รออยู่หน้าห้องฉุกเฉินด้วยความกระวนกระวายกว่าสี่สิบนาที ในที่สุดคุณหมอจางก็ออกมาด้วยสีหน้าที่ยังคงเคร่งเครียด
“เฉินเป็นยังไงบ้าง?” คุณผู้หญิงถามขึ้นด้วยความร้อนใจ
“พ้นขีดอันตารายแล้วครับ” หมอจางถอนหายใจอย่างเหนื่อยใจ: “อันตารายจริงๆ”
“ฉันผิดเอง” ไป๋มู่ชิงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดในใจ: “ฉันบอกเขาเรื่องที่ไม่ควรบอก……..เขาเลยกลายเป็นแบบนี้ใช่มั้ยคะ?”
“เธอบอกอะไรเขา?” คุณผู้หญิงถาม
“ฉัน……” ไป๋มู่ชิงไม่รู้จะพูดอะไร ตอนนี้เธอยังไม่มีกะจิตกะใจจะบอกเรื่องหว่านชิงกับคุณผู้หญิง ซึ่งเธอเองก็ยังไม่เคยบอกท่าน
คุณหมอจางพูดปลอบใจเธอ: “นายหหญิงน้อยอย่าโทษตัวเองเลยครับ ถ้ากระตุ้นเขาแบบนี้แล้วทำให้เขามีโอกาสรู้สึกตัวขึ้นมาได้ก็ดีเหมือนกัน ถึงแม้จะอันตารายไปบ้างก็ตาม แต่อาจจะเป็นวิธีที่ช่วยให้เขารู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาก็ได้”
“แล้วตอนนี้เขาเป็นยังไงบ้างแล้วคะ? รู้สึกตัวขึ้นมาบ้างมั้ยคะ? ไป๋มู่ชิงถามต่อ
“ตอนนี้ยังครับ” คุณหมอจางตอบอย่างเห็นใจ
—
ไป๋มู่ชิงนอนอยู่ในโรงพยาบาลหนึ่งคืน วันถัดมาเธอได้โทรฯหาเฉียวเฟิง
เฉียวเฟิงรู้ว่าเธอโทรฯหาเขาทำไม ยังไม่ทันที่เธอจะถามเขาก็พูดขึ้นก่อน: “มู่ชิง ฉันโทรฯหาฝั่งโน้นแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวอะไรของหว่านชิง”
ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ แต่ไป๋มู่ชิงก็ยังรู้สึกผิดหวังทุกครั้ง
เธอพยักหน้ารับเงียบๆ และไม่ได้สนใจว่าคนที่อยู่ปลายสายจะเห็นหรือไม่
หลังจากนิ่งไปชั่วครู่ เฉียวเฟิงก็ถามขึ้น: “หนานกงเฉินรู้สึกตัวหรือยัง?”
“ยังเลย”
เฉียวเฟิงไม่รู้จะปลอบเธอยังไง จึงนิ่งเงียบไปก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง: “รออีกนิดเดี๋ยวก็่คงรู้สึกตัวตื่นฟื้นขึ้นมาแน่นอน”
” อืม” ไป๋มู่ชิงเช็คน้ำตาตัวเองเงียบๆ ก่อนจะปรับอารมณ์ตัวเองให้คงที่แล้วถามขึ้น: “คุณล่ะ? เป็นยังไงบ้าง?”
“เวลาแบบนี้เธอยังจะมาเป็นห่วงฉันอีกเหรอ?” เฉียวเฟิงยิ้มขื่น เขานึกว่าตอนนี้ในใจเธอคงมีแต่เรื่องอาการป่วยของหนานกงเฉินและการหายตัวไปของหว่านชิงซะอีก ไม่คิดว่าเธอจะยังเป็นห่วงเขาด้วย: “วางใจเถอะ ฉันสบายดี”
“งั้นก็ดีแล้ว ฉันขอวางสายก่อนนะ” หลังไป๋มู่ชิงวางสายก็หันไปมองดูนาฬิกา ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะเปลี่ยนเวร เธอก็ยังไปเยี่ยมหนานกงเฉินไม่ได้
เธออยู่ในห้องพักที่ทางโรงพยาบาลจัดให้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินไปหาคุณหมอจางที่ห้องทำงาน
เธอมองเห็นคุณผู้หญิงที่มาพร้อมกับพี่เหอเดินมาแต่ไกล พวกท่านกำลังเดินไปทางห้องทำงานของคุณหมอจาง เธอจึงรีบเดินเข้าไปหาและพูดกับคุณผู้หญิง: “คุณย่า ทำไมไม่พักผ่อนอยู่ที่บ้านคะ?”
“ฉันอยากมาดูเฉินหน่อย” คุณผู้หญิงพูดอย่างเศร้าใจ
ไป๋มู่ชิงไม่ได้พูดอะไร เธอประคองท่านเดินเข้าไปในห้องทำงานของคุณหมอจางด้วยกัน คุณหมอจางที่กำลังดูรายงานผลตรวจอยู่เห็นพวกเธอเดินเข้ามาก็รีบเชิญทุก่คนไปนั่งที่โซฟา
เธอมารอบนี้ก็เพราะอยากมาฟังข่าวดีจากปากคุณหมอจาง แต่ดูจากสีหน้าของคุณหมอจางแล้วค่อนข้างชัดเจนว่าไม่มีทางมีข่าวดีเป็นแน่!
“สีหน้าคุณชายใหญ่ดีขึ้นบ้างแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาเลยครับ” คุณหมอจางวางผลตรวจในมือลง ก่อนจะจ้องมองทั้งสองท่าน: “คือ ผลตรวจเลือดของคุณชายใหญ่ออกมาแล้วครับ พบว่าเลือดของคุณชายใหญ่ผิดปกติอย่างชัดเจน และเป็นไปได้ว่าจะถูกผู่เหลียนเหยาวางยาจริง……แต่ยังวิเคราะห์หาวิธีแก้ไขไม่ได้ เพราะที่ผ่านมายังไม่เคยเจอโรคแบบนี้ ซึ่ง……..”
“ยังไงต่อคะ” ไป๋มู่ชิงรีบถาม
“ซึ่งกลัวว่าจะแก้ไขได้ยากซะหน่อย” คุณหมอจางพูดอย่างกังวล: “ผมกลัวว่ากว่าจะวิเคราะห์หาวิธีแก้ไขได้ คุณชายใหญ่จะไม่ไหวซะก่อน……”
“งั้นก็รีบๆหน่อยสิ” คุณผู้หญิงรีบพูดขึ้น
“คุณผู้หญิงพวกเราก็เร่งที่สุดแล้วครับ”
“เป็นไปได้มั้ยว่าจะแก้ไขปัญหาโดยวิธีแบบนี้?” ไป๋มู่ชิงลังเลเล็กน้อย: “……..เปลี่ยนถ่ายเลือด”
“นายหญิงน้อย อันที่จริงวิธีนี้ผมก็เคยคิด”
“คุณหมอจางรีบลองดูเถอะ กรุ๊ปเลือดของฉันกับคุณชายใหญ่เหมือนกัน ช่วยถ่ายเลือดของฉันให้เขาเถอะ” ไป๋มู่ชิงอยากให้หนานกงเฉินดีขึ้น เธอไม่สนใจว่าตัวเองจะเป็นตายร้ายดียังไง
คุณหมอจางส่ายหน้า: “นายหญิงน้อย ถึงแม้ว่ากรุ๊ปเลือดของคุณชายใหญ่จะเป็นกรุ๊ปบีทั่วไป แต่ก็ค่อนข้างเข้าไม่ได้กับเลือดของผู้อื่นที่เป็นกรุ๊ปเดียวกันหรือแม้แต่กรุ๊ปโอก็ตาม ดังนั้น…..วิธีเปลี่ยนถ่ายเลือดจึงใช้ไม่ได้กับคุณชายใหญ่ครับ”
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้?” คุณผู้หญิงพูดอย่างไม่สบายใจ: “ทำยังไงดี? ทำได้แค่รออย่างเดียวเหรอ?”
“ครับตอนนี้ทำได้แค่รอ” คุณหมอจางตอบ
“ต้องวิเคราะห์อีกนานแค่ไหนกัน?”
“คุณผู้หญิงอันนี้ก็พูดยากครับ เพราะต้องทำการเพาะเชื้อแบคทีเรียในเลือด และทำการทดลองต่างๆอีกมากมายหลายขั้นตอน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาประมาณสองถึงสามเดือนขึ้นไปครับ”
อย่างน้อยสองสามเดือน?
พอได้ฟังคุณหมอจางพูดแบบนั้น คุณผู้หญิงมีอาการเซเล็กน้อย ไป๋มู่ชิงรีบเข้าไปประคองและถามอย่างห่วงใย: “คุณย่าคะ เป็นอะไรมั้ย?”
คุณผู้หญิงเงยหน้ามองเธอด้วยดวงตาที่เอ่อล้นไปด้วยน้ำตา: “มู่ชิง เธอได้ยินมั้ย? เฉินแย่แล้ว……..”
“ไม่หรอกค่ะ คุณย่าคะคุณหมอจางบอกแค่ว่าต้องรอการวิเคราะห์หาวิธีแก้ไข ไม่ได้บอกว่าคุณชายใหญ่จะอยู่ไม่ถึงวันนั้นนะคะ” ไป๋มู่ชิงพูดปลอบท่านอย่างอ่อนแรง
ที่จริงแล้วในใจเธอก็ทรมานและกลัวมากเหมือกัน!
อาการของหนานกงเฉินตอนนี้รอแค่ครึ่งเดือนยังยากเลย อย่าว่าแต่สองถึงสามเดือนเลย!
ในขณะที่ทั้งสองเสียใจจนต้องปลอบใจกันเอง ก็มีพยาบาลเดินเข้ามาด้วยความดีใจ: “คุณผู้หญิง นายหญิงน้อยและคุณหมอจาง…….คุณชายเฉินฟื้นแล้วค่ะ”
“จริงเหรอ?” ไป๋มู่ชิงอึ้งไป
พอพยาบาลพยักหน้า สีหน้าเธอก็ดีใจขึ้นมาทันที แต่ลึกๆก็ยังรู้สึกทุกข์ใจ เพราะการที่หนานกงเฉินรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาไม่ได้แปลว่าเขาจะดีขึ้นมาด้วย สิ่งที่คุณหมอจางพูดเมื่อครู่กระทบต่อจิตใจเธอมากเหลือเกิน
พี่เหอก็ยิ้มด้วยความดีใจ: “คุณผู้หญิง ได้ยินมั้ยคะ? คุณชายใหญ่รู้สึกตัวแล้ว”
“ฉันได้ยินแล้ว…….” เห็นได้ชัดว่าคุณผู้หญิงเองก็คิดเหมือนไป๋มู่ชิง ในขณะที่ยิ้มทั้งน้ำตา
คุณหมอจางรีบเดินไปที่ห้องฉุกเฉินแล้ว ไป๋มู่ชิงก็ประคองคุณผู้หญิงเดินตามไปด้วย ก่อนจะมายืนรอคุณหมอจางอยู่หน้าห้อง
ไม่นานคุณหมอจางก็เดินออกมา สีหน้าเขาเต็มไปด้วยความโล่งใจ ก่อนจะมองคุณผู้หญิงและไป๋มู่ชิงพร้อมพูดขึ้น: “คุณชายใหญ่รู้สึกตัวแล้วจริงๆครับ ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดี หวังว่าเขาจะดีขึ้นเรื่อยๆ”
“ฉันเข้าไปดูเขาได้หรือยังคะ?” ไป๋มู่ชิงถาม
คุณหมอจางพยักหน้า: “คุณชายเฉินบอกว่าอยากเจอคุณ”
“จริงเหรอคะ?”
“ครับ นายหญิงน้อยตามผมมาเถอะ” คุณหมอจางพูดเสร็จก็เดินเข้าห้องไป
ไป๋มู่ชิงใส่ชุดป้องกันเชื้อโรคเสร็จก็เดินตามเข้าไป หนานกงเฉินรู้สึกตัวแล้ว แต่สีหน้ายังขาวซีด ดูไม่มีแรง
“เฉิน คุณรู้สึกตัวแล้วจริงๆ” ไป๋มู่ชิงกระพริบตาพยายามควบคุมอารมณ์ความรู้สึกไม่ให้ส่งผลต่อหนานกงเฉิน
เธอเดินไปจับมือเขาไว้ หนานกงเฉินกลับแกะมือเธอออก
ไป๋มู่ชิงอึ้งไป ก่อนจะสังเกตเห็นว่าสีหน้าที่ซีดเซียวของเขาแฝงไปด้วยความเย็นชา สายตาที่จ้องมองเธอก็เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว ริมฝีปากที่แห้งผากดูเหมือนต้องการพูดอะไรแต่กลับพูดไม่ออก
หัวใจเธอรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา ที่หนานกงเฉินมีอาการแบบนี้กับเธออาจเป็นเพราะว่าเธอไม่ได้กลับมาตามนัดเหรอ? เพราะเธอโกหกเขาว่าเธอไปเมืองเยี่ยนเหรอ? เขายังโกรธเธออยู่เหรอ?
“เฉิน…….” เธอเรียกเบาๆ แล้วยื่นมือไปจับมือเขาอีกครั้งก่อนจะพูดอย่างรู้สึกผิด: “ขอโทษค่ะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะโกหกคุณ คุณอย่าโกรธฉันเลยนะคะ อย่าโกรธจนทำให้สุขภาพแย่ลงอีกได้มั้ยคะ?”
หนานกงเฉินขยับปากพูดได้สองพยางค์: “หว่านชิง……”
หัวใจของไป๋มู่ชิงบีบรัดขึ้นมาทันที เธอจ้องมองเขาด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าเขาจะพูดถึงหว่านชิงในเวลานี้ ที่แท้สิ่งที่เธอพูดกับเขาเมื่อวานเขาได้ยินหมดทุกคำ ถึงได้มีอาการตอบสนองขนาดนั้น
“เฉิน คุณฟังฉันก่อนนะ” ไป๋มู่ชิงไม่อยากให้เขาพูดเยอะกลัวมีผลกระทบต่ออาการของเขา เธอจึงรีบพูดขึ้น: “เรื่องของหว่านชิงมันค่อนข้างยาว รอให้คุณหายป่วยก่อนค่อยคุยเรื่องนี้กันนะคะ…….”
“ฉันต้องการคุยตอนนี้” หนานกงเฉินพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาขึ้นกว่าเดิม
ไป๋มู่ชิงเห็นว่าเขากำลังจะโมโหอีกแล้วจึงรีบพูดขึ้น: “ได้ๆ คุยตอนนี้ก็ได้ แต่คุณต้องรับปากฉันก่อนว่าห้ามโมโห ไม่งั้นถ้าโมโหจนอาการกำเริบอีก คุณจะไม่มีโอกาสได้เจอหว่านชิงอีกนะคะ”
“พูดมา……..!” เธอช่างโง่จริง หนานกงเฉินจะระเบิดอยู่แล้ว ยังจะบอกไม่ให้โมโหได้ยังไง?
เธอนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะรีบเรียบเรียงสิ่งที่จะพูด: “งั้นฉันจะเริ่มพูดจากตอนที่หว่านชิงเกิดเลยนะคะ ตอนนั้นเพราะต้องเปลี่ยนตัวกับไป๋ยิ่งอัน เราจึงตกลงกันว่ารอให้ลูกคลอดแล้วให้เธอพากลับไปบ้านตระกูลหนานกง พอถึงกำหนดวันคลอดฉันก็บังเอิญได้ยินไป๋ยิ่งอันพูดกับเพื่อนสนิทว่าเธอไม่มีวันช่วยฉันเลี้ยงลูก ยิ่งไม่มีทางยอมให้ลูกเติบโตในบ้านตระกูลหนานกง รอให้ตำแหน่งในบ้านตระกูลหนานกงของเธอมั่นคงเมื่อไหร่ เธอก็จะกำจัดลูกให้พ้นทาง ตอนที่ได้ยินเธอพูดเช่นนั้นฉันตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เวลานั้นฉันกำลังปวดท้องคลอดพยายามหาทางหนีก็หนีไม่พ้น จึงได้ขอความช่วยเหลือไปที่ซูซี ซึ่งซูซี่เองก็ได้ไปขอความช่วยเหลือจากเฉียวซือเหิง แต่โดนเขาปฏิเสธ ต่อมาฉันเจ็บท้องมากจนเป็นลมไปในห้องน้ำ ตื่นมาอีกทีคุณหมอก็บอกว่าฉันได้ลูกชาย และแจ้งว่าลูกมีโรคหัวใจร้ายแรงแต่กำเนิด ตอนนั้นฉันยังไม่ทันได้ดูหน้าลูกด้วยซ้ำ ลูกก็ถูกไป๋ยิ่งอันอุ้มไปแล้ว ไม่นานฉันถูกไป๋ยิ่งอันและแม่พาไปขังไว้ที่ห้องใต้หลังคาในบ้านหลังหนึ่ง จนกระทั้งหลินอันหนานมาช่วยฉันไว้ พอได้เจอซูซี่อีกครั้งเธอได้บอกฉันว่าผลตรวจครรภ์ของฉันที่เธอเคยเห็นระบุว่าเด็กในครรภ์เป็นเด็กผู้หญิง ทำให้ฉันคิดว่าเด็กที่ไป๋ยิ่งอันอุ้มไปอาจจะไม่ใช่ลูกเรา แต่เพราะกลัวผลตรวจอาจจะผิดพลาดได้และซูซี่เองก็ไม่แน่ใจว่าผลตรวจจะมีการสลับกันหรือไม่ ฉันจึงได้แต่เก็บความหวังอันน้อยนิดนี้ไว้และเริ่มตามหาลูกสาวไปทั่ว
ไป๋มู่ชิงกลืนน้ำลายลงคอเล็กน้อย: “อันที่จริงครั้งนั้นที่เราเจอเฉียวซือเหิงกับฟางมี่ เด็กทารถน้อยในอ้อมกอดเธอก็คือหว่านชิงลูกสาวเรา แต่เรากลับไม่รู้ว่าเป็นลูกสาวของเรา คุณกับฉันต่างก็ไม่รู้ !”
” ได้เจอหว่านชิงอีกครั้งก็ตอนที่ฉันรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาหลังจากเกิดอุบัติเหตุ เฉียวเฟิงบอกฉันว่าเด็กน้อยชื่อหว่านชิง เป็นลูกสาวของฉันและเขา ในตอนนั้นฉันจำอะไรไม่ได้เลย จนฉันเข้าใจว่าตัวเองเป็นแม่หว่านชิงและเป็นภรรยาเฉียวเฟิง ฉันมารู้เรื่องของหว่านชิงจริงๆก็ตอนที่ความจำฉันเริ่มกลับมาอีกครั้ง ถึงฉันจะตกใจกับความจริงที่รู้แค่ไหน ก็ไม่กล้าที่จะบอกคุณเรื่องหว่านชิง เพราะฉันกลัวว่าคุณจะแย่งหว่านชิงไปจากฉัน จนกระทั่งวันที่ฉันตัดสินใจจะกลับมาอยู่เคียงข้างคุณ เลยตัดสินใจว่าคงถึงเวลาแล้วที่ต้องบอกเรื่องนี้กับคุณ ฉันยังกังวลว่าถ้าคุณรู้ความจริงแล้ว จะใจร้อนจนบินไปหาหว่านชิงที่อังกฤษ จึงตัดสินใจว่ารอให้ฉันพาหว่านชิงกลับมาก่อนค่อยบอกคุณ อันที่จริงวันนั้นฉันจะบินไปอังกฤษคนเดียว แต่มาพบเฉียวเฟิงที่สนามบินเข้า เขาบอกว่าจะไปทำธุระที่อังกฤษ เราเลยบินไปพร้อมกัน ฉันบอกว่ามีของฝากจะให้คุณ ความจริงก็คือฉันจะพาหว่านชิงมาเจอคุณ แต่หลังจากนั้น…….”
ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นเช็คน้ำตา หลังจาก……หลังจากนั้นหว่านชิงก็หายตัวไป ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไงเลย
แต่คำพูดพวกนี้จะให้เธอพูดออกไปได้ยังไงกัน ถ้าเธอพูดออกไปหนานกงเฉินฟังแล้วต้องร้อนใจจนอยู่โรงพยาบาลต่อไม่ไหวแน่
“หลังจากนั้นยังไงต่อ? หว่านชิงล่ะ……?” หนานกงเฉินถามขึ้นขณะที่พยายามระงับความโกรธไว้
เพื่อเขาแล้วเธอจำเป็นต้องทำตามคำแนะนำของเฉียวเฟิง: “หลังจากนั้น…..ประจวบเหมาะกับหว่านชิงต้องเข้าแข่งรายการแข่งขันทางปัญญาเลยต้องเก็บตัวอบรมเป็นเวลาหนึ่งเดือน ฉันคิดว่ารอให้ลูกแข่งขันเสร็จค่อยพาลูกกลับแต่………”เธอก้มหน้าอย่างรู้สึกผิด ปล่อยให้น้ำตาไหลริน: “ขอโทษค่ะ ฉันอยากจะรีบกลับมาดูอาการคุณเลยไม่ได้รอพาลูกกลับมาด้วย….”
เธอเอามือปิดปากร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่หน้าเขา
หนานกงเฉินจ้องมองเธอชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้น: “เธอใจร้ายมาก……..”
เธอพยักหน้าก่อนพูด: “ฉันรู้ ฉันรู้ว่าฉันใจร้ายกับคุณมาก ขอโทษค่ะ…..คุณให้อภัยฉันนะ…..”
“ถ้าไม่ใช่ว่าฉันใกล้ตายแล้ว…….ชาตินี้เธอก็คงไม่คิดจะบอกฉันใช่มั้ย?” หนานกงเฉินถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ไป๋มู่ชิงรีบจับมือเขาไว้ก่อนส่ายหัวไปมา น้ำตาไหลอาบแก้ม: “ไม่ คุณต้องไม่ตาย เฉินคุณต้องไม่ตาย…..”
“ออกไปให้พ้น!” หนานกงเฉินสะบัดมือเธอออก
“เฉิน……..” ไป๋มู่ชิงรนลานไปหมด: “คุณอย่าทำแบบนี้ ฉันรู้ว่าฉันเห็นแก่ตัวมาก และรู้ว่าฉันทำผิดต่อคุณ ฉันขอร้องให้โอกาสฉันอีกครั้งได้มั้ย? ฉันรับรองว่าต่อไปฉันจะไม่หลอกลวงอะไรคุณอีกแล้ว…..”
“ไม่ต้อง!” หนานกงเฉินพูด: “เธอกลับไปหาเฉียวเฟิงเถอะ ไม่ต้องมาทำเป็นสงสารเห็นใจฉัน”
“ฉันไม่กลับ” ไป๋มู่ชิงดึงดันเอามือเขามาจับไว้แน่นไม่ปล่อย: “ฉันจะอยู่เคียงข้างคุณ ฉันจะรอให้คุณค่อยๆหายดี หลังจากนั้นเราจะไปรับหว่านชิงกลับมาด้วยกันดีมั้ยคะ?”
หนานกงเฉินหัวเราะเยาะ เขาจะมีโอกาสดีขึ้นเหรอ? ยังจะมีโอกาสได้พบหว่านชิงเหรอ? สงสัยชาตินี้คงไม่มีโอกาสแล้ว
เขาหลับตาลง นึกถึงใบหน้าไร้เดียงสาของหว่านชิง นึกถึงภาพตอนที่เธอเรียกเขาว่าคุณลุงขี้โกง
เขาเข้าใจแล้ว…..ทำไมเขาที่ไม่ชอบเด็กมากนัก ถึงได้รู้สึกถูกชะตากับหว่านชิงมากเหลือเกิน เห็นครั้งแรกก็รู้สึกชอบเด็กคนนี้
สายเลือดช่างเป็นเรื่องน่ามหัศจรรย์เหลือเกิน
—
หนานกงเฉินถึงแม้ว่าจะรู้สึกตัวฟื้นขึ้นมาแล้ว แต่ร่างกายยังอ่อนแออยู่มาก ยังไม่สามารถย้ายออกจากห้องฉุกเฉินได้
หลังจากที่รู้เรื่องหว่านชิงแล้ว ท่าทางที่เขามีต่อไป๋มู่ชิงเริ่มเย็นชาและนิ่งเฉย ถึงขนาดหน้าเธอเขาก็ยังไม่อยากเห็น
วันนี้เธอยังคงโดนไล่ออกมาจากห้องเหมือนเดิม คุณผู้หญิงเห็นสีหน้าเธอที่รู้สึกผิดหวังก็ถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจ: “มู่ชิง พวกเธอทั้งสองมีปัญหาอะไรกันเหรอ? ทำไม่เวลาแบบนี้ยังมานั่งทะเลาะกันอีก?
สองวันก่อนทั้งสองยังทำตัวราวกับคู่แฝดตัวติดกันอยู่เลย มาวันนี้ทะเลาะกันอีกซะงั้น ท่านไม่เข้าใจจริงๆ
ไป๋มู่ชิงยิ้มอย่างจำใจ: “คุณย่าคะ ช่วยพูดกับเฉินให้หนูหน่อยเถอะ เขายังโกรธเรื่องที่ฉันหนีออกจากบ้านอยู่ค่ะ”
คุณผู้หญิงพยักหน้า: “ได้ เดี๋ยวฉันจะพูดกับเขาเอง”
“แล้วก็ ช่วยบอกให้เขาดื่มนมขวดนี้ให้หมดด้วยนะคะ” ไป๋มู่ชิงยื่นนมที่เพิ่งอุ่นมาให้คุณผู้หญิง
หลังจากที่คุณผู้หญิงเข้าไปหาหนานกงเฉินในห้องผู้ป่วย ไป๋มู่ชิงก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้อย่างเหนื่อยใจ ตอที่หนานกงเฉินไม่รู้สึกตัวเธอรู้สึกทุกวินาทีช่างผ่านไปอย่างยากลำบากเหลือเกิน พอหนานกงเฉินฟื้นขึ้นมาแล้วไม่สนใจเธอแบบนี้ เธอยิ่งรู้สึกปวดใจเหลือเกิน
หนานกงเฉินเกียดเธอมากเหรอ ถึงได้โกรธเธอขนาดนี้ เธอไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ
“คุณหนูอี…….” ขณะที่เธอกำลังนั่งเม่ออยู่นั้น ก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นมองหน้าผู้หญิงตรงหน้าก่อนถาม: “เลขาหลิน?” เธอจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นเลขาของหนานกงเฉิน
เลขาหลินพยักหน้า ก่อนจะมองไปทางห้องผู้ป่วยพร้อมถามว่า: “ไม่ทราบว่าตอนนี้คุณชายเฉิน……ดีขึ้นบ้างหรือยังคะ?”
ไป๋มู่ชิงมองดูเอกสารที่เธอหอบมา:”คุณมีเรื่องงานจะคุยกับเขาเหรอคะ?”
“คุณหนู่อี ฉันรู้ว่าเวลาแบบนี้มันอาจดูไม่ค่อยเหมาะสม แต่มีเอกสารสำคัญจำเป็นต้องให้คุณชายเฉินเป็นคนเซ็นต์อนุมัติค่ะ”
“แต่ตอนนี้คุณชายเฉินกินข้าวยังไม่ไหวเลย คุณจะให้เขาเซ็นต์อนุมัติเอกสารสำคัญยังไง?” ไป๋มู่ชิงไม่ค่อยพอใจนัก
“ขอโทษค่ะ ฉันรู้ค่ะว่าไม่ควรมารบกวนเขาถึงที่นี่” เลขาหลินพูด: “แต่ว่าเวลานี้ที่บริษัทฯไม่มีผู้นำ ประธานเซิ่งก็ถือโอกาสทำเรื่องมากมาย จนบริษัทฯวุ่นวายไปหมด ถ้าคุณชายเฉินยังไม่ทำอะไรซะอย่าง คาดว่าไม่นานบริษัทฯคงได้ล้มเป็นแน่”
“เซิ่งตงหยาง?”
“ใช่ค่ะ ไอ้เลวนั่นรอให้คุณชายเฉินป่วยหนักจนดูแลบริษัทฯไม่ได้อยู่แล้ว” เลขาหลินพูดอย่างมีอารมณ์
ไป๋มู่ชิงไม่ได้พูดอะไรต่อ ช่วงนี้เธอมัวแต่เป็นห่วงอาการของหนานกงเฉิน จนละเลยเรื่องในบริษัทฯไป ยังมองข้ามเซิ่งตงหยางที่มีแต่ความทะเยอทะยานอยากได้
หลังจากเงียบไปชั่วครู่ เธอจึงพูดกับเลขาหลินขึ้นว่า: “ฉันรู้แล้ว เดี๋ยวฉันเข้าไปแจ้งรายละเอียดกับหนานกงเฉินเอง”
เลขาหลินไม่รู้ว่าคุณหนูอีคนนี้มีความเกี่ยวข้องยังไงกับหนานกงเฉิน แต่ผู้หญิงที่คอยมาเฝ้าดูแลไม่ห่างตลอดเวลาแบบนี้น่าจะไม่ธรรมดา เธอจึงพยักหน้ารับ: “ก็ได้ค่ะ งั้นฉันกลับก่อนนะคะ”
“ไปเถอะ” ไป๋มู่ชิงยิ้มให้เธอเล็กน้อย: “ตั้งใจทำงานนะคะ คุณชายเฉินจะดีขึ้นในไม่ช้าค่ะ”
“ค่ะ ” เลขาหลินพูดก่อนจะกลับออกไป
—
คุณผู้หญิงนั่งอยู่ข้างเตียงหนานกงเฉินอยู่พักใหญ่ ก่อนจะอดถามขึ้นมาไม่ได้: “ทำไม? ไม่มีอะไรจะพูดกับฉันเหรอ?”
หนานกงเฉินค่อยๆลืมตาขึ้นมามองหน้าท่าน คุณผู้หญิงพูดอีก: “ก็ดูสิ เมื่อก่อนฉันห้ามไม่ให้เธอกับไป๋มู่ชิงอยู่ด้วยกัน เธอกลับดึงดันจะอยู่กับมู่ชิงให้ได้ มาตอนนี้ฉันไม่ได้ห้ามอะไรเธอแล้ว พวกเธอกลับจะมาแยกกันอีก” คุณผู้หญิงถอนหายใจก่อนพูดต่อ: “ดูสภาพตอนนี้สิ ยังมีแรงมานั่งทะเลาะกันอยู่อีก”
คุณผู้หญิงยื่นมือไปเขย่าแขนเขา: “อย่าทะเลาะกันเลย ไป๋มู่ชิงอยู่ด้านนอกก็จะได้ไม่ต้องทุกข์ใจมาก”
“คุณย่า…….” หนานกงเฉินจ้องมองท่านอยู่นานก่อนจะพูดขึ้น: “คุณย่ายอมรับมู่ชิงแล้วจริงๆใช่มั้ยครับ”
“จริงสิ” คุณผู้หญิงพยักหน้าตอบ
“ไม่คิดจะควักหัวใจเธอใช่มั้ย?”
คุณผู้หญิงนิ่งไป ไม่คิดว่าหนานกงเฉินจะถามแบบนี้
หนานกงเฉินเห็นท่านนิ่งไปจึงถามขึ้นด้วยน้ำเสียงร้อนใจขึ้นมา: “คุณย่ายังคิดเรื่องเล่าลืออีกเหรอครับ? ยังคิดที่จะควักหัวใจเธออีกเหรอ?”
“ฉัน….ฉันเปล่า” ถึงแม้ว่าคุณผู้หญิงจะยังเชื่อเรื่องเล่าลืออยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้ไป๋มู่ชิงมีคนคอยดูแลมากมาย ท่านจะกล้าคิดอย่างนั้นกับเธอได้ไง
และถึงแม้ว่าหนานกงเฉินจะรู้จักคุณผู้หญิงที่สุด แต่ถ้าอาการเขาแย่ลงอีก ท่านเกิดร้อนใจขึ้นมาก็อาจจะทำอะไรลงไปได้ทุกอย่าง
เขาพูดด้วยสีหน้าจริงจัง: “คุณย่า ฟังผมาให้ดีนะครับ ถ้าคุณย่าทำอะไรไป๋มู่ชิง ต่อให้ตายผมก็ไม่มีวันให้อภัยคุณย่าเด็ดขาด”
“หยุดนะ พูดอะไรแบบนั้น?” คุณผู้หญิงพูดขัดขึ้น
“ผมพูดจริง ถ้ามู่ชิงตาย ต่อให้ผมจะดีขึ้น ผมก็จะตายตามเธอไป”
“ไม่ได้ เธอเลิกขู่ฉันได้แล้ว ฉันไม่ทำอะไรมู่ชิงทั้งนั้น” คุณผู้หญิงไม่อาจทนฟังเขาพูดเรื่องเป็นเรื่องตายแบบนี้ ท่านจึงรีบให้สัญญาไป
หนานกงเฉินก็ยังไม่วางใจ เลยพูดต่อ: “แล้วก็ มีเรื่องหนึ่งที่มู่ชิงยังไม่ได้บอกคุณย่า เด็กผู้หญิงที่ผมให้คุณย่ารับมาดูแลตอนนั้นเป็นลูกของผมกับมู่ชิงครับ”
“เธอว่าไงนะ?” คุณผู้หญิงจ้องมองเขาอย่างตกใจ
“คุณย่าฟังไม่ผิดครับ” หนานกงเฉินยิ้ม: “เด็กที่ตายตอนนั้นไม่ใช้ลูกบ้านตระกูลหนานกง เหลนของคุณย่าคือหว่านชิง”
คุณผู้หญิงอึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะพูดขึ้น: “หว่านชิง…..เฉียวหว่านชิงเหรอ?”
“ครับ จูจูถึงได้พยายามทำร้ายเธอจนเกือบจะทำให้เธอจมน้ำตาย” นึกถึงเรื่องที่ผ่านมาหัวใจของหนานกงเฉินก็หนักอึ้งขึ้นมา ตอนนั้นเขาต้องเป็นบ้าไปแล้วแน่ถึงได้พาหว่านชิงไปที่คฤหาสน์หลังเก่า เกือบทำให้หว่านชิงต้องตายเพราะจูจูแล้ว
“สวรรค์…..ทำไมถึงได้เป็นแบบนี้…..” คุณผู้หญิงที่ยังตกใจจนไม่ได้มีสติ พยายามนึกภาพหว่านชิงในหัว ท่านเคยเจอหว่านชิงแค่ครั้งเดียว เท่าที่จำได้เธอเป็นเด็กที่น่ารักและว่านอนสอนง่าย ยังละม้ายคล้ายกับไป๋มู่ชิงมาก นอกนั้นท่านก็จำอะไรไม่ได้เลย
ถ้ารู้อย่างนี้ท่านคงจะเล่นกับเธอเยอะซะหน่อย มองหน้าเธอให้บ่อยกว่านี้…
“แล้วตอนนี้หว่านชิงอยู่ไหน?”
“อยู่ต่างประเทศ” หนานกงเฉินพูด: “คุณย่าที่ผมบอกเรื่องนี้กับคุณย่าก็เพราะอยากให้คุณย่าเข้าใจว่าตอนนี้หว่านชิงเพิ่งอายุสามขวบ เธอต้องมีมู่ชิงคอยดูแลเลี้ยงดู ดังนี้คุณย่าอย่าทำร้ายมู่ชิงเด็ดขาด อย่าให้หว่านชิงต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าไม่มีพ่อไม่มีแม่”
เขายิ้มขื่นก่อนจะยื่นมือไปจับมือคุณผู้หญิงไว้: “คุณย่า ตอนนี้คุณย่าก็อายุมากแล้ว จะอยู่ดูแลหว่านชิงได้อีกกี่ปีกัน”
คุณผู้หญิงฟังสิ่งที่เขาพูดแล้ว ก็เริ่มร้องไห้ขึ้นมา ก่อนจะพยักหน้าตอบ: “ได้ ฉันรับปากกับเธอ ฉันจะไม่มีวันทำร้ายมู่ชิง และจะไม่มีวันทำให้หว่านชิงกลายเป็นเด็กกำพร้า”
“อีกอย่าง อย่าแย่งหว่านชิงไปจากมู่ชิง อย่าแยกแม่ลูกเขาออกจากกัน” เขารู้ว่าหว่านชิงมีความสำคัญกับมู่ชิงแค่ไหน เขากลัวว่าถ้าเขาไม่อยู่แล้ว คุณผู้หญิงที่บ้าอำนาจจะไปแย่งหว่านชิงจากเธอ
คุณผู้หญิงยังคงพยักหน้าตอบ
“และถ้าผมเกิดจากไปก่อน อย่าขัดขวางมู่ชิงกับเฉียวเฟิง ให้พวกเขาได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันสามคนพ่อแม่ลูกต่อไปเถอะ”
“ฉันรับปากเธอ ฉันรับปากเธอ อย่าพูดอีกเลยได้มั้ย…….” คุณผู้หญิงร้องไห้เสียใจอย่างหนักท่านไม่ต้องการให้เขาพูดต่อ เพราะทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ
ไม่ใช่เฉพาะคุณผู้หญิงที่ทนฟังต่อไปไม่ไหว แม้แต่ไป๋มู่ชิงที่อยู่หน้าประตูห้องผู้ป่วยก็ทนฟังต่อไปไม่ไหวเหมือนกัน เธอเอามือปิดปากไว้ ตัวที่พิงผนังอยู่ค่อยๆเลื่อนลงไปนั่งกับพื้น
เธอนึกว่าหนานกงเฉินจะเกียดเธอ โทษเธอ แค้นเธอ จนไม่อยากเจอหน้าเธออีก แต่ไม่คิดว่า……..
เขาแคร์หว่านชิงมากขนาดนี้ เป็นห่วงหว่านชิงขนาดนี้ แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าหว่านเป็นตายร้ายดียังไง!
แค่นึกว่าคนสองคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเธอ แต่จะไม่ได้อยู่กับเธอ แค่นี้เธอก็เจ็บปวดเกินจะรับไหวแล้ว
—
เลขาเหยียนเห็นไป๋มู่ชิงนั่งอยู่ในร้านกาแฟมาแต่ไกล เธอรีบเดินเข้าไปถาม: “คุณหนูไป๋ มีเรื่องอะไรมั้ยคะ?”
ไป๋มู่ชิงเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะสูดน้ำมูกเล็กน้อยและเชิญเธอนั่ง พร้อมพูดด้วยสีหน้าที่รู้สึกผิด: “ขออภัยด้วยนะคะ ที่ต้องรบกวนเวลางานของคุณ”
“ไม่เป็นไรค่ะ เลิกงานพอดี” เลขาเหยียนนั่งลงฝั่งตรงข้ามเธอ ก่อนจ้องมองเธอแล้วพูขึ้น: “คุณหนูไป๋มีอะไรก็มาตามตรงได้เลยค่ะ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”
“งั้นฉันขอพูดตามตรงเลยนะคะ” ไป๋มู่ชิงบอก:”วันนี้เลขาหลินไปหาหนานจะกงเฉินที่โรงพยาบาล บอกว่ามีเอกสารสำคัญให้เขาเซ็นต์ แต่ตอนนี้หนานกงเฉินแทบจะลุกขึ้นไม่ไหวแล้ว จะให้เขามานั่งเอกสารที่ต้องอนุมัติได้ยังไง?”
“บริษัทฯไม่มีคนคุมไม่ได้ ยิ่งตอนนี้มีเซิ่งตงหยางที่คิดไม่ซื่อคอยก่อความวุ่นวายอีก เลขาเหยียนบอกฉันว่าหนานกงกรุ๊ปในตอนนี้วุ่นวายมากแล้ว กังวลว่าถ้าคุณชายเฉินยังไม่รีบกลับมา…….บริษัทฯคงจะล้มลงในไม่ช้า ส่วนฉันเองก็ไม่เข้าใจการบริหารจัดการบริษัทฯ” ไป๋มู่ชิงมองเธออย่างขอร้อง: “ดังนั้นฉันมาขอร้องเลขาเหยียนแทนหนานกงเฉิน ขอให้คุณกลับไปรับตำแหน่งที่หนานกงกรุ๊ป และช่วยดูแลแทนคุณชายเฉินช่วงนี้ก่อนได้มั้ย ขอร้องล่ะ!”
เลขาเหยียนมองหน้าเธอก่อนจะยิ้มอย่างเห็นใจ: “อันที่จริงฉันก็ดูออก ถ้าคุณชายเฉินล้ม บริษัทฯก็จะล้มตาม”
“ดังนั้นฉันถึงได้แบกหน้ามาขอร้องคุณ เพราะนอกจากคุณแล้วก็ไม่มีใครจะรู้จักระบบบริษัทหนานกงเท่าคุณแล้ว และไม่ใครที่เราสามารถเชื่อใจได้เท่าคุณอีก” ไป๋มู่ชิงตอบด้วยความร้นใจ: “ขอแค่เลขาเหยียนตอบตกลง มีเงื่อนไขอะไรเราก็จะพยายามทำให้คุณค่ะ”
“แต่ว่า…….” เลขาเหยียนยิ้มอย่างลำบากใจ: “คุณหนู่ไป๋ ในตอนนั้นคุณผู้หญิงเป็นคนตัดสินใจให้ฉันออก ถ้าวันนี้ฉันกลับไปอีก คุณผู้หญิงอาจเกิดความเข้าใจผิด และอาจไม่ไว้ใจฉันด้วยมั้ยคะ?
“ไม่หรอกค่ะ ตอนนั้นเพราะคุณผู้หญิงฟังคำยุแยงของคุณหนูจู จึงยอมจำใจต้องให้เลขาเหยียนลาออก” ไป๋มู่ชิงพูด: “และวันนี้คุณผู้หญิงก็มากับฉันด้วย ท่านอยากมารับเลขาเหยียนกลับไปทำงานที่หนานกงกรุ๊ปด้วยตัวเอง”
เลขาเหยียนได้ยินว่าจะเชิญคุณผู้หญิงเข้ามา ก็รีบพูดขึ้น: “อย่าค่ะ อย่ารบกวนท่านเลยค่ะ”
คุณผู้หญิงที่นั่งอยู่โต๊ะถัดไปเดินเข้ามาพอดี เลขาเหยียนไม่คิดว่าคุณผู้หญิงจะมาจริงๆ แล้วยังนั่งอยู่โต๊ะถัดไปอีก เธอจึงรีบลุกขึ้นจากโซฟา ก่อนจะทักทายท่านอย่างมีมารยาท: “คุณผู้หญิง ท่านทำไมถึงมาได้คะ?”
คุณผู้หญิงทำมือให้เธอนั่งลง ก่อนทีไป๋มู่ชิงจะประคองท่านให้นั่งลงข้างๆ แล้วมองหน้าเลขาเหยียน: “มู่ชิงพูดถูก วันนี้ฉันตั้งใจจะมาเชิญเลขาเหยียนกลับไปทำงานที่หนานกงกรุ๊ปจริงๆ”
เลขาเหยียนอ้าปากจะพูด แต่กลับพูดอะไรไม่ออกเลย
เลขาเหยียน ฉันรู้ว่าคุณมีความสามารถในการทำงาน และทำงานเข้ากับเฉินได้เป็นอย่างดี เฉินให้ความสำคัญกับคุณมานานหลายปีก็ย่อมมีเหตุผลของเขา ตอนนั้นที่ฉันต้องให้เธอลาออกก็เพราะจูจูสงสัยโน้นสงสัยนี่ ทำเป็นจะเป็นจะตาย ฉันเองก็ต้องจำใจไล่เธออก” คุณผู้หญิงพูดด้วยความรู้สึกผิด: “ต้องขอโทษจริงๆ วันนี้ให้ฉันขอโทษเธอที่นี่อย่างเป็นทางการอีกครั้งได้มั้ย?”
“คุณผู้หญิงอย่างทำแบบนี้ค่ะ” เลขาเหยียนพูดห้ามขึ้น: “ฉันรู้ค่ะว่าที่คุณผู้หญิงต้องปลดฉันมันเป็นความจำเป็น ฉันไม่ได้โทษท่านเลยค่ะ”
คุณผู้หญิงถอนใจอย่างทุกข์ใจ: “หนานกงกรุ๊ปก่อตั้งมากว่าร้อยปี ตอนนี้เฉินกำลังป่วยหนัก จะเป็นตายร้ายดียังไงก็ยังไม่รู้ จะให้ฉันนั่งดูบริษัทฯล้มไปต่อหน้าต่อตาหรือให้บริษัทฯตกไปอยู่ในมือของเซิ่งตงหยางโดยไม่ทำอะไรเลยได้ยังไง รู้ว่ามันยากมาก แต่ก็ต้องพยายามไม่ใช่เหรอ? มู่ชิงพูดถูกคนในหนานกงกรุ๊ปส่วนใหญ่แปรพรรคไปเป็นคนของเซิ่งตงหยางหมดแล้ว ถ้าเรายังไม่ลงมือทำอะไรตอนนี้บริษัทฯก็จะตกเป็นของเซิ่งตางหยางในไม่ช้า”
“คุณผู้หญิงสบายใจได้ ต่อให้เซิ่งตงหยางจะรวบรวมผู้ถือหุ้นรายย่อยในบริษัทฯไว้ทั้งหมดแล้วขายหุ้นออกไป ก็เทียบไม่ได้กับหุ้นในมือของท่านและคุณชายเฉินหรอกค่ะ” เลขาเหยียนยิ้มเล็กน้อย: “อีกอย่าง คุณชายเฉินต้องรอดแน่นอนค่ะ คุณผู้หญิงสบายใจได้ค่ะ”
“ขอให้เป็นแบบนั้นเถอะ” คุณผู้หญิงมองหน้าเธอแล้วรีบถามขึ้น: “เลขาเหยียนยินดีจะกลับมามั้ย? เหมือนที่พูดชิงพูดเมื่อครู่ ขอแค่เธอยอมกลับมา มีเงื่อนไขอะไรก็บอกเราได้เลย”
เลขาเหยียนนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพูด: “คุณผู้หญิงวางใจเถอะ ท่านพูดขนาดนี้แล้วฉันต้องกลับไปแน่นอน เพราะยังไงคุณชายเฉินก็เป็นคนให้โอกาสและฝึกฉันมา