เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 235 ฉันจะบอกความลับอะไรให้เธอหนึ่งอย่าง

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

“หนานกงเฉิน อย่ามาเสียใจทีหลังล่ะ!”คุณผู้หญิงหันไปจ้องเขาที่อยู่ในห้อง สีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห“ฉันเตือนเธอ วันนี้เธอไม่ยอมให้ฉันพาเธอกลับไป วันหลังถ้าอยากพาเธอไปอย่ามาขอร้องฉันแล้วกัน!”

“คุณย่า จะพอได้แล้วหรือยัง!”หนานกงเฉินก็โมโห

ไป๋มู่ชิงเห็นพวกเขาย่าหลานทั้งสองคนมองกันไปมา เลยรีบไปดึงแขนหนานกงเฉินพูดว่า“คุณชายใหญ่ มีอะไรก็ค่อยๆคุยกัน อย่าใช้แต่อารมณ์เลย”

หนานกงเฉินสูดหายใจเข้าไปลึกๆ หันไปพูดกับเธอ ไปตบที่มือเธอเบาๆและพูดอย่างอ่อนโยนว่า“มู่ชิง เธอกลับห้องไปก่อน เดี๋ยวที่นี่ฉันจัดการเอง”

ไป๋มู่ชิงมองไปที่คุณผู้หญิง หลังจากที่พยักหน้าแล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้อง

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงไปแล้วนั้น หนานกงเฉินหันไปจ้องคุณผู้หญิงด้วยท่าทางที่เคร่งครึมและจริงจังว่า“คุณย่า ก่อนหน้านี้ผมเคยบอกไปแล้วว่ามู่ชิงไม่ใช่จูจู ผมอย่างไรก็ไม่ให้ย่าไปเตะต้องเธอ ก็ถือว่าเธอต้องการที่จะกลับมาที่ตระกูลหนานกง และก็จะไม่กลับไปทนทรมานกับคุณย่าอีกแล้ว แต่จะอยู่กับผมไปตลอดชีวิต”

“ถ้าหากว่าชีวิตยังรักษาไว้ไม่ได้ เธอจะเอาอะไรไปอยู่กับเธอไปตลอดชีวิต?”

“ถ้าหากว่าเธอไม่มีชีวิตแล้ว ยังไงผมก็จะไม่ใช้ชีวิตลำพังหรอก ผมพูดคำไหนคำนั้น”

“แก……”คุณผู้หญิงพูดไม่ออก จ้องเขาอย่างเหลือเชื่อว่า“เธอกล้ามาใช้อำนาจกับฉันเหรอ?”

“ถูกต้อง”หนานกงเฉินกัดฟันพูด“ผมทนทรมานมามากเกินพอแล้ว จากวันนี้เป็นต้นไป ผมจะไม่ทนอีกต่อไปอีกแล้ว เรื่องของหยางหลี่ก็ผ่านมาแล้วผมไม่จำเป็นต้องสองถามหรอก แต่ว่าผมไม่ได้หวังว่าเรื่องนี้จะไปเกิดผลกระทบกับไป๋มู่ชิง”

หนานกงเฉินพูดจบ ก็ไปพูดกับพี่เหอว่า“พี่เหอ รบกวนพี่ไปส่งคุณย่ากลับหน่อย”

พี่เหอมองเขาและคุณผู้หญิงมองแล้วมองอีก ในที่สุดก็เดินไปพยุงแขนของคุณผู้หญิงและพูดอย่างปลอบโยนว่า“คุณผู้หญิง พวกเรากลับไปก่อนดีกว่าค่ะ”

พอพูดจบ เธอก็รีบส่งสายตาให้คุณผู้หญิง

คุณผู้หญิงถึงแม้จะไม่ยอม แต่ว่าสุดท้ายแล้วก็ยังคงต้องยอมแพ้ให้กับหนานกงเฉิน ได้แต่เดินออกไปด้วยความโกรธแค้น

พี่เหอรีบเดินตามเธอไปและพูดออกมาด้วยความห่วงใย“คุณผู้หญิง ท่านอย่ารีบเดินขนาดนั้นสิคะ เดียวจะหกล้มเอา”

“ล้มตายไปเลยยิ่งดี ถ้าตายไปก็จะได้ไม่ต้องมาทนกับอะไรแบบนี้แล้ว”คุณผู้หญิงพูดออกมาด้วยความโมโหจนหายใจไม่ทัน

“คุณผู้หญิง ท่านก็รู้อยู่ว่ายังไงคุณชายใหญ่ก็ไม่ให้ท่านไปทำร้ายคุณหนูไป๋หรอก ตอนที่มาพวกเราก็ไม่ได้มีความหวังอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?ท่านพูดว่าท่านกับคุณชายใหญ่ทะเลาะกันไปก็ไม่มีความหมายอะไร ยิ่งเป็นแบบนี้เขาก็ยิ่งไม่พูด กลับทำมาทำร้ายให้ความสัมพันธ์ย่าหลานยิ่งแย่ลงไปอีก”

คำพูดพวกนี้เป็นเรื่องจริง จริงๆแล้วตอนที่พวกเธอมาก็พอจะเดาออกได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร ในตอนแรกเป็นจูจู หนานกงเฉินก็ไม่อนุญาตเธอทำตามวิธีของท่านอาจารย์หวัง ยิ่งกว่านั้นยังเป็นไป๋มู่ชิงสุดที่รักของเขา?

คุณผู้หญิงทนไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา ถึงแม้จะโกรธแต่กลับจำเป็นต้องยอมรับกับเรื่องนี้

ไป๋มู่ชิงแอบฟังอยู่ที่ประตูอยู่พักหนึ่ง หลังจากที่ได้ยินว่าที่หน้าประตูไม่ได้การเคลื่อนไหวอะไรแล้วถึงจะเปิดประตูออกไปดู

ตอนที่เธอเดินออกไปนั้น หนานกงเฉินกำลังยืนอยู่ที่หน้าหน้าต่าง ในมือถือบุหรี่อยู่ ในควันบุหนี่ที่ลอยขึ้นไปนั้น ท่าทางของเขาเคร่งขรึมมาก

“คุณย่าไปแล้วเหรอ?”เธอเดินไปถามและไปหยิบบุหรี่ที่เหลืออีกครึ่งมวนที่เหลือมาแล้วไปดับในที่เขี่ยบุหรี่ข้างๆ

“ใช่ท่านไปแล้ว”หนานกงเฉินหันกลับไปมองเธอด้วยสายตาที่ค่อยๆเต็มไปด้วยความรู้สึกที่เจ็บปวดหัวใจ“มู่ชิง เชื่อฉันนะ ยังไงฉันก็จะไม่ให้คุณย่ามาทำร้ายเธอได้อีก”

“ฉันเชื่อคุณค่ะ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า

“ฉันจะพาเธอกลับไปที่ตระกูลหนานกง แต่ว่าจะไม่ทำร้ายจิตใจเธอแต่จะอยู่ใช้ชีวิตกับเธออย่างดีเลย”

“คุณชายเฉิน……”

“ชู่ว……”หนานกงเฉินเอานิ้วชี้ไปวางบนริมฝีปากของเธอ รีบทำเสียงและโบกมือกับเธอ“ฉันรู้ว่าเธออยากจะพูดอะไร เธอไม่ต้องรีบปฏิเสธฉันขนาดนี้ก็ได้นะ”

“คุณชายเฉิน วันนี้ฉันต้องกลับไปแล้ว”

หนานกงเฉินไตร่ตรองดูและพยักหน้า“เดี๋ยวฉันไปส่งเธอเอง”

เขาพูดจบรีบหันไปหยิบกุญแจรถบนโต๊ะ เห็นเขาเดินออกไปข้างนอก ไป๋มู่ชิงตกใจมาก

นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะยอมให้เธอกลับไปด้วย?ยิ่งกว่านั้นก็ไม่คิดว่าจะกระทันหันขนาดนี้เลยเหรอ?นี่มันผิดปกติเกินไปแล้ว

ไม่มีเวลาไปคิดมาก เธอก็รีบเดินตามเขาและออกไปจากที่นั่นด้วยกัน

หนานกงเฉินไม่ได้หลอกเธอ เขาไปส่งเธอที่บ้านสวนตระกูลเฉียวจริงๆ ไป๋มู่ชิงปลดเข็มขัดนิรภัยออก หันไปจ้องเขาและพูดว่า“ขอบคุณนะคะ ฉันเข้าไปก่อนนะ”

หนานกงเฉินมองที่บ้านสวนนั้นผ่านออกมาจากหน้าต่างรถ มองเธอแล้วยิ้ม“ไม่เชิญให้ฉันเข้าไปหน่อยเหรอ?”

เขาอยากเข้าไปเหรอ?นี่มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลย ทันใดนั้นไป๋มู่ชิงก็รู้สึกค่อยข้างลำบากใจ

หนานกงเฉินไม่รอให้เธออนุญาต ก็เปิดประตูรถออกมา หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปในบ้าน

“คุณชายเฉิน คุณจะทำอะไร……?”ไป๋มู่ชิงก็รีบลงรถตามเขาเข้าไป

เฉียวเฟิงยังอยู่ที่บ้านอยู่เลย ถ้าหากว่าเขาเข้าไปแบบนั้นมันหมายความว่าตั้งใจเพิ่มความกลุ้มใจให้เฉียวเฟิงหรอกเหรอ?

เฉียวเฟิงที่อยู่ในบ้านก็ได้ยินเสียงเพราะเขาพึ่งออกมาจากห้องพอดี ตอนที่เห็นหนานกงเฉินนั้นเขาก็ทำสีหน้าที่ตกใจมาก ไป๋มู่ชิงก็ไม่รู้ว่าจะอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าฟังอย่างไร ได้แต่อ้ำอึ้งและมองเขาด้วยสีหน้าที่กังวลใจ

เฉียวเฟิงจ้องไปที่ไป๋มู่ชิง ยิ้มแห้งๆ“เธอกลับมาแล้วเหรอ”

“ใช่ค่ะ”ไป๋มู่ชิงเดินไปหาเขา ไปยืนนิ่งๆอยู่ข้างหน้าเขา“หลักฐานที่จูจูส่งมาให้ฉันได้แล้ว ผู่เหลียนเหยาก็โดนจับไปแล้ว ดังนั้นฉันเลยกลับมาแล้ว”

“อย่างนั้นในที่สุดเธอก็ปลอดภัยแล้วสินะ?”

“ใช่แล้วค่ะ”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า เธอหันกลับไปมองหนานกงเฉินที่อยู่ข้างหลัง พูดว่า“คุณชายเฉินเขามาส่งฉัน พูดว่าอยากเขามานั่งสักหน่อย ได้ใช่ไหมคะ? ”

เฉียวเฟิงมองผ่านไป๋มู่ชิงและจ้องไปที่หนานกงเฉิน ไม่รอให้เขาแสดงท่าทีออกมา หนานกงเฉินเดินเข้ามาเองและพูดว่า“ในที่สุดมู่ชิงปลอดภัยแล้ว เรื่องดีขนาดนี้พวกเราจะไม่ฉลองกันได้อย่างไรกันล่ะ?”

ระหว่างที่พูดนั้น เขาก็เดินเข้าไปก่อนแล้ว ไม่มีโอกาสให้เขาได้ปฏิเสธเลย

“ฉันเข้าใจ”เฉียวเฟิงยิ้มให้กับเธอและหมุนตัวกลับเข้าไปข้างใน

ความลับระหว่างพวกเขาทั้งสองคนนั้นโดนหนานกงเฉินเก็บไว้ในสายตา หนานกงเฉินรู้สึกไม่สบายใจ เขารู้สึกลังเล หันไปพูดกับไป๋มู่ชิงว่า“มู่ชิง ดีเลยพวกเรายังไม่ได้ทานอาหารเย็น รบกวนทำอาหารเพิ่มอีกชุดหนึ่งหน่อยนะ ขอบคุณมาก”

ไป๋มู่ชิงพูดอะไรไม่ออก ในใจคิดว่าเขานี่มันได้คืบจะเอาศอก

เธอพยายามพูดออกมา ในขณะนั้นก็มองไปที่เฉียวเฟิง เขายิ้มให้เธอโดยไม่รู้สึกรำคาญเลย“ไปกันเถอะ ฉันก็ยังไม่ได้ทานข้าวพอดีเลย”

ถึงแม้ว่าเฉียวเฟิงจะพูดออกมาแล้ว แต่ไป๋มู่ชิงยังรู้สึกว่าทานข้าวด้วยกันสามคนมันค่อนข้างที่จะไม่สบอารมณ์ ยิ่งกว่านั้นทิ้งพวกเขาไว้สองคนแล้วเธอออกไปซื้ออารหารแล้วถ้าเกิดทะเลาะกันขึ้นมาอีกล่ะจะทำอย่างไร?

สัมผัสได้ถึงความกังวลของเธอ เฉียวเฟิงเลยพูดออกไปอย่างปลอบโยนว่า“ไปเถอะ ไม่มีอะไรหรอก”

สุดท้ายแล้วไป๋มู่ชิงก็ออกไปซื้อวัตถุดิบของอาหารเย็น

ไป๋มู่ชิงพึ่งจะออกไป เฉียวเฟิงหันไปพูดเยาะเย้ยว่า“หนานกงเฉิน ฉันรู้สึกว่านายควรเปลี่ยนชื่อจากหนานกงเฉินเป็นล่ายผีนะ

หนานกงเฉินกลับไม่ได้โกรธอะไร แต่เขายักไหล่พูดว่า“ถ้านายยังไม่ปล่อยมู่ชิงอีก ฉันรู้สึกว่านายยิ่งไม่เหมาะกับชื่อนี้”

เขาเดินไปข้างหน้า มองลงไปที่เฉียวเฟิงและพูดต่อว่า“ยังจำที่นายสัยญาไว้ได้ไหม?ถ้าฉันจัดการจูจูกับผู่เหลียนเหยาได้แล้วนายจะคืนไป๋มู่ชิงให้ฉัน”

เฉียวเฟิงหันกลับมาส่ายศีรษะและยิ้มเยาะ“นายคิดว่าทุกอย่างไม่จบลงแล้วเหรอ?มันยังไม่จบหรอกนะ”

หนานกงเฉินกระวนกระวายใจ โมโหขึ้นมาในชั่วพริบตา“ดูแล้วก่อนหน้านี้ที่นายสัญญาไว้เป็นเพียงข้ออ้างที่จะมาขัดขวางฉัน ไม่ได้น่าเชื่อถือตั้งแต่แรก”

“หนนกงเฉิน ถือว่านายจัดการจูจูกับผู่เหลียนเหยาแล้ว แต่ว่าคนที่อันตรายที่สุดนายก็ยังไม่ได้จัดการเลย และคงจะจัดการไม่ได้ไปตลอด”

“นี่นายหมายถึงคุณย่าของฉัน?”

“หรือว่าไม่ใช่ล่ะ?”

หนานกงเฉินอ้ำอึ้งไปเลย ถึงแม้ว่าจะรู้สึกว่าจัดการไม่ได้

ขนาดเมื่อครู่นี้คุณผู้หญิงบังคับไป๋มู่ชิง ถ้าไม่ใช่เพราะเขาต้องรีบกลับมาส่งไป๋มู่ชิงกลับมาอาจจะโดนพาไปที่คระกูลหนานกงแล้ว ไม่สิ อาจจะโดนคุณผู้หญิงจับตัวไปซ่อนไว่ที่ไหนสักที่หนึ่งแน่ๆ

ถึงแม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องจริงทั้งมหด แต่เขาโกรธมาจนอยากจะฆ่าเฉียวเฟิง เขากลั้นความโกรธเอาไว้และพูดว่า“ถาอย่างนั้นนายคิดที่จะคืนมู่ชิงให้ฉันบ้างไหม?”

“ฉันยังยืนยันคำเดิม รอวันที่นายสามารถปกป้องมู่ชิงได้ค่อยมาคุยกับฉัน”เฉียวเฟิงพูดอกมาอย่างเย็นชา

“นี่นายหลอกฉันตั้งแต่แรกเหรอ!”หนานกงเฉินเอนตัวเข้าไปคว้าคอเสื้อของเขา โกรธอย่างมาก

เฉียวเฟิงกลับไม่มีร่อยรอยของความโกรธเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ยกมือขึ้นมาเอามือของเขาออกจากเสื้อของตัวเอง พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ว่า“คุณชายเฉิน นายมีเหตุผลหน่อยสิ จะได้ไม่ทำให้มู่ชิงทรมาน”

หนานกงเฉินยอมแพ้ เขายังหวังว่าให้ไป๋มู่ชิงกลับมาอยู่ข้างกายเขาจากเฉียวเฟิง ดูแล้วยังไงก็เป็นไปไม่ได้!

แม้กระทั่งอาหารเย็นเขาก็ไม่กิน เขาเลิกมองเฉียวเฟิงด้วยสายตาที่โกรธแค้น หันหลังเดินออกไปจากประตูใหญ่

เห็นภาพที่เขาจากไปนั้น ในที่สุดเฉียวเฟิงก็จัดเสื้อผ้าของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง

ไป๋มู่ชิงซื้ออาการเสร็จก็กลับมา เห็นว่าในบ้านเหลือแต่เฉียวเฟิงคนเดียว เธอกวาดตามองไปรอบๆและถามว่า“หนานกงเฉินล่ะ?”

“เขาไปแล้ว”เฉียวเฟิงพูดออกมาเบาๆ และหันขึ้นมาจ้องเธอที่ฝืนยิ้มทันที“เป็นอะไรไป?ผิดหวังเหรอ?”

“จะเป็นแบบนั้นได้อย่างไร เขาอยู่ที่นี่ฉันรู้สุกไม่สบายใจ”ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วยิ้มอีก“ไปแล้วก็ดีแล้ว”

ก็จริง ไปแล้วก็ดีแล้ว!

“มู่ชิง……”เฉียวเฟิงกวักมือเรียก ไป๋มู่ชิงเลยเดินเข้าไปหา จับฝ่ามือของเขาและมองไปที่เขาว่า“เป็นอะไรไป?หรือว่าเขายั่วโมโหคุณอีกแล้ว?”

ผู่เหลียนเหยาส่ายศีรษะปฏิเสธ“ไม่ใช่ ไม่ว่าเขาจะยั่วฉันแบบไหน ขอเพียงแค่เธอยอมอยู่ข้างๆฉัน ฉันก็จะไม่โกรธหรอก”

ไป๋มู่ชิงยิ้มแล้วยิ้มอีก ในใจคิดว่ายังไงหนานกงเฉินก็ต้องโกรธ ยังไงก็ต้องโมโหถึงจะจากไป

ในตอนนั้นเอง เธอไม่คิดเลยว่าจะรู้สึกเห็นใจเขาขึ้นมา

“มู่ชิง ฉันแค่อยากถามเธอว่า คำพูดที่เธอเคยพูดออกมายังนับอยู่ไหม?”เฉียวเฟิงทำหน้าจริงจังมากเพื่อรอคำตอบ

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า“รอฉันจัดการเรื่องอะไรเสร็จแล้ว พวกเราก็ไปต่างประเทศหาหว่านชิงกัน สัญญาข้อนี้ฉันจำได้ตลอดแหละ”

“อย่างนั้นก็ดี”เฉียวเฟิงยกมือขึ้นไปลูบๆหัวของเธอ“ฉันกลัวเธอเปลี่ยนใจมากๆเลย”

“ไม่มีวันหรอก”ตอนที่ไป๋มู่ชิงพูดคำพูดพวกนั้นออกมารู้สึกว่าเหมือนเลือดไหลอยู่ในใจ

เธอไม่รู้ว่าต้องรอกี่วันหลังจากที่เธอกับเฉียวเฟิงไปต่างประเทศแล้ว หนานกงเฉินจะเป็นอย่างไ เธอก็อดคิดไม่ได้

ไม่ง่ายเลยทีเดียวทีตะรอพบหน้ากับผู่เหลียนเหยา ผู้คุมบอกว่าเซิ่งเคอกับผู่เหลียนเหยาไม่อยากเจอเธอ แค่อยากเจอไป๋มู่ชิงแค่คนเดียว

“ทำไมกันล่ะ?”เซิ่งเคอรีบถามออกไปว่า“ฝากคุณไปบอกเธอหน่อย ไป๋มู่ชิงไม่มีวันที่จะมาเยี่ยมเธอหรอก คนที่อยากเจอเธอน่ะคือฉันเอง”

“คุณเซิ่งเคอ ผู้ที่กระทำความผิดไม่สามารถไปพบกับครอบครัวได้ก่อนที่จะประกาศคำตัดสิน ยิ่งกว่านั้นคุณหนูผู่ก็ไม่อยากเจอคุณแล้ว ดังนั้น……กลับไปเถอะ”ผู้คุมพูดจบ ก็พูดต่อว่า“ใช่แล้ว คุณหนูผู่ให้ไปบอกคณหนูไป๋มู่ชิง ถ้าหากคุณหนูไป๋ไม่มาเจอเธอหลังจากนี้ต้องเสียใจแน่ๆ”

“หมายความว่ายังไงกัน?”

“ไม่แน่ใจเหมือนกัน”ผู้คุมยักไหล่

แต่ในตอนที่ไป๋มู่ชิงกำลังเก็บข้าวของเตรียมตัวไปขึ้นเครื่องไปอังกฤษตอนหนึ่งทุ่ม

หลังจากที่เธอคบุมโซฟาตัวสุดท้ายแล้วนั้นก็หันไปยิ้มและพูดกับเฉียวเฟิงว่า“ฉันพร้อมแล้วค่ะ” 

“โอเค”เฉียวเฟิงพยักหน้า

ไป๋มู่ชิงดันรถเข็นของเขาเดินออกไปจากประตูใหญ่ ลุงหลิวเอาสัมภาระของทั้งสองคนย้ายไปไว้ที่หลังรถ เห็นทั้งสองคนออกมา และยินดีรับเฉียวเฟิงจากไป๋มู่ชิงมา ทั้งเข็นเขาไปข้างรถและทั้งยังกำชับว่า“คุณชายรอง นายหญิงรองจำไว้นะคะว่ามาถึงอังกฤษแล้วต้องดูแลตัวเองดีๆนะครับ”

“พวกเราจะดูแลตัวเอง ขอบคุณค่ะ”ไป๋มู่ชิงพูดออกมาอย่างซาบซึ้งใจ

ลุงหลิวพยุงเฉียวเฟิงขึ้นไปบนรถ ตอนที่ไป๋มู่ชิงเดินอ้อมไปอีกด้านหนึ่งเตรียมตัวขึ้นรถนั้น เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นไม่รู้ว่าหนานกงเฉินมาจอดรถอยู่ข้างหน้าที่ไม่ได้ไกลมาก ตอนที่พึ่งจะออกมาเธอไม่ได้ระวังตัวเลย

เธอตะลึงไปเลย สายตาเขามองหน้าหนานกงเฉินผ่านหน้ากระจกรถไป มองสีหน้าที่เจ็บปวดของเขา ในตอนนั้นเองเธอคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีความรู้สึกผิด

เดิมทีเธอวางแผนไว้ว่ารอให้หนานกงเฉินเผลอเธอถึงจะแอบๆจากไป คิดไม่ถึงเลยว่าเขายังจะเจอและยังปรากฏออกมาอีก

เฉียวเฟิงที่ขึ้นไปบนรถแล้วนั้นก็เห็นว่าหนานกงเฉินอยู่ตรงนั้น เขามองไป๋มู่ชิงมองแล้วมองอีกและยังมองหนานกงเฉินมองแล้วมองอีก พูดกับไป๋มู่ชิงว่า“มู่ชิง พวกเราไปกันเถอะ”

ไป๋มู่ชิงก็เลิกมองหนานกงเฉิน และก้มลงไปนั่งที่เบาะรถ

ลุงหลิวขับรถออกไป รถค่อยๆขับผ่านรถของหนานกงเฉินไป และขับไปจนเขาอยู่ข้างหลัง ตั้งแต่ต้นจนจบ หนานกงเฉินไม่ได้ลงมาจากรถเลย และไม่ได้พูดอะไรกับเธอเลย

ความเงียบของเขากลับไปทำให้ไป๋มู่ชิงยิ่งรู้สึกทรมานและกระวนกระวายใจ

เธอสามารถจินตนาการได้เลยว่า หลังจากที่เธอจากไปแล้วนั้น แน่นอนว่าหนานกงเฉินจะไม่กลับบ้านทันทีแน่ๆ แต่จะไปหาบาร์เหล้าที่คนไปเยอะๆเพื่อให้ตัวเองเมาเละเทะ

“มู่ชิง เธอโอเคใช่ไหม?”ทันใดนั้นเฉียวเฟิงก็ไปจับมือน้อยๆของเธอและถามไปหนึ่งประโยค

พอไป๋มู่ชิงได้สติกลับมา เธอถึงจะรู้ตัวเองว่าน้ำตาไหลลงมาอาบบนหน้าของเธอ เธอรีบยกมือขึ้นไปเช็ดน้ำตา หลังจากนั้นก็ยิ้มออกไปอย่างเคอะเขิน“ขอโทษนะคะ ฉันแค่เป็นห่วงเขา”

“ฉันเข้าใจ”เฉียวเฟิงพยักหน้า

หลังจากที่ไป๋มู่ชิงรู้สึกลังเล ก็หยิบโทรศัพท์โทรไปหาเลขาเหยียน ไม่นานเลขาเหยียนก็รับสาย“สวัสดีค่ะ ฉันเหยียนเยว่”

“เลขาเหยียน ฉันเอง”

“คุณหนูไป๋?มีอะไรเหรอคะ?”เหยียนเยว่ยังไม่เลิกงานเลย หลังจากที่ได้ยินเสียงโทรศัพท์วางงานไว้ก่อน เพราะในวันปกติแล้วไป๋มู่ชิงไม่มีเรื่องอะไรก็จะไม่โทรมาหาเธอหรอก

ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าค่อยข้างพูดออกมายาก ชะงักไปครู่หนึ่งถึงจะพูดว่า“คือว่า วันนี้ฉันเครื่องออกตอนหนึ่งทุ่ม ฉัน……ฉันเป็นห่วงคุณชายเฉิน……”

“คุณจะไปต่างประเทศวันนี้?กับเฉียวเฟิงเหรอ?”เลขาเหยียนถามออกไปอย่างตกใจ

“ใช่แล้ว……”

“จะไม่กลับมาแล้วเหรอ?”

“น่าจะใช่แหละ”ไป๋มู่ชิงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ขอร้อง“ดังนั้นฉันหวังว่าเธอจะช่วยฉันดูแลคุณชายเฉินได้นะ ฉันกลัวเขาออกไปดื่มเหล้าตอนกลางคืนอีก หลังจากนั้นก็อาการกำเริบ……”

“คุณหนูไป๋ คุณคิดดีแล้วเหรอ?ไหนจะคุณชายเฉินอีก เขาก็คิดดีแล้วใช่ไหม?”เลขาเหยียนรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย

“ฉันคิดดีแล้ว”ไป๋มู่ชิงพูด

“คุณชายเฉียวล่ะ?เขาไปกับคุณตอนนี้เหรอ?”เลขาเหยียนหยุดไปสักพักและพูดว่า“ฉันไปพูดอะไรกับเขาสักสองสอมประโยคได้ไหม?”

“ได้สิ”ไป๋มู่ชิงเอาโทรศัพท์ออกจากหูแล้วยื่นให้กับเฉียวเฟิงว่า“เลขาเหยียนอยากคุยกับคุณ”

เฉียวเฟิงมองที่โทรศัพท์เธอ หลังจากนั้นหยิบโทรศัพท์ไปแนบหูก็เกิดความเงียบขึ้นระหว่างพวกเขา ครู่หนึ่งเลขาเหยียนถึงจะพูดด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลายว่า“คุณ……จะต้องไปอังกฤษจริงๆเหรอ?”

“เธออยากให้ฉันอยู่ต่อ?”เฉียวเฟิงขมวดคิ้ว

“ไม่ ไม่ใช่”เลขาเหยียนปฏิเสธโดยอัตโนมัติ

“ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว”เฉียวเฟิงเอาโทรศัพท์ออกจากหูและยืนคืนให้กับไป๋มู่ชิง

ไป๋มู่ชิงรับโทรศัพท์ไป จ้องเฉียวเฟิงอย่างระแวง ทำไมเธอถึงรู้สึกว่ามือกี้ที่คำพูดสองประโยคสั้นๆของเขานั้นมีความหมายลึกซึ้งมากกันนะ?

เฉียวเฟิงราวกับรู้สึกได้ถึงความคิดของเธอ ยกมือขึ้นมาลูบหัวเธอและพูดว่า“ที่เธอไม่อยู่สองสามวัน ผู้หญิงคนนั้นมาอยู่เป็นเพื่อนฉัน เธอเป็นผู้หญิงที่ดีคนหนึ่งเลยนะ”

“แล้วสรุปว่ายังไงเหรอ? ”

“ดังนั้นเธอคงไม่มารู้สึกอะไรกับคนพิการแบบฉันหรอก เธอสบายใจได้”เขารีบยิ้มให้กับเธอ

ไป๋มู่ชิงก็ยิ้มออกมา พูดด้วยท่าทางที่เขินอายว่า“ฉันก็ไม่ได้ขี้งอนขนาดนั้น”

“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”เฉียวเฟิงพยักหน้า

ในเวลานั้นก็มีสายโทรเข้ามาหาไป๋มู่ชิงอีก เป็นสายของเซิ่งเคอ“พี่สะใภ้ ใช่พี่ไหม?”

“เธอคือ……เซิ่งเคอ?”พอได้ยินเสียงของเซิ่งเคอไป๋มู่ชิงก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

“ใช่ครับ ผมเอง”พอเซิ่งเคอพูดก็ขอร้องอ้อนวอนเธอ“พี่สะใภ้ ผู่เหลียนเหยาอยากเจอพี่ พี่มาเจอเธอหน่อยได้ไหม?”

ที่แท้ก็เป็นเพราะเรื่องของผู่เหลียนเหยา ไป๋มู่ชิงจำใจพูดออกไปว่า“เซิ่งเคอ พี่รู้สึกว่าก่อนหน้านี้พี่กับเธอไม่จำเป็นต้องเจอกันอีกแล้วนะ ขอโทษด้วย”

“ตอนนี้ผู่เหลียนเหยาไม่อยากเจอใครเลย อยากเจอแต่พี่”เซิ่งเคอพูด“พี่สะใภ้ เธอพูดว่าถ้าพี่ไม่ไปเจอเธอจะเสียใจทีหลังนะ ผมก้ไม่รู้เหมือนกันว่าหมายความว่าอย่างไร แต่ว่าตอนนี้เหลียนเหยาถูกความแค้นปิดบังไว้อยู่นใจ ไม่แน่ถ้ามีเรื่องขึ้นมาจริงๆล่ะ พี่มาเจอเธอหน่อยเถอะนะครับ”

“แต่ว่าพอดีตอนนี้ฉันไม่ว่างน่ะ”

“มาเจอเธอสักครู่ พูดอะไรกับเธอหน่อยคงไม่ใช้เวลานานมากหรอกครับ”เซิ่งเคอพูดอย่างปลอบโยน“พี่สะใภ้ไม่ต้องกัวลว่าเธอจะทำร้ายพี่หรอก ตอนนี้เธอไม่มีแรงที่จะไปทำร้ายใครอีกแล้ว”

ไป๋มู่ชิงก็ลองคิดดู ในที่สุดเธอพูดกับเขาว่า“ถ้าอย่างนั้นพี่ขอลองคิดดูก่อนนะ”

เธอก็วางสายไป หันไปมองเฉียวเฟิง ทั้งสองคนอยู่กันใกล้มาก เดิมทีเฉียวเฟิงได้ยินที่เซิ่งเคอพูดอย่างชัดเจนแล้ว เขาถามว่า“นี่จะไปเจอเธอจริงๆเหรอ?”

ไป๋มู่ชิงคิดถึงคำพูดประโยคนั้นของเซิ่งเคอ ถ้าเธอไม่ไปแล้วเสียใจทีหลังขึ้นมาล่ะ ในใจก็รู้สึกกระวนกระวายใจขึ้นมา

จริงๆแล้วเธอรู้อยู่แล้วว่าตัวเองนั้นไม่มีเหตุจำเป็นต้องไปเจอผู้หญิงคนนั้นแล้ว เพราะยังไงก็ต้องเป็นเรื่องที่ไม่ดีแน่ๆไม่เคยมีเรื่องดีเลย แต่ว่าในใจกลับรู้สึกมีความหวังที่อยากจะไปเจอเธอสักหน่อย ยิ่งกว่านั้นความหวังนั้นยิ่งเด่นชัดขึ้น

เธอยกนาฬิกาที่ข้อแขนขึ้นมาดูเวลา พูดกับเฉียวเฟิงว่า“ยังมีเวลาอยู่ ถ้าอย่างนั้นฉันไปเจอเธอสักหน่อยแล้วกัน”

เฉียวเฟิงก็เงียบไป จัดเจนว่าไม่อยากให้เธอไป

“ยิ่งกว่านั้น จากที่นี่ไปก็เป็นทางผ่านอยู่แล้ว”ไป๋มู่ชิงพูดออกมาอีกหนึ่งประโยค

เฉียวเฟิงจำใจพูดว่า“เธอแน่ใจเหรอว่าจะไป?”

“ใช่”ไป๋มู่ชิงพยักหน้า

เฉียวเฟิงเงียบอีกครั้ง ถึงจะพูดออกมาให้ลุงหลิวเปลี่ยนเส้นทาง

ตอนที่ถึงคุกนั้น ไป๋มู่ชิงเห็นเขารออยู่ตรงหน้าประตูมาไกลๆ เห็นไป๋มู่ชิงลงมาจากรถ สีหน้าของเขาก็เห็นได้ชัดว่าโล่งใจและพูดว่า“พี่สะใภ้ ขอบคุณนะครับที่ยอมมาเจอเธอ”

“นาย……”ไป๋มู่ชิงกวาดสายตาไปที่เขา“นายยังกล้าที่จะไปไหนมาไหนอยู่อีกเหรอ?”

เขาไม่ใช่ว่าว่าต้องหลบไปทุกๆที่เหรอ?แต่ว่าในเวลานั้นเธอก็ไม่มีเวลาไปถามคำถามพวกนี้แล้ว มองเวลาที่นาฬิกาที่แขนและพูดว่า“ช่างมันเถอะ เธอพาฉันไปหาผู่เหลียนเหยาก่อนเถอะ”

“พี่สะใภ้รีบไปเหรอ?”เซิ่งเคอกวาดสายตาไปที่เฉียวเฟิงที่นั่งอยู่ในรถ

“อืม วันนี้ฉันขึ้นเครื่องตอนหนึ่งทุ่ม”ไป๋มู่ชิงทั้งตอบละเดินเข้าไปข้างใน

ไป๋มู่ชิงถูกจัดให้รออยู่ในห้องเล็กๆ เธอรอไปเรื่อยๆในระหว่างที่มองดูนาฬิกาไปด้วย

หลังจากที่ผ่านไปห้านาที ในที่สุดผู่เหลียนเหยาก็ออกมาแล้ว

ผู่เหลี่ยนเหยามาปรากฏตัวต่อหน้าเธอก็ไม่ได้มีชีวิตชีวาและความสวยงามเหมือนเมื่อก่อน เธอสวมเสื้อผ้าของข้างในนั้น และยังผอมลงมากอีกด้วย หน้าตาซีดเซียวไร้เรี่ยวแรง ไป๋มู่ชิงมองไปที่เธอก็รู้สึกเห็นใจเธอออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ จ้องเธอและถามออกไปว่า“เธอเรียกหาฉันเหรอ?”

ผู่เหลียนเหยาไม่ได้ตื่นตระหนกและรู้สึกกลัวเลยเหมือนกันที่เธอคิดเอาไว้ และไม่ได้ร้องไห้ของร้องอ้อนวอนเธอ แต่กลับยิ้ม“เออใช่สิ ฉันตามหาเธอตั้งนานแล้ว แต่เธอไม่ยอมรับโทรศัพท์ฉันเลย ฉันเลยคิดว่าวันนี้จะไม่มาแล้วสะอีก คิดไม่ถึงเลยจริงๆ”

“เธอช่วยอะไรหน่อยได้ไหม?”ผู่เหลียนเหยาพูดขัดจังหละออกมาและหัวเราเยาะ“มันก็ขนาดนี้แล้ว เธออยากให้ฉันช่วยแต่ก็ช่วยไม่ได้แล้วหรือเปล่า?”

“ถึงแม้ว่ารู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นเธอจะเรียกฉันมาทำไม”ไป๋มู่ชิงไม่เข้าใจ ผู่เหลียนเหยายืนหยัดที่อยากจะเจอเธอ นี่ไม่ใช่เพราะเพื่อที่จะขอเธอช่วยเหลือเหรอ?

“จริงๆแล้วไม่ได้ซับซ้อนเหมือนที่เธอคิดหรอกนะ”ผู่เหลียนเหยายิ้มออกมาอย่างเลือดเย็น น้ำเสียงก็ค่อยๆเย็นลง“คุณนายน้อยหนานกง……ฉันอยากเจอเธอ เพราะฉันมีความจริงจะบอกเกี่ยวกับเรื่องอาการป่วยของหนานกงเฉิน”

คำพูดที่เธอพูดออกมา สีหน้าที่เย็นชาก็ทำให้ใจของไป๋มู่ชิงเต้นรัวขึ้นมาทันที

เกี่ยวกับอาการแปลกของหนานกงเฉิน ผู่เหลียนเหยาไม่ได้คิดเลยว่าจะบอกเธอเกี่ยวกับความจริงของอาการป่วยของหนานกงเฉิน?

“เธอ……รู้เรื่องอาการป่วยของหนานกงเฉิน?เธอถามออกไปอย่างงงงวย

“ใช่ ฉันรู้ ฉันยังสามารถควบคุมอาการป่วยของเขาได้อีกด้วย”ผู่เหลียนเหยามองเธอด้วยสีหน้าที่ตกใจ หัวเราออกมาอย่างพอใจ“เป็นยังไง?รู้สึกตกใจสินะ?”

ไป๋มู่ชิงรู้สึกว่าสมองว่างเปล่าไปเลยในทันที เธอก็นิ่งไปเลย

เธอก็ยิ่งตกใจและทรมาน ในใจของผู่เหลียนเหยายิ่งสบายใจ เธอพูดต่อว่า“ใช่สิ อาการของหนานเป็นตั้งแต่เด็กแล้ว แต่ว่าไม่ได้หนักเท่ากับตอนนี้ อาการของเขาหนักเป็นเพราะว่าเจอกับฉันแล้ว เข้าใจแล้วใช่ไหม?”

ไม่ง่ายเลยที่ไป่มู่ชิงถึงจะค่อยๆได้สติกลับมา จ้องเธอและพูดด้วยเสียงสั่นว่า“ทำไมกัน?นี่เธอทำอะไรกับเขากันแน่?”

“จริงๆแล้วฉันเริ่มเรียนคณะศัลยแพทย์ หลังจากนั้นถึงจะเปลี่ยนไปเรียนเภสัชศาสตร์ หลังจากนั้น…….เธอรู้ใช่ไหม?”

“เธอก็เลยวางยาเฉิน?”

“พูดมาไม่ผิด”

“เธอ……”ใจของไป๋มู่ชิงก็เต้นรัวขึ้นมาอีกที พูดเสียงสั่นว่า“เธอให้ยาอะไรกับเขาไป?”

ผู่เหลียนเหยากัดฟัน ยิ้มอย่างชั่วร้ายและพูดออกมาทีละคำว่า“นั้นมันเป็นกรรสิทธิ์จน ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้ ดังนั้นกรรมสิทธินี้เลยต้องแล้วแต่ฉันมันจะเน่าเปื่อยไปในท้องของฉัน ก่อนหน้านี้ฉันคยลองพยายามทำข้อตกลงกับเธอ ใช้ใบสั่งยาแลกกับหลักฐานของผู้หญิงสารเลวจู เธอไม่รับโทรศัพท์ไม่มาเจอฉันน่ะได้ แต่ยังส่งฉันมาอยู่ในคุกอีก”

ไป๋มู่ชิงจ้องไปที่เธอ พูดอะไรไม่ออกเลยแม้แต่ประโยคเดียว ได้แต่งงงวยและฟังเธอพูดต่อ“ใช่แล้ว ฉันเตือนอะไรเธอหน่อย ยาที่ฉันให้กับหนานกงเฉินไปนั้นเริ่มติดยานั้นหนักขึ้น เพียงแค่เขาเลิกยาที่ฉันให้ เขาก็จะยิ่งอาการหนัก และยังยิ่งหนักขึ้นไปเรื่อยๆกว่าครั้งก่อนๆ จนถึงหนึ่งหรือสองเดือนก่อนที่จะตาย สรุปแล้วว่าถึงแม้ตอนนี้เธอจะชนะแล้ว เธอได้หนานกงเฉินไปตามที่หวังไว้แล้ว มากสุดเธอก็อยู่กับเขาได้ไม่กี่เดือนหรอกนะ”

ในที่นั้นก็เงียบขึ้นมาทันที ผู้เหลียนเหยาไม่รอให้เธอพูดออกมาก็พูดต่อว่า“ฉันเคยบอกแล้วว่าฉันจะทำให้หนานกงเฉินตายไปอย่างน่าเวทนากว่าจูจู แต่ฉันก็เคยให้โอกาสเธอแล้วแต่เธอไม่ไม่เอาเอง ดังนั้นอย่ามโทษฉันล่ะ เออใช่สิ ตั้งแต่ฉันออกไปจากตระกูลหนานกง หนานกงเฉินก็ไม่ได้ยาอีกเลย ช่วงนี้เขาคงน่าสงสารมากเลยสินะ?”เธอยิ้มอย่างชั่วร้าย“ช่วยบอกเขาด้วยนะ บอกเขาว่าอย่ากลัว น่าจะใช้เวลาสักหนึ่งเดือนก็คงหลุดพ้นแล้ว”

“แล้วเธอเป็นครู่ครองของเขาไม่ใช่เหรอ?บางทีเธอใช้หัวใจของเธอไปช่วยเขาไหมล่ะ?บางทีเขาอาจจะรอดก็ได้นะ”ผู่เหลียนเหยายิ้มออกมาอย่างแปลกประหลาด“ฉันเคยบอกกับเธอแล้ว ถึงฉันจะเรียนทางการแพทย์มาตั้งหลายปี แต่ว่าฉันเชื่อข่าวลือ ทางที่ดีที่สุดเธอก็เชื่อไปเถอะ อย่างนี้จะได้ไม่ไปทำลายความรักของพวกเธอ”

ไป๋มู่ชิงที่เหม่อลอยในที่สุดก็ค่อยๆได้สติกลับมา เสียงของเธอก็ยังสั่นอยู่เหมือนเดิม“ผู่เหลียนเหยา ที่เธอพูดมาทั้งหมดนี้มันจริงเหรอ?”

“สุดท้ายมันใช่เรื่องจริงไหม หลังจากนี้หนึ่งเดือนเดี๋ยวเธอก็รู้เอง”

“ทำไมเธอถึงเลวได้ขนาดนี้กันนะ?”เธอถามไปด้วยความอึ้ง

ผู่เหลียนเหยาก็หัวเราะ“เทียบกับความเลวทรามของตระกูลหนานกงแล้วฉันเทียบติดเหรอ?”

“แต่ว่าเรื่องพี่สาวของเธอหนานกงเฉินยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยนะ ล้วนเป็นฝีมือของคุณผู้หญิงทั้งหมด”

“ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะเขา ทำไมคุณผู้หญิงถึงบังคับพี่ฉันเป้นแบบนี้?ไป๋มู่ชิง ถ้าเปลี่ยนเป็นพี่สาวของเธอ เธอจะไม่โกรธไม่ทรมานเหรอ?เธอจะแก้แค้นเหรอ?”

“โหดเหี้ยมขนาดนั้นเลยเหรอ……”ในที่สุดไป๋มู่ชิงทนไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา น้ำตาค่อยๆจ้องเธอผ่านน้ำตาและขอร้องอ้อนวอนว่า“เหลียนเหยา เธออยากจะทำอะไรฉันยอมหมด ของแค่เธอพูดออกมาว่ายาอะไร เธอจะให้ฉันทำอะไรก็ได้……”

“ขอโทษนะ มันสายไปแล้วล่ะ”

“ไม่สายหรอก ขอแค่เธอบอกฉันมา ฉันทำได้ทุกอย่าง!”ไป๋มู่ชิงพูดอย่างร้อนใจ น้ำตาก็ไหลลงมาไม่หยุด

อย่างไรก็ตามเธอยิ่งเสียใจ ผู่เหลียนเหยายิ่งได้ใจ เธอยิ้มออกมาอย่างชั่วร้าย“ฉันพูดไปแล้วไงว่าให้เธอใช้หัวใจของเธอไปช่วยเขา ตระกูลหนานกงหาคู่ครองนานขนาดนั้น ยังไงก็ต้องมีประโยชน์อยู่แล้ว”

“ผู่เหลียนเหยา!”ไป๋มู่ชิงลุกขึ้นไปอย่างร้อนรน“เธอนี่มันเลวจริงๆ!เกินไปแล้วนะ…… ”

ไม่ได้รอให้เธอลุกขึ้นมา ผู้คุมที่เฝ้าประตูอยู่ก็รีบเดินเข้ามา มาควบคุมเธอเอาไว้และพูดด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม“เธอทำอะไรน่ะ?”

“คุณพี่ตำรวจคะ เธอจะตีฉัน”ผู่เหลียนเหยาใช้มือไปจับไป๋มู่ชิงที่โกรธ ตั้งใจทำเป็นเหมือนไม่ยุติธรรม“เธอด่าฉัน ยังจะลงไม้ลงมือกับฉันอีก ได้โปรดพาเธอออกไปเถอะค่ะ”

ผู้คุมไม่สนใจว่าเหตุผลคืออะไร พูดกับไป๋มู่ชิง“คุณผู้หญิงคนนี้ รบกวนออกไปกับพวกเราก่อน”

น้ำเสียงของเขาถึงแม้จะถามอยู่แต่ท่างทางกลับแข็งแกร่งผิดปกติ ไปจับแขนของเธอและพาออกไป

ไป๋มู่ชิงมองไปที่ผู่เหลียนเหยาที่อยู่ในห้อง ขณะที่เธอโดนลากออกไปก็ขอร้องอย่างกระวนกระวายว่า“เหลียนเหยา เธออย่าทำแบบนี้เลย เฉินเขาไม่ได้ผิดอะไรจริงๆ เคยเขาพูดว่าจะช่วยพี่สาวเธอเป็นการทดแทน ขอร้องเธอล่ะอย่าทำแบบนี้กับเขาเลย……นะ……!”

ไป๋มู่ชิงถูกนำเอาตัวออกไป เสียงประตูเหล็กก็ปิดลง

เธอหันไป ผู้คุมก็ล็อคประตูแล้ว

เธอแทบจะล้มทั้งยืนก็ร้องไห้โฮออกมา

“พี่สะใภ้ พี่ไม่เป็นอะไรใช่ไหม?”ตอนแรกเซิ่งเคออยู่ที่เขตพักผ่อนนั้น เห็นเธอโดนเอาตัวออกมาก็รีบมารับเธอ มอเธอร้องไห้อย่างเจ็บปวดก็รีบถามออกไปทันที“พี่สะใภ้ เหลียนเหยาคุยอะไรกับพี่?ทำไมถึงร้องไห้หนักแบบนี้?”

เฉียวเฟิงก็เข้ามาจากข้างนอก เห็นเธอร้องไห้เจ็บปวดขนาดนี้ก็เอื้อมมือไปดึงเธอมา“มู่ชิง เธอยังไหวใช่ไหม?”

ไป๋มู่ชิงส่ายหัว กลับทรมานจนพูดอะไรไม่ออกเลย

เฉียวเฟิงกอดเธอไว้ที่ตักของเขา เงยหน้ามองเซิ่งเคอด้วยสายตาที่ชัดเจนเลยว่าโมโห“ที่คือสิ่งที่นายต้องการให้เป็นเหรอ?นายก็รู้อยู่แล้วว่าพวกเธอทั้งสองคนไม่ควรมาเจอกัน”

“ผมขอโทษ พี่สะใภ้ พี่บอกผมมาเถอะว่าจริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นทแล้วทำไมเหลียนเหยาถึงเป็นแบบนี้?”เซิ่งเคอคิดถึงอยู่ในใจยังคงเป็นผู่เหลียนเหยาที่อยู่ข้างใน

“ไม่เห็นเหรอว่าตอนนี้เธอไม่พูดอะไรแล้ว?”เฉียวเฟิงพยุงไป๋มู่ชิงขึ้นมาจากพื้น พูดอย่างอ่อนโยน“มู่ชิง พวกเราไปกันเถอะ”

หลังจากที่ทั้งสองคนกลับไปบนรถแล้ว ลุงหลิวก็รีบขับรถออกไปสนามบิน เพราะว่าถ้ายังมัวเสียเวลาอยู่ก็จะขึ้นเครื่องบินไม่ทัน

เฉียวเฟิงไม่รู้ว่าทำไมไป๋มู่ชิงถึงร้องไห้เสียใจหนักขนาดนี้ แต่ว่าเขาก็พอจะเดาออกว่าต้องเกี่ยวกับหนานกงเฉิน เพราะเธอร้องไห้กับเรื่องหนานกงเฉินมาโดยตลอด ไป๋มู่ชิงไม่อยากพูดอะไรทั้งนั้น เขาก็ไม่ได้ไปถามอะไรให้เธอสงบจิตสงบใจไปก่อน

รถหยุดที่หน้าตึกใหญ่ของสนามบิน หลังจากลุงหลิวพาเฉียวเฟิงลงรถแล้วนั้น ก็ยกเอาสัมภาระกระเป๋าเดินทางลงมา เพราะว่านี่เป็นที่หยุดรถชั่วคราวจอดนานไม่ได้ พอลุงหลิวทำอะไรเสร็จก็ขับออกไป

เข้าไปในตึกใหญ่ของสนามบิน เฉียวเฟิงพยายามรวบรวมสติของไป๋มู่ชิงว่า“มู่ชิง เอาบัตรประชาชนของเธอมาให้ฉัน ฉันจะไปเปลี่ยนตั๋ว”

จะเปลี่ยนเป็นอันก่อนหน้า เรื่องพวกนี้ควรเป็นไป๋มู่ชิงไปจัดการ แต่ขนาดเดินยังไปชนกับคนอื่นเลยได้แต่……

ไป๋มู่ชิงเหลือบไปมอง มองเฉียวเฟิงที่อบอุ่นนุ่มนวล หลังจากที่เธองงงวยมาตลอดทางในที่สุดเธอก็กัดฟันเพราะความเป็บปวด คุกเข่าลงไปร้องไห้ฟูมฟายที่ตรงหน้าเขา“ฉันขอโทษนะ อาเฟิง ฉันไปกับคุณไม่ได้แล้ว……”

ใช่แล้ว เธอไปไม่ได้แล้ว ไม่สามารถทิ้งหนานกงเฉินไว้แล้วไปต่างประเทศกับเฉียวเฟิง เธอทำไม่ได้จริงๆ……!

เฉียวเฟิงรู้สึกหนักอึ้งในใจ มองเธอ“มู่ชิง เธอรู้ไหมว่าพูดอะไรออกมา?”

“ฉันรู้ ฉันรู้ว่าตัวเองพูดอะไรออกไป”ไป๋มู่ชิงจับมือของเขาทั้งสองข้างและร้องไห้อย่างขมขื่น“เฟิง ผู่เหลียนเหยาบอกฉันว่าอาการป่วยของหนานกงเฉินเป็นฝีมือของเธอ เธอพูดว่าอาการป่วยของหนานกงเฉินจะหนักขึ้นเรื่อยๆ เธอพูดว่าหนานกงเฉินจะอยู่ได้อีกแค่เดือนเดียว……”

เธอพูดอะไรต่อไม่ได้แล้ว ก้มหน้าไปที่ตรงตกของเขา น้ำตาของเธอเปียกเต็มกางเกงของเขา

เฉียวเฟิงตกใจจนใช้มือมาเช็ดน้ำตาให้กับเธอ ถามว่า“เธอพูดว่าอะไรนะ?”

“ผู่เหลียนเหยาเป็นคนบอกกับฉัน เฟิง……ฉันกลัวจริงๆนะ ฉันกลัวจริงๆว่าหนานกงเฉินจะอยู่ได้ไม่นาน……”

“บางทีผู่เหลียนเหยาอาจจะหลอกเธอก็ได้นะ ถ้าเธอแกล้งอย่างนี้ล่ะ?”

ไป่มู่ชิงส่ายหัวปฎิเสธ“เธอพูดว่าหลังจากนี้หนึ่งเดือนจะรู้เองว่าเธอพูดจริงหรือโกหก ทำยังไงดี……ฉันจะทำยังไงดีละ……?”

เฉียวเฟิงสูดหายใจเข้าเบาๆ ใช้มือเช็ดน้ำตาบนหน้าของเธอ“มู่ชิง เธออยากกลับไปอยู่ข้างๆเขาใช่ไหม?”

ไป๋มู่ชิงพยักหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ“ฉันอยากกลับไปอยู่ข้างเขา ฉันอยากไปอยู่เป็นเพื่อนเขา ไปดูแลเขา……”หลังจากที่เธอร้องไห้สอึกสะอื้น ก็ไปจับมือเขาอีกครั้ง“เฟิง ขอโทษนะ ฉันรับปากว่าจะไปอังกฤษกับคุณ รับปากว่าจะอยู่กับคุณไปตลอด ฉันไม่อยากผิดสัญญาหรอก และพยายามเป็นคนที่รักษาสัญญามาโดยตลอด แต่ว่า……ขอโทษนะ……ฉันก็ทำไม่ได้จริงๆ ฉันทำไม่ได้……ฉันทิ้งเขาไว้คนเดียวไม่ได้จริงๆ หนี้ที่ติดค้างคุณไว้……ฉันจะมาคืนให้คุณในชาติหน้าแน่นอนตกลงไหม?ขอให้คุณให้อภัยฉันด้วยนะ……”

เห็นสีหน้าที่ทรมานและทุกข์ใจของเธอ เฉียวเฟิงไม่กล้างแสดงออกมามากถึงความผิดหวังของเขา

เขาจับมือเธอแน่น ถามเธอออกไปอย่างขมขื่นว่า“เธอแน่ใจใช่ไหมว่าจะกลับไป?ทั้งที่เธอรู้ว่าคุณผู้หญิงไม่ปล่อยเธอไว้แน่ เธอรู้ว่าอาการป่วยของหนานกงเฉินจะเป็นไปตลอดชีวิต ยังไงก็ปกป้องเธอไม่ได้เหมือนกับตอนแรกๆ”

ไป๋มู่ชิงสะบัดหัว“ฉันไม่กลัวหรอก ขอแค่ได้ไปอยู่ข้างกายเขาก็ไม่กลัวอะไรแล้ว”

ท่าทางของเธอมุ่งมั่นมาก มุ่งมั่นมากจนทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจทำให้เขาทนไม่ได้ที่จะโจมตีเธอ

เฉียวเฟิงพยักหน้า หายใจเข้าลึกไปเงียบๆ“มู่ชิง จริงๆฉันรู้อยู่แล้วว่าเธอตัดใจไม่ได้จากเขา ทิ้งเขาไปไม่ได้ ฉันรู้ว่าเธอรักเขามาก แต่เธอก็ควรจะเข้าใจไว้ว่าฉันครอบครองเธออยู่ พาเธอไป ไม่ใช่เพราะฉันเห็นแก่ตัวนะ แต่เป็น……ฉันไม่อยากให้เธอต้องเจ็บปวดแบบนั้นอีกแล้ว ฉันกังวลว่าหนานกงเฉินจะดูแลเธอไม่ได้”

“ฉันเข้าใจ……”ไป๋มู่ชิงกระพริบตาทั้งสองข้างของเธอ น้ำตาเอ่อล้นออกมาเยอะกว่าเดิมอีก

“แต่ว่าในเมื่อเธอยินยอมที่จะไป อย่างนั้นฉันก็ไม่เหตุจำเป็นอะไรที่จะต้องรั้งเธอไว้”เขาหยุดชะงักไป ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น“ตอนนี้ฉันอยากขอร้องเธอแค่อย่างเดียว งั้นก็หวังว่าเธอจะดูแลตัวเองให้ดีๆนะ ไม่ว่าหนานกงเฉินจะรอดไหม……เธอก็ต้องดูแลตัวเองดีๆนะ”

“ฉันจะดูแลตัวเองค่ะ”ไป๋มู่ชิง“อาเฟิง คุณก็ด้วยนะ ต้องดูแลตัวเองให้ดีๆนะ ชาตินี้ถือว่าฉันติดหนี้คุณ ถือว่าฉันขอโทษคุณแล้วกัน ฉันจะจดจำบุญคุณนี้ของคุณไปตลอดชีวิต ฉันหวังว่าคุณจะใช้ชีวิตให้ดีกว่าฉัน และก็เชื่อว่าคุณจะต้องหาผู้หญิงที่มีจิตใจดีและรักคุณมากกว่าฉันเจอ……”

“ขอบคุณนะ ฉันก็เชื่ออย่างนั้น”เฉียวเฟิงยิ้มมุมปาก

เขาไม่รู้ว่าในอนาคตตัวเองจะเป็นอย่างไร แต่ว่าในเวลานั้นอยากจะให้ไป๋มู่ชิงหยุดร้องไห้ฟูมฟาย หยุดรู้สึกผิด

เฉียวเฟิงปล่อยมือเธอ“เธอไปเถอะ กลับไปอยู่ข้างเขาเถอะ”

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

นิยายแนะนำ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท