอกเหรอ?” หนานกงเฉินตะโกนไปทางเขาด้วยความโกรธ:“ผมฆ่าคุณหนูจู หลังจากนั้นคุณค่อยไปรายงานผมต่อศาล ชีวิตนี้ของคุณกับมู่ชิงก็จะไม่มีอุปสรรคอะไรอีกแล้วใช่ไหม? นี่คือความตั้งใจของคุณล่ะสิ?”

“คุณหนูจูสามารถฆ่ามู่ชิงได้ขนาดที่ว่าไม่เจอร่องรอยอะไรเลย คุณมีฐานะขนาดนี้ มีคอนเนคชั่นขนาดนี้ หรือว่ายังสู้ผู้หญิงอย่างเขาไม่ได้?”

“ผมก็เคยสงสัยจูจู แต่ในตอนนั้นฝั่งตำรวจตรวจสอบอุบัติเหตุนั้นได้ผลชัดแล้ว คือการขับรถเร็วเกินไป ถ้าพวกคุณมีเบาะแสอะไรช่วยบอกผม ขอแค่จูจูเป็นคนทำ ผมไม่ปล่อยเขาไว้แน่นอน” หนานกงเฉินพูด

“พอแล้ว ไม่ต้องทะเลาะกันแล้ว” จู่ๆเฉียวซือเหิงก็ลุกขึ้นจากพื้นหญ้า เดินไปตรงหน้าหนานกงเฉิน:“ตอนแรกฉันรู้แค่หลังจากที่มู่ชิงเกิดอุบัติเหตุแล้วงมเธอขึ้นมาจากน้ำได้ อย่างอื่นก็ไม่รู้อะไรเลย อีกอย่าง เฉียวเฟิงก็พูดชัดเจนแล้ว ขอแค่คุณหนูจูตายเขาจะก็คืนมู่ชิงให้นายทันที นายลองพิจารณาเองละกัน”

เขาพูดจบ ก็หันไปพูดกับเฉียวเฟิงต่อ:“คุณก็กลับไปพักที่ห้องก่อนเถอะ รีบพักผ่อนซะ”

เฉียวเฟิงมองหน้าความพ่ายแพ้ของหนานกงเฉิน แล้วหมุนรถเข็นที่เขานั่งกลับห้องไป

หนานกงเฉินใช้มือทั้งสองข้างลูบหน้าของตัวเองที่ทั้งเขียวทั้งแดง หลังจากที่กะพริบตาทั้งสองก็จ้องเฉียวซือเหิงแล้วถาม:“ฉันอยากรู้ ความแค้นที่นายมีต่อฉันมันมาจากไหนกันแน่ ทำไมต้องทำแบบนี้กับฉัน? ไม่ใช่แค่เพราะเฉียวเฟิงอย่างเดียวถูกไหม?”

เฉียวซือเหิงชำเลืองมองเขา ไม่ได้พูดอะไร

หนานกงเฉินก็เลยตะโกนใส่เขา:“นายพูดสิ!”

เฉียวซือเหิงไม่ได้ตอบคำถามของเขา แต่กลับขมวดคิ้วไปทางเขา:“ทำไม? ยังอยากจะต่อยกันอีกเหรอ? แต่โทษที ฉันไม่อยู่ด้วยหรอกนะ” พูดจบ เขาก็หมุนร่างเดินไปทางประตูบ้าน

เดินไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆเขาก็หันกลับมาพูดประโยคหยอกล้อ:“รอแผลพวกเราทั้งสองคนหายดีแล้ว ฉันจะเลี้ยงเหล้านาย” พูดจบก็ไม่ได้สนใจสีหน้าน่าเกลียดของหนานกงเฉิน เดินมาถึงข้างๆรถดึงประตูแล้วเข้าไปนั่ง

มองรถของเขาที่ค่อยๆไกลออกไป ทั้งสองมือของหนานกงเฉินบีบเข้าหากันทีละนิด เห็นได้ชัดว่าถูกทำให้โมโหจนจะบ้าแล้ว

พี่หลิงยกโจ๊กเนื้อวัวที่พึ่งจะต้มเสร็จเดินเข้าไปในห้องนอนของไป๋มู่ชิง พูดอย่างสุภาพ:“คุณหนูอี พี่ทำมื้อค่ำมาให้ คุณทานหน่อยเถอะ”

ไป๋มู่ชิงยังคงนอนพิงอยู่บนเตียง ไม่ขยับเขยื้อน

“คุณหนูอี คุณไม่จำเป็นต้องจริงจังอะไรมากกับคุณชายเฉิน คุณแอบทานสักนิดพี่สัญญาว่าจะไม่บอกเขาดีไหม?” พี่หลิงโน้มน้าวด้วยความหวังดี:“คุณไม่ทานอะไร จะหิวตายจริงๆนะ”

พี่หลิงโน้มน้าวเธอแล้วโน้มน้าวเธออีก ไป๋มู่ชิงก็ยังคงนอนบนเตียงไม่ขยับเขยื้อนใดๆ เธอจนปัญญาก็เลยเอาโจ๊กวางไว้ที่หัวเตียงแล้วพูดว่า:“คุณหนูอี เดี๋ยวถ้าอยากทานก็ทานได้เลยนะ พี่ไม่รบกวนเวลาพักผ่อนแล้ว”

หลังจากที่พี่หลิงเดินถึงประตู พอเปิดประตูก็เห็นว่าหนานกงเฉินยืนอยู่หน้าประตู เธอพูดเสียงเบา:“คุณชายเฉิน คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ?”

เธอสังเกตรอยแผลบนใบหน้าของคุณชายเฉิน:“คุณไปมีเรื่องมาเหรอ? หรือไปล้มที่ไหนมา? ทำไมคุณไม่ไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสักหน่อย……”

หนานกงเฉินไม่ได้สนใจคำถามที่เธอถามมา แต่เดินผ่านเธอเข้าไปด้านในห้องนอน

ได้ยินคำพูดของพี่หลิง ตาทั้งสองของไป๋มู่ชิงก็ค่อยๆเปิดขึ้น สายตาไปหยุดอยู่ที่ใบหน้าของหนานกงเฉิน บาดแผลบนใบหน้าของเขาดูแล้วทั้งเขียวทั้งม่วง แต่ทว่าสายตาเธอก็ไม่ได้หยุดอยู่บนหน้าเขานานนัก ไม่นานก็หลับตาลงอีกครั้ง

สายตาเย็นชาของเธอเสียดแทงหัวใจของหนานกงเฉินเบาๆ หลังจากที่ผ่านเวลาช่วงนี้ไป ใจเขาถูกเธอทำร้ายจนเป็นแผลเป็นไปตั้งนานแล้ว ครั้งนี้ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรขนาดนั้น

เขาเดินไปนั่งเก้าอี้ตรงหน้าไป๋มู่ชิง สายตาจ้องไปที่ใบหน้าเล็กๆโทรมๆของเธอ:“คุณไม่อยากรู้เหรอว่าเมื่อกี้ผมไปมีเรื่องกับใครมา?”

ถูกเขาถามแบบนี้ ไป๋มู่ชิงก็ตกใจ ลืมตาขึ้นมองเขา:“คุณไปมีเรื่องกับเฉียวเฟิงมาเหรอ? คุณได้ทำอะไรเขาหรือเปล่า?”

หนานกงเฉินฝืนยิ้มออกมา:“ดูแล้วในใจคุณคงมีแต่เขาจริงๆ เห็นแผลบนใบหน้าของผมขนาดหนังตาคุณยังไม่กระดิกเลย แต่กลับเป็นห่วงผู้ชายคนนั้นขนาดนั้น”

ไป๋มู่ชิงรีบถามต่อ:“สรุปแล้วเฉียวเฟิงเขาเป็นยังไงบ้าง?”

“วางใจเถอะ เขาโอเคกว่าผม”

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ค่อยๆวางใจลง แล้วรีบถามต่อ:“หว่านชิงล่ะ? เขาเห็นพวกคุณตอนมีเรื่องกันหรือเปล่า? เขาตกใจมากหรือเปล่า?”

หนานกงเฉินส่ายหน้าอย่างไม่เต็มใจ

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็เข้าใจ สุดท้ายก็กวาดสายตามองเขา ริมฝีปากกำลังจะขยับแต่ก็ไม่ได้คำพูดอะไรที่สื่อว่าเป็นห่วงออกมา

เธอเกลียดเขาขนาดนั้น จะเป็นห่วงบาดแผลเขาได้ไงล่ะ?

“คุณชายเฉิน ฉันหายามาให้คุณ คุณต้องเช็ดแผลก่อนนะคะ” พี่หลิงหายามาจากข้างนอกแล้วเดินเข้ามา

หนานกงเฉินกวาดสายตามองยาในมือของเธอ:“ไม่ต้องหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมาก”

“’งั้นก็เช็ดสักหน่อย คุณดูหน้าของคุณสิบวมหมดแล้ว ถ้าไม่เช็ดด้วยยาพรุ่งนี้คง……”

“ผมบอกว่าไม่ต้องไง!” หนานกงเฉินตะโกนไปทางเธอด้วยความโมโห

เสียงตะโกนนี้ทำให้พี่หลิงตกใจสะดุ้ง รวมถึงไป๋มู่ชิงก็สะดุ้งด้วย เธอขดตัวตามสัญชาตญาณ จ้องเขาอย่างหวาดผวา

หนานกงเฉินถอนหายใจเบาๆ จ้องไปที่เธอ น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลง:“คุณกลับไปได้แล้ว”

บนหน้าของไป๋มู่ชิงเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองได้ยิน

หนานกงเฉินปล่อยเธอกลับไป? เป็นไปได้ยังไง?

“ไม่ใช่ว่าทุกวินาทีคุณเอาแต่คิดว่าจะกลับไปอยู่ข้างๆผู้ชายคนนั้นหรอกเหรอ? ทำไมยังไม่ไปอีก?” หนานกงเฉินชำเลืองมองเธอ:“แต่คุณฟังไว้นะ ที่ผมปล่อยคุณไปไม่ใช่เพราะผมชกต่อยไม่ชนะเฉียวเฟิง แต่เพราะทนไม่ได้ที่เห็นคุณอ่อนแอลงไปทุกวันๆแบบนี้ ทนไม่ได้ที่เห็นคุณกำลังเดินไปหาความตายที่จริงๆ”

เขารู้จักนิสัยของไป๋มู่ชิงดี เวลาที่ดื้อรั้นทำยังไงก็ไม่มีทางยอมหรอก คิดไม่ถึงว่าสูญเสียความทรงจำไปแล้วแต่นิสัยไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิด ยังคงดื้อรั้นทำให้คนเขาสงสารได้ง่ายๆ

เห็นเธอที่อดอาหารประท้วงแบบนี้ทุกวัน เขาจะไม่สงสารได้ยังไง? ไม่กลัวได้ยังไง?

“คุณ……ให้ฉันกลับไปได้จริงๆเหรอ?” ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขาแล้วถามอย่างระมัดระวัง

“อย่ารอฉันเปลี่ยนความคิด”

ไป๋มู่ชิงได้ยินประโยคนี้ของเขา ก็รีบพลิกตัวลงจากเตียง แต่เพราะนานมากที่ไม่ได้ทานอะไรเลย แม้แต่ยืนเธอก็ไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะยืนให้มั่นคงได้ ร่างกายเกือบล้มลงที่พื้น

หนานกงเฉินยื่นมือเข้าไปโอบร่างกายเธอไว้ ไป๋มู่ชิงกลับรีบดีดตัวออกจากเขาตามสัญชาตญาณอย่างกับโดนน้ำร้อนลวก เธอออกห่างแค่ร่างกายเขา แต่มือที่เขาจับที่เอวเธอนั้นกลับสลัดไม่ออก

เธอจ้องเขาอย่างหวาดผวา ในใจคิดเขาคงไม่เปลี่ยนความคิดเร็วขนาดนั้นหรอกใช่ไหม?

“ทานโจ๊กบนโต๊ะให้หมดก่อนค่อยไป” หนานกงเฉินพูดออกมาเบาๆ

เอวของเธอเดิมทีก็ผอมอยู่แล้ว ไม่กี่วันมานี้ข้าวไม่ตกถึงท้องก็ยิ่งผอมเข้าไปใหญ่ ฝ่ามือข้างหนึ่งของเขาสามารถจับได้ครึ่งหนึ่งเลย ใจของเขาเจ็บปวด ถึงแม้ว่าเธอจะใช้สายตาเย็นชามองเขาเวลานี้ เขาก็ยังคงสงสารเธอ

พี่หลิงรีบเดินไปตรงหน้าโต๊ะหัวเตียง ยกถ้วยโจ๊กนั้นไปตรงหน้าเธอส่งสายตาบอกให้เธอรีบกิน

ไป๋มู่ชิงมองโจ๊กในถ้วย แล้วมองหนานกงเฉิน ในใจยังคิดว่าหรือนี่จะเป็นแผนการที่หนานกงเฉินบังคับให้เธอทานอาหาร หนานกงเฉินเหมือนว่าจะมองออกว่าในใจเธอคิดอะไรอยู่ มองเธอแล้วพูด:“ถึงแม้ว่าฉันในใจเธอจะน่ารังเกียจขนาดไหน แต่ก็คงไม่ถึงกับไม่มีความเชื่อใจหลงเหลืออยู่เลยถูกไหม?”

ในที่สุดไป๋มู่ชิงก็ไม่ลังเล รับถ้วยในมือของพี่หลิงมาแล้วทานอย่างรวดเร็ว

ไม่ว่าเขาจะวางแผนไว้หรือไม่ ลองดูก็ไม่เสียหาย บางทีเขาอาจจะปล่อยเธอไปจริงๆก็ได้

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงใช้ความเร็วสูงสุดที่การกวาดโจ๊กให้หมด วางถ้วยลงแล้วรีบร้อนออกไปทางประตู จังหวะที่เธอก้าวเท้าออกจากประตู มือทั้งสองข้างพยุงที่ประตูแล้วหันกลับมาจ้องเขา:“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ฉันก็คงต้องขอบคุณคุณที่ยอมปล่อยฉันไป”

พูดจบ เธอก็ออกไปจากห้องนอน รีบเดินลงไปชั้นล่างอย่างรวดเร็ว

ร่างกายของเธอยังถือว่าอ่อนแรงอยู่ ขาทั้งสองข้างก็ไม่มีแรง แต่เธอไม่อยากจะหยุดสักวินาที เธอกลัวว่าถ้าตัวเองหยุดแล้วจะถูกหนานกงเฉินจับกลับไปอีกรอบ

เสี่ยวหลินรออยู่ที่ชั้นล่างนานแล้ว พอเห็นเธออกมาก็รีบพูด:“คุณหนูอี ผมจะไปส่งคุณกลับเองครับ”

ไป๋มู่ชิงมองเขาแล้วส่ายหน้า:“ไม่ต้องหรอก ฉันกลับเองได้”

จู่ๆหนานกงเฉินก็ปล่อยเธอไป เธอรู้สึกว่าเกินความคาดหมายแล้ว ไม่อยากจะเชื่อแล้ว แล้วจะกล้านั่งรถของเขาออกจากที่นี่อีกเหรอ?

“คุณหนูอี นี่เป็นคำสั่งของคุณชายเฉินโดยเฉพาะ กรุณาขึ้นรถเถอะครับ ไม่งั้นผมก็ไม่รู้จะไปรายงานกับคุณชายเฉินว่าอะไร” เสี่ยวหลินดึงประตูรถออกอย่างเร่งรีบ:“อีกอย่าง ดึกขนาดนี้แล้ว ด้านนอกก็คงไม่มีรถกลับไปเขตตัวเมืองแล้ว หรือว่าคุณอยากจะกลับด้วยสองขาของคุณครับ?”

ไป๋มู่ชิงมองท่าทางจริงใจบนใบหน้าเขา สุดท้ายก็ตัดสินใจขึ้นรถของเขา

ไป๋มู่ชิงออกไปได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว หนานกงเฉินเหมือนกับว่าถูกของอะไรสักอย่างทำให้ชะงัก ยังคงนั่งบนเก้าอี้ไม่ขยับเขยื้อนใดๆ

ในมือพี่หลิงยกโจ๊กมาอีกถ้วย พูดอย่างระมัดระวัง:“คุณชายใหญ่ คุณก็ทานหน่อยเถอะค่ะ ทานเสร็จก็รีบพักผ่อน”

ในที่สุดหนานกงเฉินก็ขยับ แล้วพูดว่า:“ผมไม่อยากทาน”

“คุณหนูอีเธอไปแล้ว หรือว่าคุณจะประท้วงไม่ทานอาหารเพื่อเธอเหรอคะ?”

“เธอไปแล้ว……” หนานกงเฉินฝืนยิ้ม

ใช่สินะ เธอไปแล้ว ไปอย่างไม่อาลัยอาวรณ์เลยสักนิด ไปอย่างอดใจรอไม่ไหว!

เขานึกว่าเขาสามารถขังเธอไว้ที่นี่ได้ บังคับให้เธอทานยาทุกวัน ช่วยให้เธอฟื้นความจำกลับมา

แต่ทว่าก็เหมือนที่เลขาเหยียนพูดไว้ เขาไม่สามารถขังเธอ บังคับเธออย่างตอนนั้นได้อีก เพราะว่าในใจเธอไม่ได้มีเขาแล้ว ไม่มีทางที่จะเต็มใจทนพฤติกรรมป่าเถื่อนทั้งหมดของเขาได้

เขาขังตัวเธอไว้ได้ แต่ขังใจเธอไว้ไม่ได้

เสี่ยวหลินจอดรถที่หน้าลานบ้านของบ้านเฉียวเฟิง ไป๋มู่ชิงเกือบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง เธอกลับมาแล้วจริงๆ!

เธอลองเปิดประตูรถ เสียงปลดล็อคประตูรถดังขึ้น

ขนาดคำขอบคุณเธอยังลืมพูด เธอลงจากรถอย่างรวดเร็วผลักประตูเหล็กบานใหญ่ออกแล้วเดินเข้าไป

ในลานบ้านยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ เป็นร่องรอยที่พวกเขาสามคนชกต่อยหลงเหลือกันไว้ แต่เธอก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก รีบเดินตรงเข้าไปในห้อง

เธอไม่แน่ใจว่าเฉียวเฟิงกับหว่านชิงกลับมาถึงที่นี่หรือยัง แต่ด้านในห้องรับแขกเปิดไฟอยู่ เธอก็มีความหวัง เธอยื่นมือไปเคาะที่ประตู หลังจากนั้นก็ผลักประตูเดินเข้าไป

ขณะที่เธอเดินเข้าไป เฉียวเฟิงกำลังนั่งใจลอยอยู่บนโซฟาในห้องรับแขก พอเห็นเธอ เฉียวเฟิงนึกว่าตัวเองมองผิดไป นึกว่าตัวเองสร้างภาพหลอนขึ้นมา

หนานกงเฉินพึ่งจะพูดไปว่าไม่มีทางปล่อยเธอ ตอนนี้ทำไมถึงปล่อยเธอกลับมา?

ไป๋มู่ชิงเดินไปนั่งลงข้างๆเขา จ้องไปที่รอยยิ้มบางๆของเขาอย่างไม่ละสายตา:“ฉันกลับมาแล้ว คุณไม่ดีใจเหรอ?”

“ไม่ใช่ไม่ดีใจ แต่ไม่อยากจะเชื่อ” เฉียวเฟิงยื่นมือสัมผัสไปที่ใบหน้าเล็กๆของเธอ:“เป็นคุณจริงๆเหรอ? ผมไม่ได้กำลังฝันอยู่ใช่ไหม?”

“คุณไม่ได้นอนหลับสักหน่อย จะฝันได้ยังไงคะ?” ไป๋มู่ชิงยิ้มบางๆแล้วจับมือของเขาที่อยู่บนหน้าตัวเองพร้อมสัมผัสกลับไป:“รู้สึกได้หรือยัง? เหมือนความจริงมากใช่ไหม?”

เป็นความจริงจริงๆด้วย!

ในใจเฉียวเฟิงสั่นไหว ยื่นมือดึงเธอเข้ามาในอ้อมกอด แล้วกอดเธอแน่น จูบที่ข้างหูของเธอแล้วพูด:“ผมนึกว่าคุณจะไม่ได้กลับมาอีกแล้ว ผมนึกว่าคุณไม่ต้องการผมกับหว่านชิงแล้ว”

“คนโง่ จะเป็นอย่างนั้นได้ไงคะ?” ไป๋มู่ชิงโอบร่างกายเขาให้แน่นขึ้น แล้วพูดอย่างสะอึกสะอื้น:“จำที่ฉันเคยพูดได้ไหม แม้ว่าจะไม่ต้องการคนทั้งโลก ฉันก็ไม่มีทางไปจากคุณกับหว่านชิง สำหรับฉัน คุณกับหว่านชิงคือคนที่ฉันรักที่สุดในโลก”

“ผมนึกว่าคุณจะถูกหนานกงเฉินทำให้เปลี่ยนใจ แล้วอยู่ต่อข้างๆเขาซะอีก” เฉียวเฟิงพูดอย่างลำบากใจ

“ไม่หรอกค่ะ คุณดูสิตอนนี้ฉันก็กลับมาแล้วไง”ไป๋มู่ชิงถอยออกมาจากอ้อมกอดเขา เอียงตัวไปจูบบนริมฝีปากเขาแล้วยิ้ม:“หว่านชิงล่ะ? เวลานี้เขาคงนอนหลับอยู่ในห้องนอนแล้วใช่ไหม? เขาสบายดีใช่ไหม?”

เฉียวเฟิงยิ้มบางๆแล้วพยักหน้า:“คุณว่าไงล่ะ?”

“ฉันว่าเขาคงอยู่ในห้องนอนแน่ๆ ฉันคิดถึงเขามากเลย ฉันจะเข้าไปดูเขาสักหน่อย” ไป๋มู่ชิงเก็บมือทั้งสองข้างกลับมาจากต้นคอของเขา ลุกขึ้นแล้วเดินไปทางห้องนอน

เฉียวเฟิงมองด้านหลังเธอที่เดินไปทางห้องนอน ท่าทางเธอสบายใจขนาดนั้นอ่อนช้อยขนาดนั้น เขาเหมือนจะมองเห็นภาพเมื่อก่อนที่พวกเขาสามคนอยู่ด้วยกัน เก็บความเสียใจมาหลายวัน ในที่สุดก็ได้รับการปลดปล่อยเสียที

ถึงแม้ว่า อนาคตจะเป็นยังไงเขาไม่รู้ แต่เวลานี้ เขาปลื้มใจมาก

เขาตามเข้าไปในห้องนอน เห็นว่าไป๋มู่ชิงเกาะอยู่ข้างเตียงจ้องเสียวหว่านชิงที่นอนหลับไปแล้วอย่างไม่ละสายตา เห็นว่าเธอกำลังยื่นมืออยากจะลูบเขา แต่ก็กังวลว่าจะทำให้เขาตื่น

“นอนหลับดีจริงๆ” ไป๋มู่ชิงหันหน้ามา พูดแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน

เฉียวเฟิงเดินไปที่ข้างๆเธอ สังเกตหว่านชิงที่นอนอยู่บนเตียงเล็กด้วยกันกับเธอ:“เขาคิดถึงคุณทุกวันเหมือนกับผม ผมว่าพรุ่งนี้พอเขาเห็นคุณเขาต้องดีใจมากแน่ๆ”

“ขอโทษนะลูกรัก……” ไป๋มู่ชิงพูดไปทางเสียวหว่านชิงอย่างรู้สึกผิด

“ไม่ต้องพูดขอโทษหรอก แค่คุณกลับมาก็พอแล้ว”

“อืม ต่อไปฉันจะไม่จากพวกคุณไปนานขนาดนี้อีกแล้ว”

“ครับ ผมก็ไม่อยากให้คุณจากผมไปนานขนาดนี้เหมือนกัน” เฉียวเฟิงยื่นมือไปโอบไหล่เธอไว้

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ขณะที่เธอเงยหน้าถึงจะพบว่าข้างแก้มของเฉียวเฟิงบวมแดงอยู่นิดหน่อย นึกถึงเรื่องที่หนานกงเฉินพูดว่าเขามีเรื่องชกต่อยกับเฉียวเฟิง ในใจรีบร้อน เธอถามเขาด้วยความเป็นห่วง:“เฟิง แก้มของคุณไปโดนอะไรมา? ถูกหนานกงเฉินต่อยมาใช่ไหม?”

มือเล็กๆของเธอลูบไปที่บริเวณแผลของเขา เฉียวเฟิงสะดุ้งเล็กน้อย จับมือของเธอแล้วยิ้มบางๆ:“ไม่เป็นไร เขาบาดเจ็บหนักกว่าผมอีก”

“พวกคุณไปทะเลาะกันได้ยังไง?” ไป๋มู่ชิงนึกถึงแผลบนใบหน้าของหนานกงเฉิน หนักกว่าเฉียวเฟิงมากจริงๆ

“จู่ๆเขาก็มาที่นี่ ไม่พูดพร่ำทำเพลงหมัดก็ลอยมาเลย” เฉียวเฟิงลูบผมของเธอ:“แต่ว่าไม่เป็นไรแล้ว ขอแค่คุณกลับมาก็ดีแล้ว”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า:“อืม ขอแค่ทุกคนไม่เป็นไรก็ดีแล้ว คุณก็อย่าไปเคียดแค้นเขาเลย เรื่องนี้ให้มันผ่านไปแบบนี้เถอะ”

เฉียวเฟิงได้ยินเธอพูดแบบนี้ จู่ๆในใจก็รู้สึกไม่สบายใจ เขาไม่คิดว่าไป๋มู่ชิงจะคิดเผื่อหนานกงเฉินด้วย แล้วยังให้เขาอย่าไปเคียดแค้นหนานกงเฉิน?

หรือว่าเธอไม่สนใจช่วงไม่กี่วันมานี้ที่ถูกหนานกงเฉินขังไว้สักนิดเลยเหรอ? หรือว่าในใจเธอมีความรู้สึกดีให้กับหนานกงเฉิน?

“อาเฟิง คุณเป็นอะไรไป?” ไป๋มู่ชิงพบว่าบนหน้าของเขานิ่งไป ก็เลยถามอย่างเป็นห่วง

เฉียวเฟิงค่อยๆได้สติกลับมา ยิ้มให้เธอแล้วส่ายหน้า:“ไม่มีอะไรครับ”

“ฉันจะช่วยคุณใส่ยาที่แผลนะ” ไป๋มู่ชิงพูดจบก็ลุกขึ้นออกไปหากล่องยา

“ไม่ต้องหรอก” เฉียวเฟิงดึงข้อมือของเธอไว้ ยิ้มบางๆให้เธอ:“แผลเล็กแค่นี้เองไม่มีอะไรมากหรอก พรุ่งนี้ก็ดีขึ้นแล้ว ไม่กี่วันมานี้คุณไม่ได้นอนหลับดีใช่ไหมล่ะ รีบไปอาบน้ำพักผ่อนเถอะ”

ไป๋มู่ชิงคิด แล้วหยักหน้า หยิบชุดนอนออกมาจากตู้เสื้อผ้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไป

ไม่กี่วันมานี้เธอไม่ได้นอนหลับดีจริงๆนั่นแหละ เธอเดาว่าเฉียวเฟิงก็ไม่ได้นอนหลับดีเหมือนกัน ในที่สุดคืนนี้ทุกคนก็จะได้นอนหลับสงบกันสักที

เช้าวันที่สอง หลังจากที่เสียวหว่านชิงตื่นนอนเห็นไป๋มู่ชิงก็ตกใจมาก ขณะที่เธอลุกขึ้นจากเตียงเล็กเห็นว่าไป๋มู่ชิงอยู่บนเตียงใหญ่ เหมือนกับเมื่อคืนที่เฉียวเฟิงเห็นไป๋มู่ชิงไม่มีผิด ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง

เธอขยี้ตาทั้งสองข้างของตัวเองเรียกออกมาเบาๆ:“แม่……”

ไป๋มู่ชิงตอบรับ:“ลูกรักตื่นแล้วเหรอ?”

“แม่กลับมาแล้วจริงๆด้วย!” เสียวหว่านชิงตะโกนด้วยความดีใจ กระโดดจากเตียงเล็กขึ้นมาเตียงใหญ่ ไป๋มู่ชิงรับร่างเล็กๆของเธอไว้ กอดเธอไว้ในอ้อมกอดแล้วหอมฟอดใหญ่:“ลูกรัก แม่คิดถึงลูกมากเลย!”

“แม่ หว่านชิงก็คิดถึงแม่มากเหมือนกันค่ะ!” หว่านชิงโอบเธอไว้แล้วตำหนิอย่างอารมณ์ไม่ดี:“แม่ออกไปทำงานต่างถิ่นทำไมไม่โทรหาหว่านชิงกับพ่อเลยล่ะ”

“แม่ขอโทษนะ เป็นความผิดของแม่เอง ต่อไปแม่จะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วโอเคไหม?”

“อืม ต่อไปถ้าทำอีกหว่านชิงจะไม่สนใจแม่แล้วนะ”

“โอเคจ่ะ” ไป๋มู่ชิงคิด แล้วจ้องเธอ:“แบบนี้ละกัน เพื่อชดเชยให้หว่านชิง อีกสักพักแม่จะพาหว่านชิงไปทานอาหารเช้าข้างนอกดีไหม? ทานเค้กช็อคโกแลตกับนมสตรอว์เบอร์รี่”

“ดีค่ะ หนูอยากทานเค้กช็อคโกแลต!” เสียวหว่านชิงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น หลังจากนั้นก็หันไปหาเฉียวเฟิง:“พ่อคะ หนูอยากให้พ่อไปพร้อมกับพวกเรา”

“ได้สิ ขอแค่หว่านชิงชอบก็พอแล้ว” เฉียวเฟิงยื่นมือมาลูบศีรษะเล็กๆของเธอแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยน

“พ่อใจดีที่สุด” หว่านชิงกอดเขาแล้วพูด

ในที่สุดไป๋มู่ชิงกับเฉียวเฟิงก็ได้นอนหลับสนิทสักที หนานกงเฉินกลับนอนไม่หลับทั้งคืนจนฟ้าสว่าง เขาไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอะไรต่อไป ไม่อยากจะยอมแพ้ แต่ก็ไม่มีวิธีที่จะรั้งไป๋มู่ชิงไว้เลย

ถ้าเกิดผ่านไปไม่กี่วันเธอเตรียมตัวจะไปต่างประเทศล่ะ เขาจะทำยังไง? คงแย่งเธอกลับมาอีกครั้งไม่ได้แล้ว!

ตอนเช้าตรู่ เขาก็ขับรถอย่างเงียบๆไปสถานที่ที่ไป๋มู่ชิงพักอยู่ และเปลี่ยนมุมสถานที่จอด ตรงมุมนี้สามารถสองเห็นวิวภายนอกของลานบ้าน

เขาสามารถมองเห็นไป๋มู่ชิงที่ในตอนนี้ไม่มีความโกรธอยู่เลยได้อย่างชัดเจน ผ่านไปหนึ่งคืนก็ฟื้นตัวกลับไปมีชีวิตชีวาเหมือนตอนแรกได้เลย บนใบหน้าเธอเต็มไปด้วยความสุข

ยังคงเป็นฉากที่อบอุ่น เสียวหว่านชิงกระโดดโลดเต้นออกมาจากห้อง ไป๋มู่ชิงเร่งให้เฟิงเฉียวรีบตามมา ครอบครัวสามคนเปิดประตูรถขึ้นไปนั่งอย่างมีความสุข

มองรอยยิ้มที่มีความสุขบนหน้าของไป๋มู่ชิง ในใจของหนานกงเฉินก็รู้สึกถึงความพ่ายแพ้ ดูแล้วไป๋มู่ชิงเวลานี้ มีแค่เฉียวเฟิงที่สามารถมอบความสุขให้เธอได้ และเขาทำได้แค่มอบความเจ็บปวดและเคียดแค้นให้กับเธอ

ไม่เคยคิดว่าจะมีวันนี้ ตัวเขาเองรู้สึกมาตลอดว่าผู้หญิงที่มั่นคงที่ตัวเองได้ครอบครองนั้น จะหนีไปจากตัวเองได้ไกลขนาดนี้

มองรถของพวกเขาที่ขับไกลออกไป หนานกงเฉินนั่งใจลอยอยู่ในรถสักพัก ถึงจะเริ่มขับรถออกไปจากที่นี่

หนานกงเฉินมาถึงบริษัท เดินไปห้องทำงานเลขาเหยียนเพื่อพูดเรื่องโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานของเขา

เมื่อก่อนโทรศัพท์ดังมากสุดแค่สองเสียง เลขาเหยียนก็ต้องรีบรับสาย สายโทรศัพท์วันนี้รับแล้วก็จริง แต่กลับไม่ใช่เสียงของเลขาเหยียน เป็นเสียงของเลขาหลิน:“คุณชายเฉิน มีเรื่องอะไรเหรอคะ?”

“เลขาเหยียนล่ะ?” หนานกงเฉินปลดหูกระต่ายบนเสื้อเชิ้ตให้ใส่สบายๆ:“ให้เธอรีบเข้ามาพบผมที่ห้องทำงาน”

หนานหงเฉินพูดจบก็วางโทรศัพท์ หลังจากนั้นหนึ่งนาที ประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น เลขาหลินเปิดประตูเข้ามา

หนานกงเฉินกวาดสายตามองเธอ เลขาหลินรับรู้ได้ถึงสายตาที่มองมา ก็รีบพูด:“คือว่าคุณชายเฉิน เลขาเหยียนเขาลาออกแล้วค่ะ แล้วให้ฉันทำงานแทนเขา……”

เธอพูดอย่างหวาดผวา ยังไงซะพอเปรียบเทียบเธอกับเลขาเหยียนแล้ว ความสามารถในการทำงานต่างกันไม่ใช่น้อยๆเลย

“ลาออก? ใครอนุญาต?” หนานกงเฉินขมวดคิ้ว

เลขาหลินส่ายหน้า:“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันค่ะ เลขาเหยียนไม่ได้พูดเรื่องนี้กับฉัน”

หนานกงเฉินยกหูโทรศัพท์ขึ้นอีกครั้งต่อสายไปยังแผนกทรัพยากรบุคคลเพื่อถามสถานการณ์ หัวหน้าฝ่ายบุุคคลพอได้ยินเสียงที่เย็นชาของเขาแล้ว ลิ้นก็พันกัน:“คุณชายเฉิน……เป็นคำสั่งของคุณผู้หญิงครับ คุณผู้หญิงบอกว่าเลขาเหยียนควรแต่งงานมีลูกได้แล้ว……”

ไม่รอให้เขาพูดจบ หนานกงเฉินก็วางโทรศัพท์

ตอนเที่ยง หนานกงเฉินนั่งอยู่ที่ร้านกาแฟของตึกใกล้ๆบริษัท สายตาจับจ้องไปที่รถที่วิ่งอย่างไม่ขาดสายนอกหน้าต่าง

เลขาเหยียนเดินเข้ามาจากด้านนอก หลังจากที่มองไปรอบทิศ ก้าวเดินที่กำลังลังเลก็เดินมาทางนี้ ขณะที่เธอเห็นชัดว่าหนานกงเฉินนั่งอยู่บนโซฟา เบิกตาโพล่งทั้งสองข้างอย่างงงงันแล้วถาม:“คุณชายเฉิน คุณไม่เป็นอะไรใช่ไหม? ทำไมหน้าถึงมีรอยแผลแบบนี้ล่ะคะ?”

เมื่อกี้ตอนที่เธอหันมองรอบทิศ เกือบจะดูไม่ออกว่าคนตรงหน้าเธอคนนี้คือหนานกงเฉิน!

“ตอนนี้ไม่ได้จะคุยเรื่องหน้าของผม แต่คุณ” หนานกงเฉินจ้องไปที่เธอ:“ไม่บอกกันสักคำว่าลาออก คุณหมายความว่าไง? ผมไม่ได้ให้เงินเดือนคุณ? หรือผมดูแลคุณไม่ดีพอ?”

เลขาเหยียนหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้:“คุณชายเฉิน คุณอย่าพึ่งโกรธ ฉันแค่ทำตามคำพูดของคุณผู้หญิง ที่ฉันไม่ได้บอกคุณก่อนก็เพราะไม่อยากให้คุณผู้หญิงคิดว่าฉันอยู่ต่อที่บริษัทเพื่อฟ้องคุณ”

“คุณชายเฉิน ความจริงคุณก็โทษคุณผู้หญิงไม่ได้หรอกนะ ยังไงซะทุกคนกำลังพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับคุณ ที่คุณผู้หญิงทำไปก็เพื่อรักษาหน้าตาของบริษัท เป็นการเตือนสติให้กับพนักงานทุกคน” เลขาเหยียนจ้องเขาด้วยท่าทางเอาจริงเอาจัง:“ส่วนเรื่องงานของฉัน ฉันได้ใช้เวลาไม่กี่วันมานี้สอนงานเลขาหลินเรียบร้อยแล้ว เลขาหลินเคยเป็นหัวหน้าเลขามาตั้งหลายปี ความสามาถในการทำงานรวมถึงนิสัยใจคอสามารถเชื่อถือได้ค่ะ เชื่อฉัน คุณสามารถฝึกเธอให้เป็นเหยียนเยว่คนที่สองได้แน่”

“งั้นคุณล่ะ?” หนานกงเฉินพูด:“คุณคิดว่าจะทิ้งผมแล้วไม่สนใจอย่างนี้เหรอ? ในตอนที่ผมต้องการคุณที่สุดคุณกลับไปทั้งอย่างนี้? คุณหนูเหยียน คุณคิดว่าทำแบบนี้แล้วมันดีเหรอ?”

“คุณชายเฉิน คุณอย่าพูดแบบนี้……”

“ไม่งั้นผมต้องพูดแบบไหน?” หนานกงเฉินพูดอย่างโมโห:“พูดว่าคุณเคารพทำตามคำสั่งคุณผู้หญิง? พูดว่าคุณเป็นเด็กดีเชื่อฟัง? เขาให้คุณไปก็ไปเหรอ? หรือว่าคุณรู้สึกว่าคนที่เป็นหัวหน้าในบริษัทผมไม่มีความสามารถในการรั้งเลขาให้อยู่ต่อ?”

เลขาเหยียนจ้องเขา ผ่านไปสักพักถึงจะส่ายหน้า:“คุณชายเฉิน ฉันลาออกด้วยความสมัครใจของตัวเองจริงๆ คุณผู้หญิงพูดถูก ผู้หญิงที่อายุเยอะแบบฉันควรจะลาออกจากงาน หาคนที่ดูพึ่งพิงได้แล้วแต่งงานมีลูก”

“คุณต้องการแต่งงานมีลูกไม่ใช่ว่าไม่ได้ รอคุณหาคนรักเจอผมก็จะปล่อยคุณไปแต่งงานเอง” หนานกงเฉินพูดด้วยท่าทางเคร่งขรึม:“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป รีบกลับไปทำงานที่บริษัทซะ”

“ไม่ค่ะ” เลขาเหยียนส่ายหน้า:“คุณชายเฉิน ในเมื่อตัดสินใจแล้ว ฉันจะไม่กลับไปอีกแล้ว อย่าทำให้ฉันลำบากใจได้ไหมคะ? ฉันรู้ว่าตอนนี้คุณกำลังลำบาก แต่คุณวางใจได้ ต่อไปถึงแม้ว่าฉันจะไม่สนเรื่องในบริษัทแล้ว แต่เรื่องส่วนตัวของคุณฉันจะช่วยให้ถึงที่สุดค่ะ ช่วยจนคุณกับไป๋มู่ชิงกลับมาเป็นคู่รักกันเหมือนแต่ก่อน”

“ต้องกลายเป็นแบบนี้จริงๆเหรอ?”

“คุณชายเฉิน ไม่จำเป็นต้องทะเลาะกับคนในครอบครัวเพราะฉันหรอกค่ะ”

“ถ้าคุณเป็นกังวลเรื่องคุณย่าล่ะก็ วางใจเถอะ เรื่องแค่นี้ผมพูดกับท่านได้”

“คุณชายเฉิน ฉันบอกแล้วไงคะ ฉันเต็มใจที่จะลาออกเอง” เลขาเหยียนคิด:“หรือไม่ก็เอาอย่างนี้ไหมคะ? เรื่องงานมอบหมายให้เลขาหลินดีแล้ว ส่วนเรื่องอื่นก็มอบหมายให้ฉัน คุณก็จ่ายเงินเดือนให้ฉันต่อไป รอให้ระหว่างคุณกับไป๋มู่ชิงจัดการเรียบร้อย ฉันค่อยไปจากคุณ”

หนานกงเฉินเห็นว่าเธอตัดสินใจว่าจะไปแล้ว รู้ว่าตัวเองจะพูดอะไรต่อก็คงไม่มีประโยชน์ เขาถอนหายใจ ฝืนยิ้มให้เธอ:“มู่ชิงเป็นคนรักในชีวิตที่ผมไม่สามารถแยกจากเขาได้ คุณเป็นเพื่อนร่วมงานที่ผมไม่สามารถแยกจากคุณได้เช่นกัน แต่พวกคุณต่างก็เลือกที่จะแยกจากผมไป ผมนี่เป็นตัวทำลายจิตใจผู้หญิงจริงๆ!”

“คุณชายเฉิน คุณอย่าพูดแบบนี้ ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วคุณหนูไป๋ก็ต้องกลับมาอยู่ข้างคุณอยู่ดี ส่วนเรื่องเพื่อนร่วมงานนั้น……ในอาชีพงานไม่ใช่ว่าคลื่นลูกเก่าไปคลื่นลูกใหม่มาเหรอคะ ไม่นานคุณก็สามารถฝึกเลขาคนใหม่ออกมาได้ยอดเยี่ยมกว่าฉันแน่นอนค่ะ”

“การจากไปของคุณ เกี่ยวข้องกับจูจูใช่ไหม?” จู่ๆหนานกงเฉินก็ถามขึ้นมา

จู่ๆเขาก็นึกถึงคำพูดของเลขาเหยียนวันนั้นที่พูดที่คฤหาสน์เล็ก ที่แท้ตอนนั้นเธอเตรียมตัวที่จะลาออกแล้ว ตอนนั้นเลขาเหยียนยังเคยแอบเตือนเขาให้ระวังจูจูเอาไว้

จูจูไม่ใช่คนดี ข้อนี้เขารู้สึกได้ตั้งแต่ตอนนั้นที่เธอวางแผนทำร้ายมู่ชิงที่คฤหาสน์เล็ก เขาแค่ไม่รู้ว่าเธอเลวถึงขั้นไหนกันแน่ และไม่อยากที่จะถามเจาะลึกปัญหานี้

ตั้งแต่แรกจนจบ เขามีความหวังกับเธอมาตลอด เขาหวังว่าจูจูในตอนนี้ยังเหลือจิตใจที่ดีงามอย่างที่ในตอนเด็กเคยมี ต่อให้เหลือน้อยนิดก็ยังดี

เลขาเหยียนตกใจนิดหน่อย แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่ชอบนินทาคนอื่นลับหลัง ในเมื่อตัดสินใจออกไปแล้ว เธอก็จะไม่โทษใครอีก ความจริงเมื่อตอนนั้นที่ตัดสินใจช่วยหนานกงเฉินจัดการข่าวลือไม่ดีที่แพร่ออกไป เธอก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าจะเกิดผลลัพธ์แบบนี้ตามมา

“คุณชายเฉิน ยังไงซะจูจูก็เป็นภรรยาของคุณ เธอไม่ยอมฉันเป็นอาการปกติของผู้หญิง คุณไม่จำเป็นต้องไปตำหนิเธอ ยังจำเรื่องของคุณหนูอีตอนนั้นได้ไหมคะ? ยิ่งคุณอยากปกป้องเธอ เธอก็ยิ่งอันตราย” เลขาเหยียนยิ้มอย่างหมดหนทาง:“เพราะฉะนั้น……เพื่อให้ฉันต่อไปได้ใช้ชีวิตแต่ละวันอย่างสงบ คุณก็ไม่ต้องตามตามสืบเรื่องนี้แล้ว”

“ยังไงซะคุณคงไม่อยากกลับมาทำงานสินะ” หนานกงเฉินเหลือบมองเธอ

“ขอโทษค่ะ” เลขาเหยียนพูดอย่างรู้สึกผิด

ถึงแม้ว่าเลขาเหยียนจะไม่อยากให้หนานกงเฉินตามสืบเรื่องนี้ แต่เขาก็ไม่สามารถแกล้งทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นไม่ได้

ตอนบ่ายเขากลับมาที่บ้าน พูดอย่างตรงไปตรงมา:“คุณย่า ได้ยินมาว่าคุณย่าเป็นคนไล่เลขาเหยียนออกเหรอครับ?”

“เฉิน หน้าของคุณไปโดนอะไรมา?” จูจูถามอย่างเป็นห่วง สังเกตรอยที่ได้รับบาดเจ็บบนหน้าเขา

คุณผู้หญิงก็ถูกหน้าของเขาทำให้ตกใจเช่นกัน แล้วรีบถามต่อ:“ไปมีเรื่องมาเหรอ?”

“ผมถามคุณย่าว่าทำไมถึงต้องไล่เลขาเหยียนออก” หนานกงเฉินไม่ได้สนใจความเป็นห่วงเป็นใยของพวกเขา ถึงขนาดว่าผลักมือทั้งสองของจูจูบนไหล่ของตัวเองลงไปอย่างไม่เกรงใจ

“ยังต้องถามอีกเหรอ? ช่วงนี้แกไปอยู่ที่ไหนมา? หรือว่าไม่ใช่เพราะไปอยู่กับมันงั้นเหรอ?”

“ไม่ใช่แน่นอนครับ”

“งั้นใคร? แกบอกฉันมาสิ”

“คุณย่า คุณย่าก็รู้ว่าเลขาเหยียนเป็นผู้ช่วยของผมที่ทำงานดีที่สุด ถึงแม้ว่าผมจะอยู่กับเธอจริง คุณย่าก็ไม่จำเป็นต้องไล่เธอออกนี่? คุณย่าเอาคนของผมออกไปแล้ว ผมจะไปหาเลขาที่ไหนที่จะเข้าขาได้ดีกับผมเหมือนเธอล่ะครับ?”

คุณผู้หญิงไม่เห็นว่าเป็นอย่างนั้น:“บริษัทหนานกงกรุ๊ปใหญ่ขนาดนั้น ฉันไม่เชื่อหรอกว่าขาดมันคนเดียวแล้วบริษัทจะไปต่อไม่ได้”

“คุณย่า……”

“ทำไม? ตำแหน่งคุณผู้หญิงของตระกูลหนานกง แม้แต่สิทธิ์ในการไล่เลขาออกก็ไม่มีงั้นเหรอ?”

“’งั้นผมล่ะ? ตำแหน่งประธานของบริษัทหนานกงกรุ๊ป แม้แต่สิทธิ์ในการให้เลขาอยู่ต่อผมก็ไม่มีเลยเหรอ?”

“ฉันทำไปก็เพื่อความปรองดองในครอบครัว” คุณผู้หญิงพูดอย่างโมโห:“แกนับดูสิว่ากี่วันที่แกไม่ได้กลับบ้าน บ้านนี้แกยังต้องการอยู่ไหม?”

“ผมบอกแล้วว่านี่ไม่เกี่ยวข้องกับเลขาเหยียน”

“ทั้งบริษัทต่างก็รู้ความสัมพันธ์ของพวกแก แกยังจะมาโกหกฉันอีก?”

“คุณย่า……” จูจูเปลี่ยนไปคล้องแขนคุณผู้หญิงแล้วพูดปลอบโยน:“คุณย่าอย่าทะเลาะกับเฉินเลยค่ะ โทษที่หนูไม่ดี ที่หนูไม่มีความสามารถมากพอที่จะรั้งใจของเฉินไว้ ไม่งั้น……!”

“จูจู!คุณพอสักที!” หนานกงเฉินหันไปทางเธออย่างรวดเร็ว ยกมือขึ้น ไปบีบลำคอที่เนียนละเอียดของเธอ

จูจูถูกเขาทำให้ตกใจ ถอยหลังไปหนึ่งก้าวตามสัญชาตญาณ มือของหนานกงเฉินบีบแน่นขึ้น สายตาที่จ้องเธอค่อยๆเย็นชา:“คุณรู้ไหมว่าตอนนี้ผมรังเกียจคุณมากแค่ไหน อยากจะบีบคุณให้ตายมากแค่ไหน?”

มือของเขาบีบแน่นขึ้นเรื่อยๆ จู่ๆสมองเขาก็ฉุกคิดขึ้นมา

เฉียวเฟิงบอกว่าขอแค่เขาฆ่าจูจูซะ ก็จะคืนมู่ชิงให้กับเขา ขนาดตอนเขาฝันเขายังอยากให้มู่ชิงกลับมาอยู่ข้างกายเขา……

ถ้าเขาบีบคอเธอตายไปแบบนี้ มู่ชิงก็จะกลับมาอยู่ข้างกายเขาใช่ไหม? ใช่หรือเปล่า?

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท