ไป๋มู่ชิงเดินไปนั่งลงข้างกายเขาแล้วช่วยเขาทำแผลอย่างระมัดระวัง
ครั้งก่อนก็อยู่บนโซฟานี้ เขาช่วยเธอทำหาบนนิ้วมือ วันนี้เปลี่ยนเป็นเธอช่วยเขาแทน
ระหว่างเธอกับเขา……ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับบาดแผล ก็เหมือนกับคำเล่าลือว่าต้องผ่านความยากลำบากด้วยกันงั้นเหรอ?
หนานกงเฉินมองไปที่มือข้างขวาที่เธอจับสำลีไว้ แผลบนนิ้วมือหายดีแล้ว แต่ว่ารอยไหม้บนหลังมือก็ยังทำให้ตกใจแล้วเป็นห่วงมาก
เขายื่นมือไปจับมือเธอไว้แล้วเอ่ย “ตอนนั้นเกิดอุบัติเหตุได้ยังไง บอกผมได้ไหม?”
หลังจากที่เธอฟื้นคืนความจำ เขาก็อยากจะถามคำถามนี้กับเธอ แต่ก็ห้ามใจไว้ไม่อยากให้เธอนึกถึงความทรงจำที่เจ็บปวดนั้นอีก
ครั้งก่อนที่พาเธอไปสถานที่เกิดอุบัติเหตุ ปฏิกิริยาที่เสียใจของเธอก็ทำให้เขาเสียใจมากแล้ว
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขาแล้วส่ายหน้า “ช่างเถอะ ผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว ถ้าฉันบอกนายก็จะทำให้นายรู้สึกผิด อย่าพูดดีกว่า”
ถ้าบอกเขาว่าจูจูไล่ตามเธอ เขาก็คงโกรธจนกลับไปเฆี่ยนตีจูจู ใช่ ทำได้แค่เฆี่ยนตีเธอ ฆ่าไม่ได้ด้วย นี่จะทำให้เขายิ่งโมโหหงุดหงิดไปกว่าเดิม
กับสุนัขที่วิ่งพุ่งออกมาเป็นเพราะอะไรเธอเดาได้ว่า อาจจะเป็นเพราะผู่เหลียนเหยา นอกจากผู่เหลียนเหยา เธอก็นึกไม่ถึงเลยว่าใครยังจะมีความสามารถนี้ สามารถวางแผนได้ในเวลาอันน้อยนิด
“ทำไมถึงไม่พูดล่ะ?” หนานกงเฉินมองไปที่เธอ
“วิดีโอนายก็เห็นแล้ว ก็แบบนั้นแหละ ไม่ระวังก็เลยพุ่งตกทะเลไป”
“จูจูกับผู่เหลียนเหยาร่วมมือทำร้ายเธอใช่ไหม?”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขา ที่แท้เขาเดาได้แล้ว
เธอแอบดึงมือตัวเองกลับแล้วเอ่ย “เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็อย่าพูดถึงอีกเลย”
“ได้ ไม่พูดแล้ว” หนานกงเฉินลูบเส้นผมเธออย่างเป็นห่วงแล้วเอ่ยอย่างอ่อนโยน “มู่ชิง ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ล้างแค้นให้ แต่ว่ายังไม่ถึงเวลา เชื่อใจผมนะ?”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “อื้อ”
หนานกงเฉินยิ้มอย่างดีใจ “เด็กดี”
ฝ่ามือของเขาเลื่อนจากเส้นผมของเธอไปที่การแก้มแล้วจับอย่างเบามือ ไป๋มู่ชิงก็ยกมือขึ้นจับใบหน้าของตัวเองแล้วเอ่ย “หน้าของฉัน……แปลกมากเลยใช่ไหม”
“ไม่แปลก ยังไงแต่ก่อนเธอก็ไม่ได้สวยขนาดนั้น”
ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะเอ่ยพูดยังไง
หนานกงเฉินทอดมองไปที่แก้มอมชมพูของเธอ เอนตัวลงไปจูบ แต่ไป๋มู่ชิงกลับหันหน้าหนี “หนานกงเฉิน นายอย่าทำแบบนี้”
“ทำไมล่ะ?”
“เพราะว่าตอนนี้เราไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกัน” น้ำเสียงของไป๋มู่ชิงเข้มงวดขึ้น “หนานกงเฉิน ถ้านายยังอยากจะเป็นเพื่อนกับฉัน งั้นก็ให้เกียรติฉันได้ไหม?”
“ทำไมต้องพูดให้รุนแรงขนาดนี้ด้วย?” หนานกงเฉินเอ่ย
“นายจะตกลงหรือเปล่า?”
“ผมตกลง” ขอแค่เธอไม่หลบหน้าเขาแล้วไม่ทำท่าทางเหินห่างเขาก็พอใจแล้ว
เส้นทางตามตัวภรรยากลับมายังอีกยาวนาน จะรีบร้อนไม่ได้
ไป๋มู่ชิงแอบโล่งใจไป ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองลงไป ข้างล่างมีคนเต็มไปหมดพร้อมหันไปมองเขา “นายคิดจะทำยังไงต่อ?”
“เมื่อวานผมก็คิด ถ้าเป็นเธอ เธอจะทำยังไง?” หนานกงเฉินลุกขึ้นจากโซฟาแล้วเดินมาข้างกายเธอพร้อมมองลงไปข้างล่างด้วย
“เพื่อความปลอดภัยของร่างกายนายแล้วก็ชื่อเสียงของบริษัท นายก็ทำตามเขาสิ ฉันว่าเขาก็น่าสงสารเหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงเอ่ย
“รู้ว่าเธอจะพูดแบบนี้” หนานกงเฉินยิ้ม “แต่ว่าที่ผู้ช่วยหวงพูดก็มีเหตุผล ถ้าผมเปิดประเด็นครั้งนี้ แล้วอีกหน่อยถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีก หรือว่าอาจจะมีคดีที่ยอมทำร้ายตัวเองแล้วอยากจะได้ค่าเสียหาย เพราะฉะนั้นเพื่อที่จะตัดปัญหา ผมก็เลยเปิดประเด็นนี้ไม่ได้”
“อย่าคิดว่าทุกคนเป็นคนโลภเลย จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ยังไง?”
“ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้” หนานกงเฉินพูด “จำได้ว่าตอนนั้นมีโรงงานหนึ่งแล้วมีพนักงานกระโดดตึก คนในโรงงานก็ชดใช้ให้เธอสองแสน เดือนต่อมาก็มีคนกระโดดอีก บริษัทก็ชดใช้ไปอีกสองแสน จากนั้นก็เกิดขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งโรงงานต้องประกาศว่า คนที่คิดสั้นกระโดดตึกจะไม่ให้เงินชดใช้ จากนั้นก็ไม่มีใครกระโดดอีกเลย”
“เรื่องจริงหรือเรื่องปลอมเนี่ย?”
“เรื่องจริง” หนานกงเฉินทอดมองไปที่เธอแล้วยิ้ม “สองปีก่อนเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากของเธอ เธอคงไม่มีอารมณ์ดูข่าวหรอกมั้ง?”
“แล้วนายล่ะ? เวลานั้นนายไม่ลำบากหรอ?”
“ผมก็ลำบากใจ แต่ว่าผมยังมีชีวิตอยู่ ยังต้องทำงานก็เลยได้ยินมา”
“ตอนนั้นนายควรจะยุ่งเรื่องแต่งงานกับจูจูไม่ใช่ไง?” ไป๋มู่ชิงไม่ระวังก็เอ่ยพูดออกมา
เมื่อเธอพูดจบก็รู้สึกเสียใจทันที อยากจะกัดลิ้นตัวเองตาย
สุดท้าย หนานกงเฉินก็รีบหันมามองเธอ “เธอกำลังหึงงั้นหรอ?”
“เปล่าสักหน่อย”
“ผมรู้สึกได้ ยังบอกว่าเปล่าอีก” อารมณ์ของหนานกงเฉินดีขึ้นทันทีเพราะคำพูดของเธอคำนี้
ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าถ้าตัวเองยังไม่รีบออกไป ความรู้สึกในใจจะถูกเขาควักออกมาก็เลยหันหลังเดินกลับไปที่โซฟาแล้วเก็บกวาดกล่องยาบนโต๊ะพร้อมเอ่ย “ฉันกลับก่อนนะ นายอยู่ดีๆล่ะ”
“ผมจะอยู่ดีๆได้ยังไง?” หนานกงเฉินเดินอ้อมไปข้างกายเธอแล้วกอดอกทอดมองไปที่เธอ
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าแล้วเอ่ยกับเขา “อย่างน้อยก็อย่างทำตัวเหมือนไม่มีสมองเมื่อกี้ คิดว่าคนทั้งโลกจะกลัวนายไม่กล้าหาเรื่องนาย สุดท้ายก็โดนคนอื่นทำให้เสียโฉม”
หนานกงเฉินยกมือขึ้นจับพลาสเตอร์บนแผลที่เธอติดให้ “ในเมื่อไม่มีใครเอา แล้วจะเก็บหน้านี้ไว้ทำไม”
“หนานกงเฉิน นายคิดว่าตลกหรอ?”
“ผมยังพูดได้ไม่น่าสงสารหรอ?” เธอคิดว่าคำพูดที่น่าสงสารนี้ตลกงั้นหรอ?
“ไม่อยากจะสนใจนาย” ไป๋มู่ชิงเก็บกล่องยาแล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์ขึ้นรับ สีหน้าก็ยิ้มเอ่ยอย่างมีมารยาท “ผู้จัดการเฉิน……ค่ะ……เดี๋ยวฉันจะรีบไป……ไม่ต้องค่ะรูปภาพดูไม่สมจริง ฉันไปดูเค้กที่ร้านคุณดีกว่า……ค่ะ ขอบคุณค่ะ……”
เธอวางสาย เมื่อเงยหน้าก็เห็นว่าหนานกงเฉินมองมาที่ตัวเอง
“วันเกิดใคร?” หนานกงเฉินถาม
ไม่ใช่เธอแล้วหว่านชิงก็ไม่อยู่ในประเทศด้วย งั้นก็คงเป็นเฉียวเฟิง?
เธอลังเลไม่ตอบ แล้วเขาก็เอ่ยถาม “เฉียวเฟิงหรอ?”
ความจริงไป๋มู่ชิงไม่อยากให้เขาอึดอัด แต่ในเมื่อเขาถาม เธอก็เลยพยักหน้า “ใช่”
หนานกงเฉินเหมือนได้ยินเสียงหัวใจตัวเองแตกสลายไป เมื่อกี้ยังดีใจเพราะเธอหึง แต่ตอนนี้เธอก็จะไปเลือกเค้กให้ผู้ชายคนอื่น ความรู้สึกนี้ที่ทิ่มแทงในใจสะใจมาก!
“ใกล้จะถึงวันเกิดผมแล้วด้วย ช่วยผมเลือกด้วยสิ” เขาเอ่ยอย่างหึงหวง
ไป๋มู่ชิงเอ่ย “ของนายยังอีกสองเดือนไม่ใช่เหรอ?”
“ใครบอกว่าจัดงานวันเกิดล่วงหน้าไม่ได้ล่ะ?”
“ฉันคิดว่าจูจูคงจะเลือกให้นาย เธอรักนายขนาดนั้น……”
หนานกงเฉินพูดแทรกเธอ “ผมเคยเตือนเคยหรือเปล่า? ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปห้ามเอ่ยชื่อจูจูต่อหน้าผม”
เมื่อเห็นเขาหงุดหงิด ไป๋มู่ชิงก็ไม่อยากจะยั่วยุเขาอีกก็เลยรับปาก “ได้ เดี๋ยวฉันจะดูของนายให้ด้วยก็ได้”
ก็ได้ แค่ก็ได้!
หนานกงเฉินมองแผ่นหลังเธอที่เดินจากไปเหมือนกำลังหลบหน้าหนีเลยถอนหายใจ
—
เมื่อไป๋มู่ชิงเดินออกไปได้ไม่นาน ผู้ช่วยหลินก็รีบวิ่งมาบอกหนานกงเฉินว่ายามข้างล่างทำให้คนฝั่งตรงข้ามบาดเจ็บ
เมื่อหนานกงเฉินได้ยินก็โมโหขึ้นมาทันที “ผู้ช่วยหวงล่ะ? ผมบอกกับเขาแล้วไม่ใช่เหรอว่าห้ามทำร้ายคนอื่น?”
“ผู้ช่วยหวงก็ได้รับบาดเจ็บเหมือนกันค่ะ “ผู้ช่วยหลินพูด “เมื่อกี้ยังดีอยู่เลย ไม่รู้ว่าใครลงมือก่อนก็ตีกันขึ้นมา”
หนานกงเฉินเดินไปที่หน้าต่างแล้วมองลงไป สุดท้ายก็เห็นภาพเหตุการณ์ที่ทุลักทุเล เขาหันกลับมาคิดไปคิดมาแล้วเอ่ยกับผู้ช่วยหลิน “เรื่องนี้ให้ประธานเซิ่งเป็นคนจัดการ ไม่ต้องมารายงานผมอีก”
“แต่ว่าประธานเซิ่งยังอยู่ที่ลูกค้า ยังไม่กลับมา”
“งั้นก็ให้เซิ่งเคอมา”
“ผู้ช่วยหลินพยักหน้า แล้วหนานกงเฉินเอ่ย “เรียกผู้ช่วยหวงมาเจอผมด้วย”
“ผู้ช่วยหวงได้รับบาดเจ็บกำลังถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลกับคนเจ็บคนอื่นค่ะ” ผู้ช่วยหลินพูด” ถ้าเดี๋ยวผู้ช่วยหวงกลับมาฉันจะให้มาหาคุณค่ะ”
ผู้ช่วยหลินเดินออกไป หนานกงเฉินก็นั่งกลับไปที่เก้าอี้อย่างหงุดหงิด
เซิ่งเคอก็มาถึงอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสีหน้าหงุดหงิดของเขาก็เลยเอ่ยถาม “พี่ชาย พี่หาผมมีอะไรครับ?”
หนานกงเฉินมองไปที่เขาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “นายไปจัดการเรื่องข้างล่างนี้ให้สงบ ถ้าไม่สงบก็รับผิดชอบด้วยการลาออกไป”
เซิ่งเคอประหลาดใจแล้วเอ่ยถาม “พี่ชาย เรื่องนี้ควรจะให้ฝ่ายธุรการกับฝ่ายประชาสัมพันธ์จัดการไม่ใช่เหรอครับ?”
“เรื่องนี้พวกเขาทำไม่ได้งั้น”
“ผมถ้า……”
“แกทำไม่ได้……” หนานกงเฉินหยุดไปแล้วเอ่ยอย่างเยือกเย็น “ก็ให้พ่อของนายช่วย เขาต้องมีวิธีแน่นอน”
ดูจากที่ผู้ช่วยหวงยอมให้ยามของบริษัททำร้ายคน ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ไม่ได้ง่ายเหมือนที่คิด นี่ไม่ใช่มาเพราะเงินชดใช้ แต่จุดประสงค์เพราะอะไรดูเหมือนว่าเซิ่งตงหยางที่ใช้ข้ออ้างว่าเจอกับลูกค้าแล้วหลบหน้ารู้ดีที่สุด
หนานกงเฉินมองไปที่เซิ่งเคอแล้วเลิกคิ้ว “ทำไม? เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่สำเร็จเหรอ?”
“เปล่าครับ” เซิ่งเคอพยักหน้า “ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
หลังจากที่ออกมาจากห้องทำงานของหนานกงเฉิน เซิ่งเคอก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาเซิ่งตงหยาง
โทรศัพท์โทรออกแล้วก็เอ่ยถามตามตรง “พ่อ คนที่อยู่หน้าประตูมาเพราะอะไรกันแน่?”
อีกฝั่งของโทรศัพท์กำลังขับรถอยู่ก็เอ่ยถาม “เซิ่งเคอ ทำไมถึงถามแบบนี้?”
“พ่อ พ่อคิดจะทำอะไรกันแน่?” น้ำเสียงของเซิ่งเคอเข้มขึ้น “พี่ชายรู้แล้วว่าพ่อเป็นคนทำ แล้วสั่งให้ผมจัดการเรื่องนี้ ไม่งั้นก็จะไล่ผมออก”
เซิ่งตงหยางเอ่ยอย่างไม่แคร์ “แกอย่าฟังคำข่มขู่ของเขา เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉัน แล้วเขาก็ไม่มีทางไล่แกด้วย”
“พ่อ ไม่ว่าเรื่องนี้พ่อจะเป็นคนทำหรือเปล่า รีบช่วยผมจัดการเรื่องให้สงบเดี๋ยวนี้”
“ได้ เดี๋ยวฉันจะคิดวิธีเอง แค่นี้ก่อน” เซิ่งตงหยางตัดสายโทรศัพท์
—
ใต้ตึก เป็นเพราะตำรวจมาสถานการณ์ก็เลยควบคุมได้ แล้วค่อยจัดการที่เกิดเหตุ
หน้าประตูบริษัทก็กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง ถึงแม้ต่อหน้าจะดูเหมือนว่าเรื่องนี้ผ่านไปแล้ว แต่หลังจากนั้นสำนักข่าวต่างๆก็ขุดคุ้ยข่าวเสียหายเรื่องค่าชดใช้ของบริษัทหนานกงขึ้นมา
แม้แต่คุณหญิงที่อยู่ในคฤหาสน์ก็รู้สึกตกใจ หนานกงเฉินกลับมาก็รีบถามเขาทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
หนานกงเฉินยิ้มอย่างไม่แคร์แล้วปลอบใจท่าน “แค่เรื่องเล็กๆ ไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับบริษัทครับ”
“จะเรื่องเล็กได้ยังไง? แกดูสิเขาเขียนแกเป็นอะไรแล้ว ยังถูกคนอื่นด่าว่าเลือดเย็นเป็นแวมไพร์ ตระกูลของเราเหมือนที่ไหน” ในมือคุณหญิงจับหนังสือพิมพ์ไว้แล้วเอ่ยอย่างหงุดหงิด
“คุณย่าครับ พวกเธออยากจะพูดก็ให้พูดไปเถอะครับ ไม่ใช่ว่าไม่เคยโดนสักหน่อย” หนานกงเฉินก็ยังเอ่ยด้วยสีหน้าไม่สนใจ คำเล่าลือที่น่าเกลียดก็ไม่ใช่ไม่เคยมี เขาก็ผ่านมาได้ไม่ใช่เหรอ?
คุณหญิงถอนหายใจแล้วเอ่ย “นี่จะเหมือนกันได้ยังไง นี่กระทบกับภาพลักษณ์ของบริษัท ถ้าบริษัทไม่มีภาพลักษณ์แล้วต่อไปแกจะทำยังไง”
ผู่เหลียนเหยาที่อยู่ข้างๆก็เอ่ย “คุณย่าคะ ขอแค่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเกิดข้อผิดพลาด ประชาชนก็จะลืมเรื่องนี้เองค่ะ แล้วก็จะไม่มีผลกระทบอะไรกับบริษัทด้วย”
หนานกงเฉินมองไปทางผู่เหลียนเหยาแล้วยิ้มอ่อนพยักหน้า “เหลียนเหยาพูดถูกแล้ว ผมก็ให้เซิ่งเคอเป็นคนจัดการแล้ว เชื่อว่าจะจัดการเรื่องนี้ให้สงบได้”
สุดท้ายคุณหญิงก็ไม่เอ่ยพูดอะไร
“นี่ หน้าแกไปโดนอะไรมา?” คุณหญิงเพิ่มสังเกตุเห็นพลาสเตอร์บนหน้าเขา
“ไม่มีอะไรครับ แค่ไม่ระวังแล้วโดนของขูดโดน” หนานกงเฉินยกมือขึ้นจับไปที่แผลแล้วเอ่ยกับคุณหญิง “คุณย่าครับ ผมขึ้นไปพักผ่อนก่อนนะครับ”
“รีบไปเถอะ” คุณหญิงเอ่ย
เมื่อหนานกงเฉินก้าวเดินขึ้นไปข้างบน เขาเดินกลับไปในห้องทำงานแต่ไม่ได้จากการเรื่องงาน แต่พิงอยู่บนเตียงข้างหน้าต่าง
เขาหลับตาลงแล้วใช้มือทั้งสองข้างนวดตาเบาๆ จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาไป๋มู่ชิง
เมื่อสายโทรออกแล้ว ไป๋มู่ชิงก็กำลังใช้โทรศัพท์อ่านข่าวของบริษัทหนานกงอยู่ เธอก็รับโทรศัพท์แล้วเอ่ย “บริษัทหนานกงต้องมีกล้องวงจรปิดไม่ใช่หรอ? ทำไมนายไม่ปล่อยภาพกล้องวงจรปิดที่ฝ่ายตรงข้ามทำร้ายนายล่ะ?”
“เธอกำลังพูดอะไรเนี่ย?” หนานกงเฉินเอ่ยยิ้ม
“นายไม่ได้ดูข่าวหรอ?”
“ดูแล้ว”
“แล้วนายไม่สังเกตหรอว่าข่าวพวกนี้ก็กำลังโจมตีว่านายเลือดเย็น ภาพเหตุการณ์ที่นายถูกพวกเขาล้อมไว้ไม่มีแม้แต่รูปเดียว นี่กำลังตั้งใจทำร้ายนายชัดๆ”
หนานกงเฉินยิ้ม “ดูเหมือนว่าเธอก็ไม่โง่ มาเป็นผู้ช่วยผมดีไหม ตอนนี้ผมกำลังขาดผู้ช่วยที่ฉลาดพอดี”
“ฉันกำลังจริงจังอยู่” ไป๋มู่ชิงรู้สึกเอื้อมระอา
เธอไม่ได้ฉลาด แค่รู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้ของเขา ก็เลยสังเกตเหตุการณ์อย่างละเอียดก็เท่านั้น
“คำพูดของคนสำคัญมากนะ อยู่ในยุคที่อินเตอร์เน็ตพัฒนาด้วย ประชาชนก็ต้องเห็นใจคนอ่อนแอแล้วเกลียดคนมีอำนาจ ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปก็จะเกิดผลกระทบที่เสียหายแน่” ไป๋มู่ชิงพูด
“ผมเข้าใจ” หนานกงเฉินยิ้มอ่อน อะไรพวกนี้เขาจะมองไม่ออกได้ยังไง?
“ใครกำลังใส่ร้ายนาย? นายจะผ่านไปได้มั้ย?”
“ผ่านไปไม่ได้แล้วยังไง? เธอจะช่วยผมงั้นหรอ?”
“ฉันไม่รู้เรื่องอะไรเลย แถมยัง……นายก็รู้ ฐานะฉันตอนนี้ไม่เหมาะสม”
“ผมว่าคุณรู้ดี”
“หนานกงเฉิน นายตั้งใจหน่อยได้ไหม?” ไป๋มู่ชิงไม่รู้ว่าจะเอ่ยพูดยังไง สถานการณ์ขนาดนี้แล้วเขายังมีอารมณ์มาล้อเล่นอีก
เธอน่าจะไม่รู้ มีแค่เวลาที่คุยโทรศัพท์กับเธอเท่านั้น หนานกงเฉินถึงยิ้มออก ก็เลยดูไม่จริงจัง
“มู่ชิง ที่ผมโทรหาเธอเพื่อที่จะได้รับคำปลอบใจไม่ใช่มาฟังเธอพูดทำร้ายผมนะ” สุดท้ายหนานกงเฉินก็จริงจังขึ้น แล้วน้ำเสียงก็มีความเสียใจแฝงมาด้วย “สถานการณ์ตอนนี้ ผมอยากให้เธออยู่ข้างกายผม ขอแค่พูดคุยกับผมก็ยังดี!”
ถึงแม้เขาจะตั้งใจเรียกร้องความสนใจ แต่นี่ก็คือความคิดในใจเขา
ปัญหาข้างนอกรุมล้อมขนาดนั้น เมื่อกลับถึงบ้านแล้วก็ได้เห็นเธอ กอดเธอ ได้พูดคุยกับเธอ แค่นี้เขาก็รู้สึกพอใจแล้ว
ไป๋มู่ชิงรู้สึกหวั่นไหวกับคำพูดที่เสียใจของเขา แต่เธอก็เงียบไปไม่กี่วิก็เอ่ย “หนานกงเฉิน นายอย่าพูดกับฉันแบบนี้ อย่าทำให้ฉันรู้สึกผิดแล้วก็ลำบากใจ”
“เธอรู้สึกลำบากใจหรอ?” หนานกงเฉินยิ้มอย่างมีความสุข นี่ก็คือสิ่งที่เขาอยากได้ ลำบากใจจนถึงขั้นปล่อยเฉียวเฟิงไปแล้วกลับมาข้างกายเขา
“คุณชายเฉิน คุณระวังตัวด้วย ฉันวางสายก่อนนะ” ไป๋มู่ชิงพูดจบก็วางสายทันที
หนานกงเฉินยังอยากพูดอะไรอีก ก็มีเสียงตัดสายดังขึ้น
เขาหยิบโทรศัพท์มาดู จากนั้นก็จำใจโยนโทรศัพท์ไว้บนโต๊ะ
หน้าประตูห้องก็มีเสียงเปิดประตูดังขึ้น จากนั้นก็เป็นเสียงของคุณหญิง “กว่าเจอเห็นแกยิ้มได้”
เมื่อได้ยินเสียง หนานกงเฉินก็ขยับร่างกายกำลังจะเตรียมตัวลุกขึ้นนั่งบนเตียง แต่คุณหญิงก็โบกมือไปทางเขาแล้วเอ่ย “ใครกันแน่ ที่เวลานี้แล้วยังทำให้แกยิ้มได้?”
หนานกงเฉินมองกว่าไปที่จูจูที่เดินเข้ามาพร้อมท่านแล้วเอ่ย “คุณย่ามีเรื่องอะไรครับ?” พูดจบเขาก็หันไปทางจูจู “แล้วเธอล่ะเรื่องอะไร?”
เขาไม่ลืมที่จูจูบอกว่าจะสารภาพอะไรบางอย่างกับเขา
จูจูส่ายหัว “เปล่า ฉันไม่มีอะไร”
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมสารภาพสินะ
“ฉันแค่มาดูแก กลัวแกจะลำบากใจ” คุณหญิงเอ่ย
“ไว้ใจเถอะครับ ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้น”
“งั้นก็ดี นี่ก็ใกล้เวลาแล้วลงไปกินข้าวเถอะ” คุณหญิงพูดจบก็เดินออกจากห้อง จูจูก็หันหลังเดินตามคุณหญิงไปด้วย แต่หนานกงเฉินกลับเรียกเธอไว้ “จูจู เธอรอก่อน”
จูจูรู้สึกเสียวสันหลัง เธอรู้ว่าหนานกงเฉินจะถามเธอแน่นอน เมื่อกี้ถ้าไม่ใช่เพราะคุณหญิงให้เธอพยุงท่าน เธอก็ไม่มีทางมาแน่นอน
ในห้องเหลือจูจูกับหนานกงเฉินแค่สองคน สุดท้ายหนานกงเฉินก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปนั่งลงบนโซฟาพร้อมจ้องไปที่เธอ “ดูเหมือนว่าเรื่องที่เธอจะสารภาพกับผมจะไม่สารภาพแล้วใช่ไหม?”
“เปล่า……” จูจูรีบส่ายหัว “ฉันแค่กลัวว่า……คุณจะอารมณ์เสีย”
“ตอนนี้ผมก็อารมณ์เสียแล้ว ก็ลองพูดมาสิ?”
“ครั้งก่อนที่ห้าง……ความจริงฉันเป็นคนผลักเฉียวหว่านชิงลงไปเอง”
“นี่เหรอเรื่องที่เธอจะสารภาพ?” หนานกงเฉินดูเหมือนว่าจะผิดหวัง
“ใช่……อื้อ……”
หนานกงเฉินยิ้ม “นี่ไม่ใช่ความลับอะไรแล้วไม่รู้หรอ?”
เขาไม่รอให้เธอตอบกลับ ก็พยักหน้าแล้วเอ่ย “โอเค ดูเหมือนว่าเธอจะโดนผู่เหลียนเหยาข่มขู่จนไม่กล้าพูดความจริง ในเมื่อเธอไม่กล้า พูดงั้นผมก็จะไม่บังคับเธอ”
จูจูมองไปที่เขา เขาเดาได้ว่าผู่เหลียนเหยาเป็นคนไม่ให้เธอพูดเหรอ?
“ตอนนี้ผมก็จะไม่บังคับให้เธอยอมรับอะไร แต่ว่า……” หนานกงเฉินลุกขึ้นแล้วเดินไปกดน้ำขึ้นดื่ม จากนั้นก็นั่งกลับมาที่โซฟาแล้วจ้องเธออย่างนั้น “เธออยากเจอหย่ากับผมไม่ใช่หรอ? ถ้าจะหย่าได้ บอกความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับผู่เหลียนเหยา แล้วก็เรื่องที่พวกเธอเคยทำด้วย เรียบเรียงเป็นเอกสารให้ผม ถ้าได้ ผมก็จะปล่อยเธอไปอย่างไม่มีเงื่อนไข”
จูจูมองไปที่เขาอย่างประหลาดใจ เขารู้แล้วหรอว่าผู่เหลียนเหยาเคยทำอะไรบ้าง? แล้วอีกอย่าง……เขาจะปล่อยเธอไปอย่างไม่มีเงื่อนไข? เป็นไปได้ยังไง!
เรื่องนี้ฟังแล้วไม่ยากเลย แต่ว่า……ถ้าเธอสารภาพเรื่องผู่เหลียนเหยาเธอยังมีทางรอดเหรอ? ผู่เหลียนเหยาจะปล่อยเธอไปได้ยังไง? ทั้งอุบัติเหตุเมื่อสองปีก่อนแล้วคดีลักพาตัวด้วย ถึงเธอไม่ตายก็คงจะติดคุกตลอดชีวิตไม่ใช่เหรอ?
อีกอย่างผู่เหลียนเหยาก็เคยพูดไว้ ถ้าเธอเกิดเรื่อง ทั้งตระกูลจูก็ต้องตายตามเธอไปด้วย!
“เธอกำลังกังวลอะไร? กังวลว่าผู่เหลียนเหยาจะแก้แค้นหรอ?” เมื่อหนานกงเฉินเห็นเธอยืนนิ่งอยู่กับที่ก็เอ่ยถาม
“เปล่า ไม่ใช่……” จูจูรีบส่ายหน้า “ฉันแค่ไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดอะไร”
“เธอไม่รู้จริงแค่แกล้งกันแน่?”
“ฉันไม่รู้” จูจูพูด “เรื่องทั้งหมดฉันเป็นคนทำคนเดียว ฉันไม่เคยร่วมมือกับใคร แล้วไม่มีทางร่วมมือกับผู่เหลียนเหยาด้วย”
“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่อยากได้อิสระสินะ” หนานกงเฉินลุกขึ้นจากบนโซฟาแล้วนั่งกลับไปบนโต๊ะทำงาน “ในเมื่ออย่างนี้ เธอก็ออกไปได้แล้ว”
“คุณชายคะ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากได้อิสระ แต่ว่าฉันกับเหลียนเหยาไม่ได้……”
“เธอไสหัวออกไปได้แล้ว!” หนานกงเฉินเอ่ยอย่างหงุดหงิด
จูจูอ้าปากเหมือนจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดแล้วพยักหน้าให้เขา จากนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องทำงานของเขา
—
หลังจากทานข้าวเสร็จ หนานกงเฉินลังเลไปเนิ่นนาน สุดท้ายก็ไปที่ห้องของคุณหญิง
คุณหญิงมองไปที่เขาแล้วเอ่ย “คุณชาย คุณไม่ได้พูดคุยกับฉันนานแล้ว วันนี้ลมอะไรพามาล่ะ?”
หนานกงเฉินยิ้มให้ท่านอย่างรู้สึกผิดแล้วเดินไปนั่งลงเก้าอี้ตรงข้าม “ช่วงนี้ยุ่งมากครับ”
“วันไหนบ้างที่แกไม่ยุ่ง?”
“คุณย่าครับ ผมมีเรื่องที่จะคุยกับคุณย่า”
“เรื่องอะไร?” คุณหญิงถามแล้วเอ่ยต่อ ไแต่ว่าฉันขอเตือนแกไว้เลย อย่าคุยเรื่องจูจูแล้วทำให้ฉันโมโห”
สถานการณ์ตอนนี้ ท่านไม่อยากให้เกิดอะไรผิดพลาด
หนานกงเฉินส่ายหัว “ไม่พูดเรื่องจูจู ผมแค่รู้สึกว่าช่วงนี้อากาศร้อน จะให้คุณย่าหนีร้อนไปอยู่ที่อื่นหรือว่าไปท่องเที่ยว”
“แกหมายความว่ายังไง?” คุณหญิงใช้นิ้วชี้ไปแล้วพูดกับพี่เหอ “เขาจะไล่ฉันออกจากบ้านตระกูลหนานกงเหรอ?”
พี่เหอรีบอธิบาย “คุณหญิงคะ คุณชายแค่จะให้คุณออกไปท่องเที่ยว แค่หนีร้อน”
“ฉันอยู่ที่นี่รู้สึกเย็นสบายมาก แม้แต่เหงื่อสักเม็ดก็ไม่เคยไหล ฉันร้อนหรอ? ตาข้างไหนของแกเห็นว่าฉันร้อน?” คุณหญิงใช้สายตาที่หงุดหงิดมองไปที่หนานกงเฉิน “แกก็แค่ไม่อยากให้ฉันทำอะไรจูจู หนานกงเฉินแกไสหัวออกไปเดี๋ยวนี้!”
“คุณย่า ผมไม่ได้กลัวว่าคุณย่าจะทำอะไรจูจู ผมกลัวว่าจูจูจะฆ่าคุณย่าก่อน” หนานกงเฉินเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์
คุณหญิงอึ้งไป จากนั้นหนานกงเฉินก็อธิบาย “ตอนนี้สถานการณ์ของตระกูลหนานกงไม่ดีมากนัก ที่ผมทำแบบนี้ก็เพื่อคุณย่า อยากให้คุณย่าไปจากที่นี่แล้วไปที่ที่ปลอดภัย แบบนี้ผมจะได้วางใจ”
คุณหญิงชี้ตัวเอง “จูจูเธอกล้าฆ่าฉันหรอ?”
“ถ้าเพื่อเอาตัวรอด เธอกล้าแน่นอน” หนานกงเฉินพูด “ไม่งั้นคุณย่าคิดว่าเธอจะคิดได้ง่ายขนาดนั้นเหรอครับ? แล้วยังยอมที่จะออกจากตระกูล? เธอก็แค่รู้ความลับของคุณหญิงจิ้งแล้วกลัวตายก็เท่านั้น”
“ใครบอกเธอ?”
“ผมเดาว่าน่าจะเป็นผู่เหลียนเหยา” หนานกงเฉินยิ้ม “ความลับของคุณหญิงจิ้งมีคนรู้น้อยมาก แต่เซิ่งเคอก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“เหลียนเหยา……” คุณหญิงเอ่ยเสียงเบาแล้วมองไปที่เขา “แกหมายความว่าเหลียนเหยาก็ไม่ใช่คนใสซื่องั้นเหรอ?”
“ครับ แต่ผมไม่รู้ว่าจุดประสงค์ที่เธออยู่ในบ้านหนานกงคืออะไร เพื่อที่จะช่วยตระกูลเซิ่งแย่งบริษัทหรือว่าอย่างอื่น……” หนานกงเฉินส่ายหัวแล้วยิ้มอย่างขมขื่น “แม้แต่ขาของเธอ เธอก็แค่แกล้ง”
“ขาของเธอ……แค่แกล้ง?” คุณหญิงรู้สึกตกใจมาก
พี่เหอที่อยู่ข้างๆก็เอ่ยแทรก “คุณหญิงคะ ความจริงฉันก็สงสัยมาตั้งนานแล้วค่ะ ว่าขาของคนหนูผู่ก็แค่แกล้ง แต่ว่าไม่แน่ใจก็เลยไม่กล้าพูด”
“ทำไมเธอต้องทำแบบนี้ด้วย? แถมยังแกล้งนานขนาดนี้”
“อาจจะเป็นเพราะอยากได้ความสงสารจากคุณชายเซิ่ง “พี่เหอเดา
หนานกงเฉินส่ายหัว “ไม่ เพื่อที่จะหลอกตาคนมากกว่า” หนานกงเฉินมองไปที่ทั้งสองแล้วเอ่ย “คุณย่า คุณย่าบอกความจริงกับผม อุบัติเหตุของมู่ชิงตอนนั้นคุณย่ามีส่วนร่วมหรือเปล่า? ถ้าไม่มี คนที่คิดแผนก็คงจะเป็นผู่เหลียนเหยา ไม่งั้นดูจากสมองและความสามารถของจูจูทำไม่ได้รอบคอบขนาดนั้นแน่นอน”
“อุบัติเหตุของไป๋มู่ชิงมีคนตั้งใจให้เกิดงั้นเหรอ?” คุณหญิงถามอย่างสงสัย “คดีนั้นจบไปนานแล้วไม่ใช่เหรอ?”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของท่าน หนานกงเฉินก็เข้าใจแล้วว่าเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับท่าน เขาก็โล่งอกไป “จูจูเป็นคนทำให้เกิด แต่ว่าคนที่วางแผนผมคิดว่าเป็นผู่เหลียนเหยา”
“ทำไมผู่เหลียนเหยาต้องช่วยเธอด้วย?”
“เรื่องนี้ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน” หนานกงเฉินส่ายหน้า
ตั้งแต่ที่ผู่เหลียนเหยาช่วยเขาเปิดโปงไป๋ยิ่งอัน แล้วส่งตัวจูจูมาข้างกายเขา ดูเหมือนว่าทุกอย่างทำเพื่อเขา เพื่อที่จะช่วยเขากับคู่ครองที่ฟ้าลิขิตไว้ เพื่อที่จะหลุดพ้นจากโรคร้าย แต่ว่าทั้งทั้งที่คนตระกูลเซิ่งอยากให้เขาตาย ถ้าเขาตาย บริษัทหนานกงก็จะเป็นของตระกูลเซิ่ง
“ตอนนี้ยังทำอะไรเธอไม่ได้ เพราะผมอยากรู้ว่าเธอต้องการอะไรแล้วลองใจเซิ่งเคอด้วย” หนานกงเฉินพูด “แต่ยังไงในบ้านไม่ปลอดภัย คุณย่าออกไปอยู่ข้างนอกก่อนเถอะครับ” หนานกงเฉินขอร้อง
คุณหญิงคิดไปคิดมาแล้วส่ายหน้าปฏิเสธ “ไม่ ฉันไม่มีทางไปจากบ้านหลังนี้เด็ดขาด”
“ทำไมครับ?”
“แกไว้ใจเถอะ ฉันจะจ้างบอดี้การ์ดในบ้านเพิ่ม ไม่ว่าจูจูหรือว่าผู่เหลียนเหยาพวกเธอก็ไม่กล้าทำอะไรฉัน”
“คุณย่าครับ ถ้าเขาจะลงมือกับคุณย่าใช้เวลาแค่วิเดียว มีบอดี้การ์ดเยอะแยะจะมีประโยชน์อะไรครับ?”
“แกขังจูจูไว้แล้วไม่ใช่หรอ? เธอจะทำอะไรได้อีกล่ะ?” คุณหญิงยืนยันว่าจะไม่ย้ายออกแล้วเอ่ยอย่างหงุดหงิด “แล้วอีกอย่าง อีกแค่เดือนเดียวก็ครบรอบการแต่งงานสามปีของแกกับจูจูแล้ว นี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุด ฉันจะยอมปล่อยแผนของตัวเองไปแล้วหนีเอาตัวรอดได้ยังไง?”
“คุณย่า!”
“ทำไม? ฉันพูดผิดหรอ?”
หนานกงเฉินรู้สึกโมโห “นี่มันเวลาไหนแล้ว คุณย่ายังงมงายอีก”
คุณหญิงงมงายเรื่องนี้จะสามสิบปีแล้ว หนานกงเฉินเข้าใจดีว่าตัวเองไม่สามารถเปลี่ยนความคิดของท่านได้ เขาก็เดาได้ว่าคุณหญิงไม่เชื่อฟังเขาแน่นอนแล้วไปจากคฤหาสน์ตระกูลหนานกง แต่เมื่อเห็นท่าทางท่านแบบนี้เขาก็รู้สึกเอื้อมระอา
เขาสูดหายใจเข้า “คุณย่าจะเอาหัวใจของจูจูให้คุณหญิงจิ้งจริงเหรอครับ? คุณย่าทำได้ลงคอเหรอครับ?”
“ถ้าทำให้โรคของแกดีขึ้นได้ อย่างว่าแต่ควักหัวใจเธอเลย แม้แต่สับให้เธอละเอียดฉันก็ทำได้ อย่างน้อยถ้าเธอตายแล้วฉันก็ตายตามเธอไปด้วยก็เท่านั้น” คุณหญิงเอ่ยด้วยสีหน้าเข้มงวด “ยังไงจูจูก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว อยู่บนโลกก็แค่จะเป็นหายนะ”
ทีแรกหนานกงเฉินอยากจะพูดว่าไม่มีทางให้เรื่องนี้เกิดขึ้น แต่ก็กลัวว่าถ้าตัวเองพูดแล้วคุณหญิงจะขังเขาอีก
เขาทำอะไรก็ไม่ได้ก็เลยลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินออกจากห้องคุณหญิง
ก่อนจะไป เขาก็เอ่ยกับพี่เหอ “ช่วยผมคุยกับคุณย่าด้วย”
“คุณชายจะให้ฉันพูดอะไรคะ?” พี่เหอรู้สึกลำบากใจ
“บอกให้ท่านไปจากบ้านหลังนี้ก่อน” หนานกงเฉินมองไปที่คุณหญิง จากนั้นก็ก้าวเดินออกมา
หลังจากที่หนานกงเฉินเดินออกไป พี่เหอก็กลับไปข้างกายคุณหญิงแล้วเอ่ยอย่างระมัดระวัง “คุณหญิงคะ ที่คุณชายทำแบบนี้ก็เพื่อคุณหญิงนะคะ”
“ฉันรู้” คุณหญิงโบกมือให้เธอ “เธอก็อย่าพูดกับฉันเลย นิสัยของฉันเธอก็รู้ดี”
พี่เหอก็ต้องรู้นิสัยของคุณหญิงอยู่แล้ว แล้วรู้ว่าไม่ว่าตัวเองจะพูดยังไงก็ไม่มีประโยชน์
คุณหญิงก็ถอนหายใจ “ไม่คิดเลยว่าในบ้านหลังนี้จะเลี้ยงเสือไว้หลายตัวขนาดนี้ ล้มเหลวสิ้นดี”
“ใช่ค่ะ ซ่อนตัวกันลึกมาก” พี่เหอเอ่ยปลอบใจ “คุณหญิงคะ หรือว่าเราออกไปอยู่ข้างนอกก่อนหนึ่งเดือน พอถึงเวลาหนึ่งเดือนค่อยกลับมา?”
“จะทำได้ยังไง? ฉันก็ทิ้งให้เฉินอยู่คนเดียวไม่ได้”
“ก็ใช่ ข้างกายคุณชายไม่มีใครที่สนิทแล้วเชื่อใจได้เลย” พี่เหอพูด “คิดไปคิดมา ไป๋มู่ชิงดีกับคุณชายที่สุด เสียดาย……” พี่เหอเห็นสีหน้าของคุณหญิงเปลี่ยนไปก็เลยไม่ได้พูดต่อ
คุณหญิงก็มองไปที่เธอ ท่านรู้อยู่แล้วว่าตอนที่อยู่หนานกงเฉินอยู่กับไป๋มู่ชิงเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด แต่ใครให้เธอไม่ใช่คู่ครองที่ฟ้าลิขิตไว้ของล่ะ? ก็โทษที่พวกเขาสองคนไม่มีบุญวาสนา
—
ไป๋มู่ชิงตื่นมาตั้งแต่เช้าก็ได้ยินข่าวว่ามีคนกระโดดตึกบริษัทหนานกง
ตอนที่ได้ยินข่าวนี้เธอกำลังแปรงฟันอยู่ในห้องน้ำ แม้แต่หน้าก็ยังไม่ได้ล้างก็วิ่งออกมา
“เกิดอะไรขึ้น?” เธอถามอย่างประหลาดใจ
เฉียวเฟิงมองไปที่เธอแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง “คนงานที่ไปประท้วงเมื่อวานกระโดดตึกตายแล้ว”
“กระโดดตึกตาย?” ไป๋มู่ชิงเดินไปใกล้ทีวีแล้วมองไปที่สถานที่เกิดเหตุ ญาติของผู้ตายก็เอาแต่ด่าหนานกงเฉินแล้วยังมีการชูป้ายด้วย เธอเบิกตากว้างเอาแต่ตามหาเงาของหนานกงเฉิน กังวลว่าเขาจะไปที่เกิดเหตุ แต่ยังดีที่ไม่ได้ไป!
“อื้อ” เฉียวเฟิงตอบรับ
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ หนานกงเฉินจะทำยังไง?”
“ดูเหมือนว่าเธอจะเป็นห่วงเขามาก?” เฉียวเฟิงอดไม่ได้แล้วเอ่ย
มีข่าวอื่นมาแทรกพอดี ไป๋มู่ชิงก็หันหน้าไปก็เห็นว่าเฉียวเฟิงกำลังจ้องมาที่ตัวเองแล้วเอ่ย “ฉัน……ไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้ ก็เลยรู้สึกตกใจ”
เมื่อเห็นท่าทางเขาเรียบนิ่งมาก ไป๋มู่ชิงก็เลยถามอย่างสงสัย “ดูเหมือนว่านายจะไม่รู้สึกแปลกใจเลย?”
“คนคนนี้ก็ใช้คำตายเพื่อที่จะได้เงินชดใช้ก็เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสงสาร”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า ยังเป็นไปได้ว่ามีคนจงใจทำให้เกิดด้วย
ถ้ามีคนจงใจทำให้เกิด แต่ละเรื่องเกิดขึ้นต่อๆกัน หนานกงเฉินก็ตกอยู่ในอันตราย เมื่อนึกถึงสถานการณ์ของหนานกงเฉิน เธอก็รู้สึกเป็นห่วงมาก
น้ำเสียงของเฉียวเฟิงอ่อนโยนแล้วเอ่ย “เธอไม่ต้องกังวลหนานกงเฉินหรอก เขาคงไม่ถึงขั้นที่จัดการปัญหาเล็กน้อยแบบนี้ไม่ได้”
ไป๋มู่ชิงมองไปที่เขาแล้วเพิ่งรู้ว่าเมื่อกี้เธอออกนอกหน้าเกินไป เธอรีบใช้ผ้าเช็ดปาก “อาเฟิง ความจริงฉันก็แค่เป็นห่วงเขาก็เท่านั้น ถึงแม้ตอนนี้ฉันกับเขาจะไม่ใช่สามีภรรยากันแล้ว แต่ก็ยังเป็นเพื่อนกัน”
เธอเดินไปใกล้เฉียวเฟิงแล้วจับแขนของเขาไว้ “นายอย่าคิดมากเลย”
เฉียวเฟิงยกมือขึ้นตบหลังมือเธอเบาๆ “ไว้ใจเถอะ ผมไม่คิดมากหรอก”
“งั้นก็ดี” ไป๋มู่ชิงหักห้ามความเป็นห่วงที่มีต่อหนานกงเฉินแล้วยิ้ม “ใช่สิ วันนี้เป็นวันเกิดนาย คืนนี้เราออกไปกินฉลองอะไรกันดีไหม?”
“ออกไปฉลองก็ช่างเถอะ ผมชอบกินในบ้านมากกว่า” เฉียวเฟิงพูด
“งั้นได้ เดี๋ยวฉันจะทำกับข้าวให้เอง”
“อื้อ”
“แล้ววันนี้นายจะไปร้านอาหารหรือเปล่า? อย่าไปเลยได้ไหม?”
เฉียวเฟิงคิดไปคิดมาแล้วส่ายหน้า “ไม่ได้ วันนี้มีธุระในร้านอาหารพอดี แต่ว่าผมจะรีบกลับมา”
“จะกลับมาเมื่อไหร่?”
“กินข้าวเที่ยงกับเพื่อนเสร็จก็กลับมาแล้ว”
ไป๋มู่ชิงพยักหน้า “ได้ งั้นฉันรอนายอยู่ที่บ้าน”
เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ เฉียวเฟิงก็ออกจากบ้านไป
ไป๋มู่ชิงอยู่ในบ้าน เธอลบความเป็นห่วงเกี่ยวกับบริษัทหนานกงไปทั้งหมด แล้วเอาแต่ย้ำกับตัวเองในใจว่าอย่าไปคิดถึงเขา เฉียวเฟิงพูดถูก ความสามารถของหนานกงเฉิน แม้แต่เรื่องเล็กแค่นี้ก็จัดการไม่ได้เหรอ เธอไม่จำเป็นต้องกังวล
แล้วอีกอย่างตัวเองก็ช่วยเขาไม่ได้ด้วย จะโทรไปปลอบใจตอนนี้ก็คงจะทำให้หนานกงเฉินเข้าใจผิด คิดว่าเธอปล่อยเขาไม่ได้แล้วเป็นห่วงเขา
ในเมื่อตัดสินใจที่จะอยู่ข้างกายเฉียวเฟิง ก็ไม่ควรไปคิดถึงคนหรือว่าเรื่องเมื่อก่อน ไม่ควรใส่ใจผู้ชายคนอื่นมากไปไม่ใช่หรอ?