เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 210 บทที่สำคัญ 1

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ปีนั้นลูกของไป๋มู่ชิงถูกสลับตัวไปอย่างปริศนา ตอนนั้นเธอคาดเดาว่าผู้บงการที่อยู่เบื้องหลังคือหลินอันหนาน ครั้นไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นพี่น้องของตระกูลเฉียว ก็จริง เนื่องจากตอนนั้นไป๋มู่ชิงคลอดลูก ณ โรงพยาบาลเฉียว นอกจากเฉียวซือเหิงแล้วใครจะมีความสามารถมากเพียงพอที่จะสลับลูกของเธออย่างแยบยลเช่นนี้ได้ ? เพียงแค่จุดประสงค์ที่เฉียวซือเหิงกระทำเช่นนั้นคืออันใดกัน ? จนถึงทุกวันนี้เธอก็ยังเดาไม่ออก

ผู่เหลียนเหยายิ้มพร้อมพูดขึ้นว่า : “ถ้าฉันเป็นพี่นะจะรีบเผารายงานการสืบพยานทิ้งซะ หรือว่าพี่อยากให้คนบ้านตระกูลหนานกงเห็นงั้นเหรอ ?”

จูจูรีบชักรายงานการสืบพยานกลับคืนมาอย่างเร็วไว จากนั้นก็ฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วโยนทิ้งใส่ถังขยะ จากนั้นก็มองหน้าเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา

“คิดไม่ถึงว่าดวงชะตาของไป๋มู่ชิงจะแข็งแบบนี้ รถถูกชนจนกลายเป็นสภาพนั้นไปแล้วยังมีชีวิตรอดมาได้อีก” ผู่เหลียนเหยาถอนหายใจออกมาอย่างเอือมละอา : “เรื่องแบบนี้มันจัดการยากจริง ๆ ฉันไม่รู้เหมือนกัน”

“เหลียนเหยา เธอจะต้องช่วยฉันนะ” จูจูกุมมือของเธอเอาไว้พร้อมกล่าวด้วยสีหน้าที่อ้อนวอน : “ไม่อย่างนั้นถ้าความทรงจำของไป๋มู่ชิงมันกลับมา ฉันซวยแน่”

“พี่สะใภ้ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากช่วยพี่นะ……แต่ว่าตอนนี้พี่หนานกงเขาเริ่มสงสัยตัวพี่แล้วน่ะสิ ถ้าตอนนี้พี่ทำอะไรอีกละก็ พี่เขาต้องบีบคอพี่ตายแน่นอนเลย” ผู่เหลียนเหยาพูดจบ จึงรีบกลับคำพูดทันที : “แน่นอนว่าเขาคงไม่บีบคอพี่ตายจริง ๆ หรอก เพราะคุณย่าไม่อนุญาต มีคุณย่าหนุนหลังพี่อยู่เขาก็คงไม่หย่ากับพี่หรอกค่ะ แต่เขาจะเกลียดพี่มากและคงไม่มองหน้าพี่ไปทั้งชาติ”

ผลลัพธ์เช่นนี้จูจูเคยคิดเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว ทว่าคราวนี้หนานกงเฉินเกลียดเธอเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ไม่แม้แต่จะชายตามองเธอสักครั้งเลยไม่ใช่หรืออย่างไร ?

ตราบใดที่เธอยังถือครองสถานะคู่ครองฟ้าลิขิตอยู่ คุณผู้หญิงจะปกป้องสิทธิการเป็นคู่แต่งงานและความปลอดภัยของเธอแน่นอน ทว่าหากวันดีคืนดีความทรงจำของไป๋มู่ชิงฟื้นกลับมาและพูดความจริงทุกประการออกมา วันนั้นคงเป็นวันตายของเธอสินะ !

เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่สามารถยอมให้ไป๋มู่ชิงมีชีวิตต่อไปได้ ไม่ยอมเด็ดขาด……

เมื่อเช้าตรู่ หนานกงเฉินมาที่บริษัท เลขาหลินได้บอกกับทุกคนว่าให้มารอเขาในห้องประชุมเรียบร้อยแล้ว

เขายังไม่ทันได้เปิดคอมพิวเตอร์ด้วยซ้ำ ก็รีบบึ่งมาเข้าร่วมประชุมที่ห้องประชุมทันที

ขณะที่งานประชุมดำเนินมาครึ่งทางแล้วนั้น อยู่ ๆ ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน ผอ.ฟู่ก็เป็นลมล้มลงภายในห้องประชุม ทุกคนต่างก็ตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง จากนั้นก็เร่งรีบพาเขาไปส่งโรงพยาบาลทันที

สถานการณ์ฉุกเฉินนี้ส่งผลให้การประชุมต้องหยุดลงกลางคัน เวลาต่อมาไม่นานทางโรงพยาบาลก็ส่งข่าวสารกลับมาบอกว่าผอ.ฟู่เลือดไปเลี้ยงสมองไม่ทันจนทำให้หน้ามืดเป็นลมไป อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหลอดเลือดสมองอีกด้วย

ขณะที่การประชุมภาคบ่ายสิ้นสุดลงแล้วนั้น หนานกงเฉินกวาดสายตามองผู้บริหารระดับสูงที่นั่งอยู่ภายในห้องประชุมทุกท่าน สุดท้ายก็เคลื่อนสายตามาอยู่ที่เซิ่งเคอพลางกล่าวขึ้นว่า : “เซิ่งเคองานของผอ.ฟู่นายรับช่วงต่อไปก่อนชั่วคราว ฉันจะให้คนทางฝ่ายการเงินให้ความร่วมมือนายอย่างเต็มที่ ”

“ครับ” เซิ่งเคอพยักหน้า

“แยกย้ายกันได้” หนานกงเฉินกล่าว

เวลาต่อมาทุกคนก็ทยอยกันออกจากห้องประชุมไปตาม ๆ กัน หนานกงเฉินยังคงนั่งพลิกดูเอกสารบนที่นั่งประธานอยู่เหมือนเดิม เลขาหลินเดินเข้ามาแล้วรายงานเขาว่า : “คุณชายใหญ่ คุณผู้หญิงมาค่ะ”

“คุณย่ามาทำอะไร ?”

“ไม่ทราบค่ะคุณผู้หญิงไม่ได้บอกไว้”

หนานกงเฉินปิดเอกสารในมือจากนั้นก็เงยหน้ามองเลขาหลินพลางพูดขึ้นว่า : “เธอไปดูผอ.ฟู่ที่โรงพยาบาลนะ บอกให้เขานอนพักผ่อนที่โรงพยาบาลอีกวันสองวัน ค่าใช้จ่ายฉันจ่ายเอง”

“เข้าใจแล้วค่ะคุณชายเฉิน” เลขาหลินพยักหน้า

หนานกงเฉินเดินกลับห้องทำงาน เมื่อคุณผู้หญิงเห็นเขาเดินเข้ามาแล้ว จึงถามขึ้นทันควัน : “ย่าได้ยินข่าวว่าเหล่าฟู่เป็นลมและเป็นโรคหลอดเลือดสมองงั้นเหรอ ?”

“ครับคุณย่า ผมให้เซิ่งเคอรับงานต่อจากเขาแล้วครับ” หนานกงเฉินนำเอกสารวางกลับบนโต๊ะ จากนั้นก็มองหน้าเธอแล้วถามว่า : “คุณย่าทำไมออกมาคนเดียวครับ ?”

ที่ผ่านมาข้างกายของเธอมักจะมีจูจูเดินตามด้วย ครั้นวันนี้กลับไม่เห็นเงาของจูจู

“ย่าออกมาเดินเล่นด้านนอกและถือโอกาสมาพาแกกลับบ้านด้วย”

“คุณย่า……”

“อย่าบอกว่าแกจะต้องทำโอทีนะ และอย่าบอกว่าไม่อยากกลับด้วย วันนี้ย่ามาหาแกถึงที่ แกลองพูดว่า ‘ไม่’ ดูสิ”

หนานกงเฉินเอือมละอา ทำได้เพียงหันหลังไปมอบหมายงานที่เหลือให้กับเลขาหลิน

ตั้งแต่ที่ไป๋มู่ชิงไม่ได้ไปทำงาน เธอก็จะไปรับหว่านชิงที่โรงเรียนอนุบาลคนเดียวจากนั้นก็จะพาหว่านชิงไปรับเฉียวเฟิงที่ร้านอาหาร โดยปฏิบัติเช่นนี้อยู่เรื่อยมา

วันนี้ก็เป็นดั่งทุกวัน เธออยู่เป็นเพื่อนเสียวหว่านชิงฝึกซ้อมเป็นพิธีกรตัวน้อยในห้องเรียนเป็นเวลา 20 นาทีก่อนแล้วค่อยออกจากโรงเรียนอนุบาล

ตำแหน่งที่ตั้งของโรงเรียนอนุบาลแห่งนี้อยู่บริเวณริมขอบของพื้นที่แห่งหนึ่ง เมื่อถึงเวลาเลิกเรียนและเด็ก ๆ กลับบ้านจนเกลี้ยงแล้ว บริเวณรอบ ๆ ก็จะเริ่มเงียบสงัดลง ไป๋มู่ชิงจูงมือเสียวหว่านชิงพร้อมท่องบทพิธีกรที่คุณครูเพิ่งสอนเมื่อสักครู่ไปด้วย และเดินไปทางประตูทางเข้าไปด้วย

ไป๋มู่ชิงยิ้มพลางถามขึ้นว่า : “หว่านชิงชอบเป็นพิธีกรไหมคะ ?”

“ชอบสิคะ” เสียวหว่านชิงพยักหน้า : “ครูฟางบอกว่าหนูพูดเก่งมากเลยค่ะ”

“แม่ก็คิดว่าหนูพูดเก่งมากเหมือนกันจ้ะ !”

รถจอดอยู่ ณ มุมทางเลี้ยวประตูข้างของโรงเรียนอนุบาล สองแม่ลูกเดินมาหยุดอยู่ข้าง ๆ ตัวรถ ไป๋มู่ชิงควักกุญแจออกมาจากกระเป๋าแล้วเปิดประตูรถ ทันใดนั้นเองด้านข้างก็มีเสียงกรีดร้องของเสียวหว่านชิงดังขึ้นมา : “คุณแม่ขา–!”

เธอหันควับไปโดยสันชาตญาณทันที และเห็นผู้ชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังอุ้มเสียวหว่านชิงยัดเข้าไปในรถตู้คันหนึ่ง เธอตกใจกับเหตุการณ์เบื้องหน้า ต่อมาก็เรียกสติกลับคืนเร็วไวแล้ววิ่งพุ่งเข้าไปทันที : “พวกแกจะทำอะไรน่ะ ? หว่านชิง ! รีบคืนหว่านชิงมาให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ……!”

เธอพุ่งเข้าไปหมายจะแย่งลูกสาวคืนมา ครั้นชายหนุ่มผู้หนึ่งได้พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มอย่างโหดเหี้ยมว่า : “คุณชื่อคุณหนูอีใช่ไหม ? รบกวนขึ้นรถมาอย่างว่าง่ายหน่อยนะ” ระหว่างที่พูดอยู่นั้น สองแขนของเธอถูกชายผู้นั้นจับไว้แน่น จากนั้นก็ถูกผลักเข้ารถไปพร้อมกับเสียวหว่านชิง

ผู้ชายสองคนตามขึ้นรถไป จากนั้นรถก็สตาร์ทแล้วออกตัวอย่างรวดเร็ว

ไป๋มู่ชิงเสียขวัญเป็นอย่างยิ่งกับเหตุการณ์นี้ เธอดิ้นขัดขืนไปพร้อมกรีดร้องไป : “พวกแกจะทำอะไร ? ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ !”

“ทำอะไรน่ะเหรอ ? แน่นอนว่าจะเอาชีวิตคุณยังไงล่ะ !” ชายผู้นั้นหัวเราะหึหึ พร้อมกล่าวว่า : “คุณหนูอี ถ้าคุณไม่เชื่อฟังฉันจะฆ่าลูกสาวของคุณเดี๋ยวนี้”

“แกลองดูสิ……!” ไป๋มู่ชิงตื่นตกใจเป็นอย่างยิ่ง ตอนแรกเธอคิดว่าพวกเขาอาจเป็นคนที่หนานกงเฉินส่งมา ทว่าเมื่อมองดูจากตอนนี้แล้วไม่ใช่โดยสิ้นเชิง เนื่องจากหนานกงเฉินไม่มีทางที่จะรุนแรงกับเธอเช่นนี้ และไม่มีทางทำร้ายเธอกับหว่านชิงด้วย !

ชายผู้นั้นไม่สนใจการดิ้นรนขัดขืนของเธอ เขาใช้เชือกมัดสองขาของเธอเอาไว้ด้วยความเร็ว

“คุณแม่……” หว่านชิงตื่นตระหนกตกใจจนปล่อยโฮออกมา จากนั้นชายผู้นั้นก็รีบใช้เทปปิดปากเล็ก ๆ ของเธอเอาไว้ทันที

ไป๋มู่ชิงตบมือของชายผู้นั้นออก จากนั้นก็โผเข้ากอดเสียวหว่านชิงที่กำลังดิ้นไปมาอยู่ พลางลูบเส้นผมของเธอแล้วกระซิบข้างใบหูด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือว่า : “ลูกรักไม่ต้องกลัวนะ ยังจำที่คุณครูสอนได้ไหมคะ ? ถ้าเจอคนร้ายจะต้องใจเย็น ๆ ต้องคิดว่าวิธีหนีออกมาถูกต้องไหมคะ ?”

ความจริงแล้วเธอก็หวาดกลัวเป็นอย่างมากเช่นเดียวกัน จนไม่สามารถที่จะใจเย็นได้เลย เธอบังคับให้ตนเองสงบจิตสงบใจ จากนั้นก็กดเสียงเบาพูดว่า : “อีกสักครู่แม่จะผลักหนูลงรถไป หนูจะต้องวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตเลยนะคะ ไม่ต้องสนใจแม่ จากนั้นก็ไปหาคุณลุงตำรวจให้มาช่วยคุณแม่ โอเคไหมคะ”

“หยุดพูดนะ !” ชายผู้นั้นใช้เทปอีกอันปิดปากของไป๋มู่ชิงเอาไว้ จากนั้นก็กล่าวขึ้นด้วยความเหี้ยมโหด : “ยื่นมือออกมาเดี๋ยวนี้ !”

ไป๋มู่ชิงฉวยโอกาศตอนที่เขาไม่ทันระวังควักสเปรย์พริกไทยออกมาจากกระเป๋าโดยเร็ว จากนั้นก็ฉีดพ่อใส่ตาของชายสองคนนั้นรัว ๆ

“อ๊าก –!” เสียงครวญครางอันเจ็บปวดดังลั่นอยู่ในรถ

“นังตัวดี ! กล้าเอาคืนพวกเรางั้นเหรอ ?” ชายผู้หนึ่งกระชากผมของไป๋มู่ชิงแน่นจากนั้นก็เขกเข้ากับประตู

ไป๋มู่ชิงเจ็บจนร้องครวญครางออกมา ครั้นในเวลานี้เธอไม่มีเวลามาสนใจบาดแผลของตนแล้ว เธอรวบรวมสติแล้วลากประตูเปิดออก จากนั้นก็ถือโอกาสตอนที่รถชะลอความเร็วผลักเสียวหว่านชิงลงไปทันทีอย่างรวดเร็ว

เสียวหว่านชิงล้มเกลือกกลิ้งอยู่ข้างถนน

เมื่อชายสองคนนั้นเห็นว่าไป๋มู่ชิงกำลังจะหนีไป จึงกระชากแขนของเธอกลับคืนมาทันที : “อย่าหนีนะ……!” จากนั้นก็ปิดประตูรถอย่างเร็วไว

“ฮือ……ฮือ……!” ไป๋มู่ชิงมองเสียวหว่านชิงที่ล้มคะมำอยู่ข้างทางผ่านหน้าต่าง ถึงแม้ว่าเบื้องหน้าจะเป็นไฟแดงจึงทำให้รถขับไม่เร็วนัก ทว่าเด็กยังคงตกใจกับการกระทำของตนเองอยู่ดี เธอไม่รู้ว่าเสียวหว่านชิงเป็นอย่างไรบ้าง เธอเป็นห่วงว่าเธอจะล้มจนได้รับบาดเจ็บ น้ำตาจึงพรั่งพรูออกมาโดยอัตโนมัติ

“นั่งตัวดี ถ้ายังกล้าคิดหนีอีกฉันเอาแกตายแน่ !” ชายผู้นั้นพูดขู่เธอไปพร้อมใช้เชือกมัดสองขาของไป๋มู่ชิงเอาไว้

ไป๋มู่ชิงขัดขืนไปพร้อมร้องไห้โฮออกมา ความหวาดกลัวที่ไม่เคยมีมาก่อนเข้ามารุมเร้าเธอ……

เธอไม่ทราบว่าเหตุใดพวกเขาจึงจับตัวเธอมา แถมยังกระทำกับเธอและเสียวหว่านชิงอย่างรุนแรงเช่นนี้

“เอายังไง ? จะกลับไปจับเด็กนั่นกลับมาไหม ?” คนขับรถที่อยู่ด้านหน้ากล่าวขึ้นด้วยความร้อนรนใจ

“ตรงนี้ย้อนศรไม่ได้ อีกอย่างถ้าเจอกลุ่มคนที่ชอบยุ่งเรื่องคนอื่นขึ้นมาพวกเราไม่จบเห่กันพอดีเหรอ ? นายรีบโทรบอกให้เหล่าเจิ้นไปจับเด็กคนนั้นกลับมาเร็วเข้า” ชายผู้หนึ่งใช้น้ำแร่ชำระล้างดวงตาของตนเอง พร้อมทั้งพูดสบถด้วยความโมโหจัด : “บัดซบเอ๊ย แสบชะมัด”

เมื่อไป๋มู่ชิงได้ยินว่าพวกเขาจะโทรบอกให้ผู้อื่นไปจับหว่านชิง จึงร้องสะอึกสะอื้นขึ้นมาอย่างร้อนรนใจ

“ร้องอะไร หุบปากเดี๋ยวนี้ !” ชายผู้ที่ถูกเธอพ่นสเปรย์พริกไทยใส่ตบไปยังใบหน้าของเธอด้วยความโมโห

คุณผู้หญิงกวาดสายตามองเส้นทางที่ไม่คุ้นชิน จากนั้นก็ถามขึ้นมาทันที : “เฉินทำไมมาเส้นทางนี้ล่ะ ?”

อยู่ ๆ หนานกงเฉินก็เพิ่งสังเกตเห็นว่าตนได้ขับรถอ้อมเป็นระยะทางไกลพอสมควร จึงได้ตอบว่า : “ชินแล้วครับ”

ถนนเส้นนี้มุ่งตรงไปยังโรงเรียนอนุบาลอ้ายเป่า จากโรงเรียนอนุบาลกลับบ้านตระกูลหนานกงจะต้องอ้อมเป็นระยะทางราว ๆ สี่ถึงห้ากิโลเมตร ทว่าเขายังคงขับรถอ้อมมาทางนี้ทุกครั้งไม่ว่าจะเป็นกลับคฤหาสน์หลังเก่าหรือกลับคอนโด

เวลานี้โรงเรียนอนุบาลเลิกเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เสียวหว่านชิงก็น่าจะกลับบ้านไปตั้งนานแล้วเช่นกัน ทว่าเขายังคงขับรถมาเส้นทางนี้ด้วยสันชาตญาณตนเองเช่นเคย

“เอ๊ะ ด้านหน้าใช่มีคนลักพาตัวเด็กหรือเปล่านั่น ?” อยู่ ๆ คุณผู้หญิงก็พูดขึ้นมา

“ดูเหมือนจะใช่เลยนะคะ” พี่เหอกล่าว

หนานกงเฉินมองออกไปนอกหน้าต่าง และมองเห็นชายผู้หนึ่งกำลังวิ่งไล่ตามเด็กผู้หญิงอยู่ อีกทั้งเงาหลังของเด็กผู้นั้นยิ่งมองก็ยิ่งคุ้นตา

“หว่านชิง ?” หนานกงเฉินพูดขึ้นมาเสียงเบา จากนั้นก็เหยียบคันเร่งบึ่งรถไปหยุดอยู่ข้างทางเบื้องหน้าที่เด็กผู้หญิงคนนั้นวิ่งอยู่

“เฉิน จะทำอะไรน่ะ ?” คุณผู้หญิงรับรู้ได้ว่าหนานกงเฉินกำลังจะลงรถ จึงพูดขึ้นทันควัน : “ย่าพูดไปงั้นแหละ กลางวันแสก ๆ แบบนี้จะมีคนลักพาตัวเด็กได้ยังไงกัน ? พวกเขาอาจจะเป็นพ่อลูกกันก็ได้ ไม่ต้องสนใจหรอก……”

คุณผู้หญิงยังไม่ทันได้พูดจบ หนานกงเฉินก็ได้ผลักประตูรถแล้วพุ่งออกไปเสียแล้ว

“เฉิน ระวังตัวด้วยนะ……” เธอตะโกนตามหลังหนานกงเฉินไป จากนั้นก็หันหน้ามาพูดกับพี่เหอว่า : “เร็วเข้า รีบโทรแจ้งตำรวจเดี๋ยวนี้”

“ค่ะ ได้เลยค่ะ” พี่เหอรีบหยิบโทรศัพท์ออกจากกระเป๋าแล้วโทรหาตำรวจด้วยความตื่นตระหนก

เสียวหว่านชิงวิ่งอยู่บนทางเดินพร้อมร้องไห้โฮไปด้วยตะโกนขอความช่วยเหลือไปด้วย ชายแปลกหน้าผู้ที่อยู่ด้านหลังจึงตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า : “นังหนู ! ถ้ายังวิ่งอีกกลับบ้านไปฉันจะตีขาให้ขาดเลยคอยดู หยุดเดี๋ยวนี้นะ……หยุดได้ยินหรือเปล่า ? !”

คนที่ผ่านไปผ่านมาต่างก็คิดว่าคุณพ่อกำลังสั่งสอนลูกสาวอยู่ พวกเขาชายตามองครั้นไม่มีใครมาสนใจ

ถึงอย่างไรเสียวหว่านชิงก็ตัวเล็กกว่า วิ่งอย่างไรก็ไม่ทันเขา ไม่ทันได้วิ่งนานก็ถูกเขาจับได้เสียแล้ว จากนั้นก็มีรถตู้คันใหญ่ค่อย ๆ เคลื่อนมาจอดข้าง ๆ ทั้งสองคน

“ปล่อยนะ ! พวกคนเลว –!” เสียวหว่านชิงดิ้นไปมาเพื่อขัดขืน พร้อมทั้งร้องไห้โฮ

“เด็กดี เลิกโวยวายได้แล้ว พรุ่งนี้พ่อจะพาหนูไปโอเชี่ยนปาร์ค” ชายผู้นั้นกำลังจะอุ้มเสียวหว่านชิงขึ้นรถ ทันใดนั้นก็ถูกชกเข้าหน้าอย่างจังด้วยความรุนแรง

เขาถูกชกหน้าจนมึนหัวไปชั่วขณะ เมื่อกระพริบตาดู จึงมองเห็นหนานกงเฉินและเห็นมืออันว่างเปล่าของตนเอง จึงพูดขึ้นด้วยความโมโหว่า : “แกเป็นใครฮะ ? ฉันสั่งสอนลูกสาวแกจะมายุ่งทำไม ? เฮ้ –!”

หนานกงเฉินชกหน้าเขาไปอีกหนึ่งหมัดอย่างแรง

“แก……”

“เธอยังเป็นลูกสาวแกอยู่ไหม ?” หนานกงเฉินชกเข้าไปอีกหมัด คราวนี้ฝ่ายนั้นมีการเตรียมตัว จึงหลบทัน

“ลุงเฉิน……” เมื่อเสียวหว่านชิงมองเห็นหนานกงเฉิน จึงร้องไห้ขึ้นเสียงดังกว่าเดิม

ชายแปลกหน้าผู้นั้นเมื่อได้ยินว่าเสียวหว่านชิงรู้จักกับหนานกงเฉิน จึงทราบว่าตนเกิดปัญหาใหญ่แล้วดังนั้นเขาจึงหันหลังพุ่งไปยังรถที่จอดอยู่ข้าง ๆ

เดิมทีหนานกงเฉินอยากอยู่ปลอบใจเสียวหว่านชิงเสียก่อน ครั้นเมื่อเห็นเขากำลังจะหนีไป จึงคว้าขอเสื้อด้านหลังของเขาไว้แล้วเตะขาเขาล้มลงบนพื้น จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา : “แกลองขยับอีกสิ !”

“ขอโทษครับ เมื่อกี้ผมจำคนผิดไป ขอโทษครับ……ผมผิดไปแล้ว……” ชายแปลกหน้ากล่าวขอโทษกับเขาไป พลางขยับถอยไปข้างหลังทีละนิด หมายจะวิ่งหนีขึ้นรถตู้เอาตัวรอด

หนานกงเฉินไม่มีทางเชื่อว่าเขาจำคนผิด จึงเตะขาเขาล้มลงบนพื้นอีกครั้ง

จากนั้นก็มีเสียงไซเรนของรถตำรวจดังเข้ามาจากไกล ๆ เมื่อคนขับรถตู้ได้ยินเสียงไซเรนรถตำรวจแล้ว จึงเหยียบคันเร่งอย่างแรงเพื่อหนีเอาตัวรอด

และเมื่อผู้ชายที่นอนอยู่บนพื้นได้ยินเสียงไซเรนตำรวจจึงตกใจหน้าตื่นทันที เขากล่าวขอโทษยอมรับผิดกับหนานกงเฉินไม่หยุด หนานกงเฉินไม่มีอารมณ์ไปสนใจเขา ครั้นได้นั่งยองยองลงเบื้องหน้าเสียวหว่านชิงจากนั้นก็มองสำรวจร่างกายเธอ เขามองไปยังรอยแผลที่อยู่บนหน้าผากของเธอจึงกล่าวขึ้นด้วยความสงสารว่า : “หว่านชิง เป็นอะไรเหรอคะ ? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว ?”

“คุณแม่ถูกคนร้ายจับตัวไปแล้วค่ะ……ลุงเฉินคะ……ขอร้องคุณลุงรีบไปช่วยแม่หนูด้วยเถอะนะคะ……” เสียวหว่านชิงใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาบนใบหน้าตนเองไป พร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น

เมื่อได้ยินว่าไป๋มู่ชิงถูกคนร้ายจับตัวไป หนานกงเฉินจึงถามด้วยความตกตะลึงทันที : “หนูว่าอะไรนะ ? คุณแม่ถูกคนร้ายจับตัวไปงั้นเหรอ ?”

เสียวหว่านชิงร้องไห้พลางพยักหน้าไป : “พวกมันบอกว่าจะฆ่าหนูกับคุณแม่ คุณแม่ผลักหนูลงรถ……แต่ว่าคุณแม่ถูกคนร้ายจับไปแล้วค่ะ”

หนานกงเฉินสมองว่างเปล่าในทันที

ไป๋มู่ชิงถูกจับตัวไปงั้นหรือ ? ใครเป็นคนทำเรื่องนี้กันแน่ ?

“เกิดอะไรขึ้นครับ ?” ตำรวจสองสามนายลงจากรถและเดินเข้ามา พร้อมกวาดสายตามองทุกคน

“คุณลุงตำรวจคะ เขาคือคนเลวค่ะ……” เสียวหว่านชิงร้องไห้ไปพูดไป : “พวกมันจับแม่หนูไป……พวกลุงรีบจับเขาเร็วค่ะ……”

“ผม……ผมเปล่านะครับ คุณตำรวจพวกคุณอย่าฟังคำพูดซี้ซั้วของเธอนะครับ” ชายคนแปลกหน้ารีบกล่าวด้วยความตื่นตระหนก

เมื่อตำรวจเห็นเขาครั้งแรกก็ทราบทันทีว่าเขาดูเหมือนไม่ใช่คนดี จึงเดินหน้าไปล็อกแขนของเขาเอาไว้

หนานกงเฉินโทรหาเสี่ยวหลิน พลางอุ้มเสียวหว่านชิงกลับขึ้นรถตัวเองไป จากนั้นก็ยกเธอให้คุณผู้หญิงพร้อมพูดว่า : “คุณย่าครับ นี่คือลูกของเพื่อนผม รบกวนคุณย่าช่วยผมพาเธอกลับบ้านไปดูแลสักครู่ทีนะครับ ผมยังมีธุระต้องไปจัดการอีก”

หลังจากที่เขาพูดจบจึงได้กล่าวกับเสียวหว่านชิง : “หว่านชิง หนูกลับไปจัดการแผลกับคุณย่าท่านนี้ก่อนนะครับ ลุงเฉินจะช่วยตามหาแม่ของหนูกลับคืนมาเอง เชื่อฟังเข้าใจไหมครับ ?”

“ลุงเฉินจะช่วยแม่หนูกลับคืนมาจริง ๆ เหรอคะ ?”

“แน่นอนครับ” หนานกงเฉินกล่าวจบก็ปิดประตูรถทันที

“นี่ !” อยู่ ๆ คุณผู้หญิงก็เรียกหยุดเขาไว้จากนั้นก็ก้มหน้ามองเสียวหว่านชิง : “เฉินแกโยนเด็กดื้อนี่มาให้ฉันนี่มันอะไรกันเนี่ย ? ฉัน……”

“คุณย่า หว่านชิงไม่ดื้อเลยครับ ขอร้องด้วยนะครับ” หนานกงเฉินพูดจบก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะของเสียวหว่านชิง จากนั้นก็ปิดประตูรถแล้วเดินจากไป

หนานกงเฉินขึ้นรถตำรวจไปโรงพักพร้อมกัน เขาไม่มีความอดทนอย่างเช่นตำรวจที่สอบสวนชายผู้นั้นอย่างอดทน เมื่อขึ้นรถแล้วเขาได้พุ่งเข้าไปกระชากเสื้อของชายผู้นั้นเอาไว้แล้วพูดด้วยความเกรี้ยวกราด : “บอกมา ! ใครมันเป็นคนส่งแกมากันแน่ ? แกพาคุณหนูอีไปไหนแล้ว ?”

“ผม……ผมไม่รู้……” ชายแปลกหน้าผู้นั้นกล่าวด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือ : “ผมไม่รู้อะไรทั้งนั้น”

“แกจะไม่รู้ได้ยังไง ?” หนานกงเฉินง้างมือขึ้นหมายจะชกเขาอีก ครั้นถูกคุณตำรวจห้ามปรามไว้

“คุณชายเฉินอย่าเพิ่งใจร้อนไป” คุณตำรวจดึงหนานกงเฉินเอาไว้ จากนั้นก็หันหน้าไปหาชายแปลกหน้าผู้นั้น : “ถ้างั้นตอนนี้เพื่อนคุณอยู่ที่ไหน ? ทะเบียนรถ เบอร์โทร รีบบอกมาซะ คุณน่าจะเข้าใจดีว่าแค่สารภาพความจริงมาถึงจะสามารถผ่อนผันกันได้”

ชายแปลกหน้าผู้นั้นบอกหมายเลขโทรศัพท์กับตำรวจด้วยตัวอันสั่นเทา คุณตำรวจจึงทดลองจับตำแหน่งที่ตั้งดูแต่กลับไม่มีสัญญาณ น่าจะเนื่องจากปิดเครื่องไปแล้ว

เมื่อหนานกงเฉินเห็นว่าคนที่จับได้ผู้นี้ไร้ประโยชน์ จึงทำได้เพียงขอร้องให้คุณตำรวจอย่าเพิ่งประกาศไปทั่ว ถึงอย่างไรความปลอดภัยของไป๋มู่ชิงก็เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่ง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาจูจู

ในเวลานี้จูจูที่อยู่คฤหาสน์หลังเก่ากำลังกระวนกระวายอยู่ เมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงรีบคว้าโทรศัพท์บนโซฟาขึ้นมาทันที เมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์ของหนานกงเฉิน จึงรู้สึกกังวลใจ จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกแล้วกดปุ่มรับสาย

ขณะเดียวกันที่รับสายโทรศัพท์ เธอก็ปลอบใจตัวเองอยู่ในใจว่า : หนานกงเฉินน่าจะไม่ได้รับข่าวสารที่ว่าไป๋มู่ชิงหายตัวไปเร็วขนาดนี้หรอก ไม่เร็วขนาดนี้หรอก……

จากนั้นเธอก็ต้องผิดหวังไป

คำพูดแรกที่หนานกงเฉินปริปากพูดขึ้นมาประโยคแรกคือ : “คุณหนูจู ส่งตัวคุณหนูอีคืนมาด้วยเวลาที่รวดเร็วที่สุดไม่อย่างนั้น……”

จูจูไม่รอให้เขาพูดจบ รีบโต้ตอบกลับทันควัน : “เฉิน คุณพูดอะไรของคุณคะ ? คุณหนูจูเป็นอะไรไป ?”

“เธอเลิกเสแสร้งได้แล้ว นอกจากเธอแล้วจะเป็นใครไปได้ ?” น้ำเสียงของหนานกงเฉินเย็นชา จากนั้นก็กัดฟันกรอบกล่าวขึ้นอีก : “โทรบอกพวกมันปล่อยเขาเดี๋ยวนี้ ได้ยินหรือยัง”

จูจูกระวนกระวายใจ เธอสูดหายใจเข้าลึก จากนั้นก็เริ่มปลอบใจตนเอง อย่าเกรงกลัวเขา ตราบใดที่มีคุณผู้หญิงอยู่ด้วย เขาไม่มีทางทำอะไรกับเธอได้ ทว่าถ้าหากไป๋มู่ชิงตายไป ผู้ที่จะตายตามก็คงเป็นตัวเธอ ทว่าโอกาสดีเช่นนี้ต่อให้หนานกงเฉินใช้ปืนจี้ไว้บนหัวเธอก็ตาม เธอไม่ยอมอ่อนข้อให้เด็ดขาด ไม่ยอมเด็ดขาด !

เธอสูดหายใจเข้าลึกอีกครั้งพร้อมกล่าวขึ้นอีกครั้ง : “เฉิน ทำไมทุกครั้งที่เกิดอะไรขึ้นกับคุณหนูอี คุณจะโทษว่าเป็นความผิดของฉันหมดเลยอย่างนี้ล่ะคะ ? ฉันสาบานได้ว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉันเลย คุณลองไปถามคนอื่นดูดี ๆ หน่อยจะได้ไหมคะ อย่ามาซักไซ้ถามฉันต่ออีกเลย ?”

“นอกจากเธอจะเป็นใครได้อีก ?” หนานกงเฉินทราบนิสัยของจูจูดี ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม เธอจะกล่าวปฏิเสธก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็จะตีหน้าตายไม่ยอมรับ

เขาร้อนรนใจขึ้นมา จนตะคอกขึ้นเสียงดัง : “คุณหนูจู เธอไม่ใส่ใจคำเตือนจากฉันแล้วใช่ไหม ? เธอเชื่อไหมฉันจะกลับไปฆ่าเธอตอนนี้เลย ?”

“หนานกงเฉิน ! ผู้หญิงของคุณเยอะขนาดนั้น จะไม่มีศัตรูหัวใจคนไหนที่อยากให้เธอตายเลยหรือไง ? ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ใช่ฉัน ไม่ใช่ฉัน คุณจะมาซักถามฉันอย่างสงสัยโดยไม่มีหลักฐานแบบนี้ไม่ได้นะ มันไม่ยุติธรรมกับฉันเลย……”

“ฉันจะถามเธอเป็นครั้งสุดท้าย เธอจะปล่อยเขาไหม ?” หนานกงเฉินตัดบทเธอ

“ฉันก็จะขอบอกคุณเป็นครั้งสุดท้ายเหมือนกัน ฉันไม่ได้แตะต้องคุณหนูอีเลยแม้แต่นิดเดียว” พูดจบจูจูก็ชิงวางสายไปก่อนที่เขา

หนานกงเฉินที่อยู่ปลายสายทั้งโมโหทั้งร้อนรนใจและทั้งเอือมละอา เขาเดินวนอยู่ที่เดิมอย่างกระส่ายกระสับ จากนั้นก็ชกหมัดเข้ากำแพงอย่างแรง

หลังจากที่ทะเลาะกับเฉียวเฟิงครั้งนั้น เขาได้สืบสาวเกี่ยวกับผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับไป๋มู่ชิงมาแล้ว หลินอันหนานได้ตัดใจจากไป๋มู่ชิงเนื่องจากการตายของเธอตั้งนานแล้ว หลายปีมานี้เขาจัดการบริษัทอย่างเงียบสงบมาโดยตลอด ส่วนหลังจากที่ไป๋ยิ่งอันแต่งงานกับตาแก่ผู้นั้นแล้ว วัน ๆ เธอก็เอาแต่เสริมความงามหรือเล่นไพ่ในทุกวัน โดยใช้ชีวิตอย่างคุณย่าเศรษฐีที่สมบูรณ์แบบทุกประการ ทั้งสองคนนี้ถือว่ากลายเป็นอดีตไปโดยสมบูรณ์แบบแล้ว

ครานี้ผู้ที่มีความเป็นไปได้ที่สุดก็คือผู่เหลียนเหยาและจูจู ครั้นจุดสนใจของผู่เหลียนเหยาน่าจะอยู่ที่บริษัทและอาการป่วยของเขาเสียมากกว่า น่าจะไม่สนใจเรื่องของชีวิตด้านความรักของเขา เมื่อคิดไปคิดมา ผู้ที่จะทำร้ายไป๋มู่ชิงได้ก็เหลืออยู่เพียงจูจูเท่านั้น

การที่คนผู้นั้นกล้าลงมือกับไป๋มู่ชิงรุนแรงเช่นนี้ ก็คงทราบตัวตนที่แท้จริงของเธอแล้วใช่หรือไม่ ?

ถ้าหากเธอทราบตัวตนที่แท้จริงของไป๋มู่ชิงแล้วจริง ๆ ถ้าอย่างนั้นเธอจะทำเช่นไร ? จะต้องกำจัดเธออย่างไม่ปราณีเป็นแน่……

หนานกงเฉินยิ่งคิดก็ยิ่งร้อนรนใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งหวาดกลัว เวลาต่อมาเขาได้ชกบนโต๊ะของคุณตำรวจหนึ่งหมัดอย่างแรงด้วยความรู้สึกอับจนหนทาง เขาก้มมองหน้าตำรวจแล้วกล่าวขึ้น : “พวกคุณถามได้ผลลัพธ์อะไรมาหรือยัง ?”

ตำรวจที่กำลังจัดการเอกสารอยู่นั้นตกใจกับการกระทำเมื่อสักครู่ของเขา ทว่ายังคงกล่าวอธิบายอย่างใจเย็นว่า : “คนนี้เขาต่อสายถึงเพื่อนเขาไม่ติดสักที อีกทั้งยังบอกอย่างแน่วแน่ว่าเพื่อนของเขารู้จักกับคุณหนูจู อยากรับพวกเขาสองแม่ลูกไปรับประทานอาหารเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้าย”

“จะไม่มีเจตนาร้ายได้ยังไง ผมรับประกันได้ว่าคุณหนูอีไม่รู้จักพวกเขาเลย”

“คุณชายเฉิน ใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ พวกเรากำลังใช้เทคโนโลนีระบุตำแหน่งตามหาจุดที่คุณหนูอีอยู่ ผมเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะหาเจอแล้วครับ”

“อีกไม่นานงั้นเหรอ……” หนานกงเฉินส่ายหน้าพร้อมหุบยิ้มลง : “ขืนรอต่อไปแบบนี้คุณหนูอีก็คงตายไปแล้วละ !”

“คุณชายเฉินคุณมาใจร้อนที่นี่ก็เปล่าประโยชน์ครับ ใจเย็น ๆ ก่อนแล้วมาช่วยพวกเราคิดหาวิธีจะดีกว่านะครับ ดูว่ายังมีวิธีอื่นอีกไหมที่จะตามหาที่อยู่ของคุณหนูอีได้”

หนานกงเฉินเงียบไป สุดท้ายก็เดินกลับไปนั่งบนเก้าอี้อย่างว่าง่าย และบังคับให้ตัวเองใจเย็นลง

ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน เขาจะต้องติดตั้งซอฟต์แวร์ติดตามตำแหน่งไว้ในโทรศัพท์ของไป๋มู่ชิง ทว่าตอนนี้ไป๋มู่ชิงไม่ใช่ของเขา เขาจึงไม่สามารถที่จะทำเรื่องนี้ได้ ทันใดนั้นเองเขาก็นึกถึงเฉียวเฟิงขึ้นมา ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาวิกฤตระหว่างเขากับไป๋มู่ชิงอยู่พอดี เขาน่าจะติดตามไป๋มู่ชิงอย่างใกล้ชิดถึงจะถูก

แม้ว่าจะไม่อยากสนทนากับเขาเท่าไรนัก ทว่าเพื่อความปลอดภัยของไป๋มู่ชิง เขายังคงต่อสายหาเฉียวเฟิงอยู่ดี

ขณะที่เขาต่อสายไป เฉียวเฟิงทนรอไป๋มู่ชิงมารับเขาไม่ไหวจึงโทรหาเธอพอดี ครั้นโทรอย่างไรก็ไม่ติด

เมื่อได้ยินเสียงของหนานกงเฉิน น้ำเสียงของเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมในทันที : “นายอีกแล้วเหรอที่พาพวกเขาสองแม่ลูกไปน่ะ ?”

น้ำเสียงของหนานกงเฉินไม่ค่อยดีเช่นกัน : “คุณชายรองเฉียวบอกว่าตัวเองมีความสามารถในการปกป้องมู่ชิงไม่ใช่หรือไง ? ทำไมตอนนี้มู่ชิงถูกคนลักพาตัวไป คุณชายรองเฉียวกลับไม่รู้เรื่องเลยสักนิดล่ะ ?”

“นายว่าอะไรนะ ?” เฉียวเฟิงอึ้งไป : “มู่ชิงถูกคนลักพาตัวไปงั้นเหรอ ?”

“ถูกต้อง ตอนนี้แม้แต่ตำรวจก็หาตำแหน่งของเธอไม่เจอ” หนานกงเฉินกล่าวต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม : “ฉันเชื่อว่าคุณชายรองเฉียวน่าจะมีซอฟต์แวร์ติดตามตำแหน่งบนตัวของไป๋มู่ชิงใช่ไหม ? ถ้ามี หวังว่าคุณจะรีบส่งตำแหน่งของเธอมาโดยด่วน”

เฉียวเฟิงอ้าปากกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเทาและตะกุกตะกัก : “แล้ว……ตอนนี้มู่ชิงมีอันตรายจนถึงชีวิตไหม ? และก็……หว่านชิงล่ะ ? หว่านชิงอยู่ที่ไหน ?”

“หว่านชิงเดี๋ยวดึก ๆ ฉันจะไปส่งให้ ถ้านายไม่อยากให้มู่ชิงมีอันตรายก็รีบบอกมาว่านายสามารถหาเธอเจอหรือไม่”

“ได้……ได้……ฉันติดตั้งซอฟต์แวร์ติดตามตำแหน่งไว้ที่สร้อยคอของเธอ ฉันจะหาให้ตอนนี้แหละ……” เฉียวเฟิงเริ่มค้นหาตำแหน่งของไป๋มู่ชิงด้วยความร้อนรนใจดั่งไฟแผดเผา จากนั้นก็ส่งตำแหน่งไปยังโทรศัพท์ของหนานกงเฉิน แล้วพูดขึ้นด้วยความเป็นกังวลใจว่า : “หนานกงเฉินได้โปรดช่วยมู่ชิงให้ได้ด้วยนะ”

“มู่ชิงเป็นผู้หญิงของฉัน แน่นอนว่าฉันต้องช่วยเหลือเธอเต็มกำลังแน่นอน” หนานกงเฉินพูดจบก็วางสายไป

เฉียวเฟิงที่อยู่ปลายสายกระวนกระวายใจสุดขีด แต่อุปสรรคอยู่ที่สองขาของตนเองไม่สามารถเดินได้ เขาเป็นกังวลใจจนวุ่นวายอยู่ภายในห้องทำงาน

เขาเกลียดชังสองขาของตนเองขึ้นมาอีกครา และเกลียดความไร้ประโยชน์ของตนเอง ที่แม้แต่ยามคนที่ตนรักที่สุดได้รับอันตรายจนอาจถึงแก่ชีวิตก็ทำได้เพียงร้อนรนใจอยู่ในบ้านรอเท่านั้น แม้แต่การช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยก็ทำไม่ได้

เขามองตำแหน่งที่กระพริบบนซอฟต์แวร์ในโทรศัพท์ ก็เริ่มเจ็บปวดร้าวที่ใจราวกับถูกบิดขึ้นมา

ครั้งที่แล้วเมื่อไป๋มู่ชิงถูกหนานกงเฉินแย่งตัวไปนั้น เขาเป็นกังวลใจ ดังนั้นขณะที่ไป๋มู่ชิงกลับมาจึงตัดสินใจติดตั้งซอฟต์แวร์ติดตามตำแหน่งไว้บนสร้อยคอของเธอ คิดว่าคราวนี้ในอนาคตต่อให้หาไป๋มู่ชิงไม่เจอ ก็ไม่ต้องไปตามหาทั่วทุกสารทิศโดยจับต้นชนปลายไม่ถูกเช่นนั้นอีกแล้ว

คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ใช้งานจริง ๆ อีกทั้งยังได้ใช้งานภายใต้สถานการณ์เช่นนี้อีกด้วย……

เมื่อคุณผู้หญิงเห็นเสียวหว่านชิงเนื้อตัวมอมแมม แถมบนหน้าผากยังมีรอยแผลอีก จึงให้เสี่ยวหลินไปหยิบกล่องยาออกมาจากท้ายรถ

หลังจากที่เสี่ยวหลินนำกล่องยามาแล้ว พี่เหอก็ช่วยเสียวหว่านชิงในการเช็ดคราบฝุ่นและแผลบนใบหน้าให้ พลางพูดปลอบใจเสียวหว่านชิงที่กำลังร้องไห้โฮอยู่เหมือนเดิมว่า : “หนูน้อย เลิกร้องได้แล้วนะ ดูสิร้องไห้จนหน้าย่นหมดแล้ว”

“หนูเป็นห่วงคุณแม่……” เสียวหว่านชิงสะอึกสะอื้นเสียงเบา

“มีคุณลุงตำรวจช่วยหนูหาแม่อยู่ไม่ใช่เหรอคะ ? ไม่ต้องห่วงนะ คุณแม่จะกลับมาอีกไม่นานแล้ว”

“คุณลุงตำรวจจะช่วยแม่หนูกลับมาได้จริง ๆ เหรอคะ ?”

“แน่นอนสิคะ คุณลุงตำรวจสุดยอดที่สุดแล้วค่ะ” พี่เหอใช้กระดาษเปียกเช็ดน้ำตาและฝุ่นบนใบหน้าเธอออกอย่างสะอาด จากนั้นใบหน้าของเสียวหว่านชิงก็ค่อย ๆ เห็นชัดขึ้นมา เผยให้เห็นผิวอันเนียนนุ่มและใสพร่างพราว……

และยิ่งพี่เหอมองหน้าเธอนานเท่าไรก็ยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าน้อย ๆ ที่อยู่เบื้องหน้านี้มีความคุ้นหน้าคุ้นตาอย่างยิ่ง เธอเช็ดใบหน้าไปด้วยความเร็วที่ช้าลงจากนั้นก็ค่อย ๆ หยุดลง เธอจ้องมองใบหน้าเล็ก ๆ ของหว่านชิงอย่างละเอียด จากนั้นก็หันหลังมาพูดกับคุณผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ ว่า : “คุณผู้หญิงคะ คุณดูหน้าของเด็กคนนี้สิคะ……”

คุณผู้หญิงเป็นคนที่ไม่ชอบเข้าใกล้เด็กเล็กมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ทั้งยังไม่มีความเป็นมิตรกับเด็กผู้หญิงที่หนานกงเฉินยัดเยียดมาให้ด้วย เมื่อได้ยินที่พี่เหอพูดมาเช่นนั้น ในที่สุดก็หันหน้าไปมองเสียวหว่านชิงตรง ๆ เสียที

เพียงแค่แวบเดียว เธอก็ต้องตกตะลึงในใบหน้าของเสียวหว่านชิงเหมือนพี่เหอทันที จากนั้นก็เริ่มมองสังเกตใบหน้าน้อย ๆ นั้นอย่างละเอียดโดยไม่รู้ตัว

ใบหน้านี้ มันคือใบหน้าเมื่อยามเป็นเด็กของจูจูเลยนี่ !

“คุณว่าเหมือนนายหญิงน้อยตอนเด็ก ๆ เลยใช่ไหมคะ ?” พี่เหอถาม

“เหมือนจริง ๆ ด้วยนะ” คุณผู้หญิงกล่าวด้วยความรู้สึกประหลาดใจ ทันใดนั้นก็เกิดความสนอกสนใจในตัวเสียวหว่านชิงขึ้นมาทันที เธอจับจ้องใบหน้าที่มีน้ำตาไหลรินพร้อมถามว่า : “หนูน้อย พ่อแม่หนูคือใครเหรอ ? ชื่ออะไร ?”

เสียวหว่านชิงมองหน้าเธอด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตา จากนั้นก็ส่ายหน้า : “คุณพ่อคุณแม่บอกว่าห้ามบอกชื่อและเบอร์โทรของคนในครอบครัวกับคนแปลกหน้าสุ่มสี่สุ่มห้าค่ะ”

คุณผู้หญิงรู้สึกเอือมละอา จากนั้นก็ชี้เข้าหาตัวเอง : “แต่ว่าฉันไม่ใช่คนเลวนะ ฉันคือย่าของคุณลุงเฉินไง หนูดูสิตอนนี้ฉันกำลังช่วยหนูอยู่นะ”

“ขอบคุณค่ะคุณย่า”

“ไม่ถูก หนูควรเรียกฉันว่าย่าทวด”

“ขอบคุณค่ะย่าทวด”

“ถ้างั้นตอนนี้หนูบอกย่าทวดมาได้หรือยังว่าแม่หนูชื่ออะไร ?” คุณผู้หญิงพูดปลอบประโยน

เสียวหว่านชิงครุ่นคิดชั่วครู่ สุดท้ายก็ตอบไปว่า : “แม่หนูชื่ออีหลิน พ่อชื่อเฉียวเฟิงค่ะ”

“พ่อแม่แท้ ๆ เลยเหรอ ?”

เมื่อมองเห็นใบหน้าอันสับสนงุนงงของเสียวหว่านชิง พี่เหอจึงกล่าวว่า : “คุณผู้หญิง หรือว่าคุณสงสัยว่าเธอจะเป็นลูกของนายหญิงน้อยเหรอคะ ?”

“ใครจะไปรู้ ตามนิสัยของผู้หญิงคนนั้น การแอบมีลูกข้างนอกไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้สักหน่อย”

“ไม่จริงมั้งคะ เวลามันไม่ค่อยประจวบเหมาะเท่าไหร่เลยนี่คะ”

“คุณย่าทวดเข้าใจผิดแล้วค่ะ หนูคือลูกแท้ ๆ ของคุณแม่ หนูกับคุณแม่หน้าเหมือนกันมาก ๆ เลยนะคะ” เห็นได้ชัดว่าเสียวหว่านชิงไม่ชอบให้ผู้อื่นมาถกเถียงกันเรื่องประวัติความเป็นมาของตนเอง จึงอดไม่ได้ที่จะต้องกล่าวโต้แย้งไป

ปากเล็ก ๆ ที่กำลังบูดเบี้ยวอยู่นั้นแลดูน่ารักเป็นอย่างมาก คุณผู้หญิงจึงอดไม่ได้ที่จะต้องหัวเราะกับท่าทางของเธอ คุณผู้หญิงยกมือขึ้นมาลูบศีรษะของเธอ : “ดูสิหนูโวยวายใหญ่เลย คุณย่าทวดก็แค่พูดเล่นเฉย ๆ จ้ะ”

ในที่สุดเสียวหว่านชิงก็ไม่พูดแล้ว

“เจ้าหนูนี่ไม่ยอมใครเหมือนกันนะเนี่ย” คุณผู้หญิงหันไปส่งยิ้มให้กับพี่เหอ อยู่ ๆ ก็มีความรู้สึกชอบเสียวหว่านชิงขึ้นมา

“เด็กสมัยนี้เป็นอย่างนี้กันหมดแหละค่ะ” พี่เหอยิ้มกลับ

รถยนต์เข้าจอดอยู่หน้าประตูเข้าบ้าน เสียวหว่านชิงถูกพี่เหออุ้มลงรถ เธอกวาดสายตามองคฤหาสน์หลังใหญ่ที่แปลกตาที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า ในใจมีความรู้สึกไม่กล้าที่จะก้าวไปด้านหน้าขึ้นมา

“ที่นี่คือบ้านของลุงเฉินของหนูไง มีอะไรเหรอ ?” คุณผู้หญิงยื่นมือมาจูงมือน้อย ๆ ของเธอจากนั้นก็ยิ้มพลางพูดขึ้นว่า : “ไม่ต้องกลัวนะ มีย่าทวดอยู่ด้วย คนที่นี่ไม่กล้ามีใครรังแกหนูหรอก”

“ที่นี่คือบ้านของลุงเฉินจริง ๆ เหรอคะ ?” เสียวหว่านชิงสอบถามเพื่อเป็นการยืนยัน

“ใช่น่ะสิจ๊ะ” คุณผู้หญิงพยักหน้า : “ไม่เคยมาใช่ไหม ?”

“ไม่เคยค่ะ” เสียวหว่านชิงเดินตามเธอเข้าไปบริเวณด้านใน

คุณผู้หญิงจูงมือเธอเข้าไปในตัวบ้าน จากนั้นพี่เหอก็ไปหาของทานเล่นมาให้เสียวหว่านชิง จากนั้นก็จัดแจงให้ทางห้องครัวเตรียมอาหาร

เมื่อได้ยินเสียงรถกลับมาแล้ว จูจูที่กำลังกระส่ายกระสับอยู่ภายในห้องนอนมาเป็นเวลานานก็พยายามปรับสภาพจิตใจให้สงบลง จากนั้นก็สาวเท้าเดินลงไปชั้นล่าง ขณะที่เดินจนถึงหน้าบันได เธอมองเห็นคุณผู้หญิงกำลังนั่งรับประทานองุ่นกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งบนโซฟาอยู่ไกล ๆ เธอหยุดชะงักฝีเท้าด้วยความรู้สึกประหลาดใจทันที เนื่องจากเสียวหว่านชิงนั่งหันหลังให้เธอ ครั้งแรกเธอมองไม่ออกว่าเป็นใคร

เมื่อเธอเดินลงมาจนถึงห้องรับแขก และมองเห็นใบหน้าของเสียวหว่านชิง ทันใดนั้นเองบนใบหน้าของเธอก็ผุดเป็นความรู้สึกที่ตกตะลึงไปทันที

เมื่อเห็นความตกตะลึงบนใบหน้าของเธอ คุณผู้หญิงจึงยิ้มขึ้นพร้อมถามว่า : “เป็นไง ? เธอก็คิดเหมือนกันใช่ไหมว่าเด็กคนนี้หน้าเหมือนเธอตอนเด็ก ?”

“เอ่อ……” จูจูอ้าปาก อ้ำอึ้ง สุดท้ายกลับพูดไม่ออก

เสียวหว่านชิงมองเห็นเธอแล้วเช่นกัน ขณะที่ทั้งคู่สบสายตากันนั้น จูจูรีบเดินเข้าไปลูบหัวของเธอพร้อมรอยยิ้มแล้วพูดว่า : “หว่านชิงเหรอจ๊ะ ? ไม่เจอกันนานเลยนะ ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่ได้ล่ะ ? โธ่เอ๊ย……แผลบนหัวนี่มันคืออะไรคะเนี่ย ? เจ็บไหมคะ ? เดี๋ยวคุณน้าเป่าให้นะ”

ระหว่างที่กำลังพูดอยู่ เธอก็เป่ารอยแผลให้เธออย่างเป็นห่วงเป็นใยไปด้วย

แม้ว่าเสียวหว่านชิงจะไม่มีความรู้สึกดี ๆ กับเธอ ทว่าตัวเองก็ได้ให้อภัยลุงเฉินแล้ว จึงไม่สามารถที่จะเคียดแค้นคุณน้าคนเลวท่านนี้ต่อไปได้ อีกทั้งความเป็นมิตรของจูจูคนนี้ก็ทำให้เธอรู้สึกทำตัวไม่ถูกขึ้นมา นิสัยโดยธรรมชาติของเด็กเล็กนั้นคือในใจจะไม่มีความเคียดแค้นใด ๆ

“ขอบคุณค่ะคุณน้า” เธอกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเคอะเขิน

“ขอบใจอะไรกันจ๊ะ ไปได้แผลนี้มาได้ยังไงเหรอ จากนี้ไปอย่าไม่ระวังตัวแบบนั้นอีกรู้ไหมจ๊ะ ?” จูจูพูดประจบประแจงเพื่อเอาชนะใจเธอต่อไปด้วยเวลาที่รวดเร็วที่สุด

“รู้จักกันเหรอ ?” คุณผู้หญิงคิดไม่ถึงว่าจูจูจะรู้จักเสียวหว่านชิง จึงถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ

“เคยเจอหนึ่งถึงสองครั้งค่ะ แม่ของหว่านชิงเขาเป็นพนักงานบริษัทคู่ค้าของเฉินน่ะค่ะ” จูจูเปลี่ยนมาถาม : “จริงสิคะ คุณย่าทำไมคุณย่าถึงพาหว่านชิงกลับมาด้วยล่ะคะ ?”

“เมื่อกี้เด็กคนนี้ถูกคนร้ายวิ่งจับตัวบนถนน คุณชายใหญ่ลงไปช่วยเธอไว้ และขอร้องให้ฉันกับคุณผู้หญิงช่วยดูแลสักครู่น่ะค่ะ” พี่เหอที่นั่งอยู่ข้าง ๆ กล่าว

จูจูใจเต้นตุบตับ จากนั้นก็พยักหน้าโดยความกระส่ายกระสับ

หนานกงเฉินขอร้องให้คุณผู้หญิงดูแลเสียวหว่านชิง ? ถ้าเช่นนั้นตอนนี้ตัวเขาล่ะ ? ไปตามหาไป๋มู่ชิงแล้วหรือ ? เขาไม่กลัวอันตรายเลยหรืออย่างไร ?

เสียงของโทรศัพท์บนโต๊ะน้ำชาดังขึ้นมา พี่เหอเดินเข้าไปรับโทรศัพท์ หลังจากที่ฟังปลายสายกล่าวเสร็จเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้วจึงตอบรับกลับไป : “คุณชายใหญ่ไม่ต้องห่วงนะคะ ตอนนี้เสียวหว่านชิงสบายดีค่ะ ฉันจะดูแลเธอให้ดี ๆ เดี๋ยวพ่อของเธอจะส่งคนมารับใช่ไหมคะ……ค่ะ……จริงสิคุณชายใหญ่ ตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนคะ……?”

เธอยังไม่ทันได้พูดจบ หนานกงเฉินที่อยู่ปลายสายก็กดวางไปแล้ว

“เฉินบอกว่าอะไร ? เขายังไม่กลับมาอีกเหรอ ?” คุณผู้หญิงถาม

“เขาไม่ได้บอกค่ะ แค่กำชับให้พวกเราดูแลเสียวหว่านชิงให้ดี ๆ เท่านั้น และก็ห้ามให้นายหญิงน้อยเข้าใกล้เธอ……” พี่เหอมองหน้านายหญิงน้อยแวบหนึ่ง จากนั้นจูจูก็อึ้งไป เธอหุบยิ้มพร้อมถามขึ้น : “คุณชายใหญ่นี่ตลกจริง ๆ เลยนะคะ ต่อให้อารมณ์ของฉันสองวันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ก็ไม่มีทางที่ฉันจะไประบายใส่เด็กน้อยที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรอกนะ อีกทั้งยังเป็นเด็กที่น่ารักอย่างหว่านชิงอีกด้วย” เธอยกมือขึ้นลูบศีรษะของเสียวหว่านชิงพร้อมยิ้มไปด้วย : “จริงไหมจ๊ะ หนูน้อยที่รัก”

เสียวหว่านชิงจ้องหน้าเธอครั้นไม่ได้กล่าวอันใด

พี่เหอพูดปลอบประโยนเธอว่า : “จริงสิ หนูน้อยเดี๋ยวอีกประเดี๋ยวพ่อหนูจะส่งคนมารับหนูกลับบ้านนะ ทานข้าวอยู่ที่นี่ก่อนดีไหมคะ ?”

เสียวหว่านชิงพยักหน้า พลางสอบถามว่า : “พ่อนูจะมาตอนไหนเหรอคะ ?”

“น่าจะใกล้แล้วนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก หรือไม่กินข้าวเสร็จแล้วน้าส่งหนูกลับบ้านดีไหมคะ ?” จูจูพูดด้วยรอยยิ้ม

เสียวหว่านชิงส่ายหน้าทันควัน เธอไม่ต้องการ !

เมื่อจูจูถูกเธอปฏิเสธมาเช่นนั้นก็ยิ้มขึ้นอย่างเสียหน้า จากนั้นก็จูงมือน้อย ๆ ของเธอ : “ถ้างั้นก็รอให้คุณพ่อมารับหนูก็แล้วกันเนอะ ไปกันเถอะ พวกเราไปกินข้าวกันค่ะ”

“อืม ไปกินข้าวก่อนเถอะ” คุณผู้หญิงก็ลุกขึ้นยืนจากโซฟาตามไปด้วย ทั้งสี่คนเดินมุ่งเข้าไปในห้องอาหารพร้อมกัน

จูจูคีบของกินให้เสียวหว่านชิงไม่หยุด และขณะที่กำลังรับประทานอาหารอยู่นั้นก็เธอพลั้งปากถามขึ้นมาโดยไม่เจตนาอีกว่า : “คุณย่าดูสิคะ เด็กน้อยสมัยนี้น่ารักจังเลยนะคะ คุณย่าอยากได้สักคนไหมคะ ?”

คุณผู้หญิงรู้ความหมายที่อยู่ภายในคำพูดของเธอดี เวลาต่อมาจึงกล่าวขึ้นว่า : “เธอจะมีลูกที่ทั้งแข็งแรงและฉลาดแบบนี้ได้หรือเปล่าล่ะ ?”

จูจูจุกกับคำพูดนี้ของคุณผู้หญิงจนทำให้พูดไม่ออก ทว่าเธอก็ยังคงยิ้มพลางพูดขึ้นอย่างไม่ยอมแพ้ว่า : “ไม่ลองดูแล้วจะรู้ได้ยังไงคะว่าไม่ได้ เมื่อดูจากยีนที่มีคุณภาพดีของคุณชายใหญ่แล้ว ไม่แน่เด็กที่คลอดออกมาอาจน่ารักกว่าหว่านชิงก็ได้นะคะ”

“การเดิมพันนี้มันใหญ่โตเกินไป ช่างเถอะ” คุณผู้หญิงกล่าว

คำถามนี้เธอไม่กล้าถามคุณผู้หญิงมาเป็นเวลานานมากแล้ว เดิมคิดว่าถือโอกาสหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด บางทีคุณผู้หญิงอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างก็เป็นได้ เนื่องจากดูแล้วคุณผู้หญิงน่าจะชอบเสียวหว่านชิงมากเลยทีเดียว ครั้นคิดไม่ถึงเลยว่าจะถูกห้ามปรามไว้อีกครั้ง สายตาที่เธอมองเสียวหว่านชิงเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ น่ารักหรือ ? ทำไมเธอถึงไม่คิดแบบนั้นเลยสักนิดล่ะ ?

ภายในใจของเธอมีบันดาลโทสะอัดอั้นอยู่ จึงรับประทานไปเล็กน้อยด้วยความรู้สึกที่หงุดหงิดจากนั้นก็ขึ้นไปชั้นบน

เธอนั่งอยู่บนโซฟา จากนั้นก็คิดถึงท่าทางอันใจดีที่คุณผู้หญิงมีต่อเสียวหว่านชิง คุณผู้หญิงที่นิสัยเคร่งขรึมเช่นนี้ก็ยังมีช่วงเวลาที่อบอุ่นด้วย หรือว่านี่จะเป็นผลสืบเนื่องจากความผูกพันทางสายเลือด ?

ถ้าหากคุณผู้หญิงทราบว่าเสียวหว่านชิงเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของเธอ จะต้องไม่ทำเพียงเท่าที่เห็นตอนนี้แน่นอน

เสียวหว่านชิงอยู่เบื้องหน้าเธอแล้ว โอกาสที่ดีเช่นนี้หากเธอไม่คว้ามันไว้ให้ดี เช่นนั้นในอนาคตก็คงไม่มีโอกาสยิ่งกว่านี้

ถึงอย่างไรตอนนี้หนานกงเฉินก็มั่นใจแล้วว่าเธอเป็นผู้บงการให้คนไปจัดการไป๋มู่ชิง ไม่รู้ว่าเมื่อเขากลับมาแล้วจะจัดการเธอเช่นไร

เมื่อนึกถึงฉากที่ตนทำร้ายเสียวหว่านชิงด้วยมือตนเอง ลำตัวก็สั่นเทาขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว รู้สึกว่าตนใกล้จะเป็นบ้าเต็มทน เป็นเพราะสองแม่ลูกนั่นแท้ ๆ ที่ทำให้เธอจะบ้าตายเช่นนี้ !

ถ้าหากพวกเขาไม่กลับมา ไม่ปรากฏตัวต่อหน้าหนานกงเฉินอยู่บ่อยครั้ง หนานกงเฉินจะรู้ได้อย่างไรว่าเธอยังไม่ตาย ?

เธอลุกขึ้นจากโซฟาช้า ๆ และเดินออกจากห้องนอนแล้วไปยืนบนหน้าประตูชั้นสอง สายตาจับจ้องไปที่คุณผู้หญิงและเสียวหว่านชิงที่อยู่ชั้นล่าง เธอจ้องมองใบหน้าเล็ก ๆ อันน่ารักของเสียวหว่านชิงพร้อมกัดฟันกรอบ ในใจพลางคิดว่า : “เจ้าตัวกระเปี๊ยก ยังเด็กยังเล็กอยู่เลยก็รู้จักประจบสอพลอคนอื่นแล้วเหรอ ถ้างั้นก็อย่าหาว่าฉันใจร้ายก็แล้วกัน”

หลังจากที่พูดคำพูดนี้จบในใจ เธอก็กลับหลังหันแล้วสาวเท้าเร็ว ๆ กลับห้องนอนไป

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท