เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 253 สามคนพ่อแม่ลูก

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

ไป๋มู่ชิงออกมาจากที่พักของเฉียวเฟิง ขณะที่มาถึงโรงแรมแล้วนั้น หนานกงเฉินกับเสียวหว่านชิงได้อยู่ในโรงแรมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

เธอยกมือเคาะประตูห้อง ไม่นานก็มีคนเปิดประตูจากด้านในออก

เมื่อเห็นไป๋มู่ชิงที่ยืนอยู่หน้าประตูห้อง หนานกงเฉินจึงชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นก็กวาดสายตามองเธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ขณะที่สายตาหล่นไปอยู่บนกระเป๋าเดินทางที่อยู่ข้างเท้าเธอ ความประหลาดใจที่อยู่บนใบหน้าจึงมีมากขึ้นกว่าเดิม

เขาให้ไป๋มู่ชิงไปเจรจากับเฉียวเฟิง ทว่าไม่เคยคิดเลยว่าเธอจะจัดการเจรจาทุกอย่างให้เสร็จสรรพภายในคืนนี้ได้เลยเช่นนี้ เขาได้เตรียมตัวในการพักอยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราวเรียบร้อยแล้ว รอให้เธอค่อย ๆ เจรจากับเฉียวเฟิงไปเรื่อย ๆ จากนั้นก็ค่อยพาเธอและหว่านชิงกลับประเทศไปด้วยกัน

“เธอ……นี่หมายความว่าเจรจาสำเร็จแล้วเหรอ ?” หนานกงเฉินมองไป๋มู่ชิงที่ขอบตาแดงก่ำ พร้อมทั้งเริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าช้า ๆ : “หรือว่า……ทะเลาะกับเขาเลยหนีออกจากบ้าน ? ไม่ใช่สิ……เธอไป๋มู่ชิงไม่มีความกล้าและความเด็ดขาดแบบนั้นหรอกเธอ……”

หนานกงเฉินยังไม่ทันได้กล่าวจบประโยค ก็ถูกเธอที่อยู่ ๆ ก็พุ่งเข้ามาหาพร้อมกอดรัดตัวเขาเอาไว้แน่นจนต้องถอยหลังไปหนึ่งก้าว

ไป๋มู่ชิงกอดเขาเอาไว้แน่น ใบหน้าเรียวเล็กซุกอยู่ซอกคอของเขา เธอกระพริบตาไล่น้ำตาที่คลอเบ้าออกพร้อมทั้งกักเก็บความตื่นเต้นดีใจที่มีอยู่เอาไว้ จากนั้นก็กล่าวเสียงสะอื้นว่า : “ฉันเป็นอิสระแล้ว……”

“งั้นเหรอ ? ราบรื่นแบบนี้เลยเหรอ ?” หนานกงเฉินยังคงสงสัยไม่คลาย

ไป๋มู่ชิงพยักหน้า จากนั้นก็ฉีกยิ้มขึ้นพร้อมกล่าวด้วยน้ำตาที่เอ่อล้น : “ไม่อยากจะเชื่อเลยใช่ไหม ? ฉันก็รู้สึกว่าไม่น่าเชื่อเหมือนกัน เหลือเชื่อไปเลย”

“เฉียวเฟิงปล่อยมือไปอย่างง่ายดายแบบนี้เลยเหรอ ?”

“ค่ะ เขาบอกว่าเขาได้ตัดสินใจปล่อยมือฉันไปตั้งนานแล้ว ครั้งนี้ที่เขาพาฉันมาต่างประเทศก็แค่อยากย้อนความรู้สึกที่อยู่กับฉันในเมื่อก่อน ไปในสถานที่ที่เคยไปด้วยกันในเมื่อก่อนเท่านั้น” ไป๋มู่ชิงใช้กำหมัดต่อยเข้าไปยังไหล่ของเขา : “ทำให้ฉันเป็นกังวลใจเปล่า ๆ ตั้งนาน ฉันนึกว่าจะไม่สามารถกลับมาอยู่กับคุณได้อีกแล้วเสียอีก……”

“ฉันก็เหมือนกัน……ทำให้ฉันเป็นกังวลใจเปล่า ๆ ตั้งนานแหนะ” หนานกงเฉินพรมจูบไปยังเส้นผมของเธอพร้อมฉีกยิ้มขึ้นมาแล้วกล่าวว่า : “รู้อย่างนี้ฉันไม่ตามมาหรอก ไปจัดการคนชั่วเหล่านั้นที่บริษัทต่อไปและรอให้เธอกลับเมืองซีมายังจะดีกว่า”

“ขอโทษนะคะ ฉันผิดเอง……ทำให้คุณบึ่งมาตั้งไกลและนานแบบนี้เสียเปล่าเลย”

“พูดขอโทษทำไมกัน ?” หนานกงเฉินยิ้มพร้อมใช้มือเคาะหน้าผากของเธอ : “อย่าเอาแต่พูด ‘ขอโทษ’ กับฉันสิ อีกอย่างฉันคิดว่าแบบนี้ก็ดีออกนะ ก็ถือซะว่าเป็นความแห้วเล็ก ๆ ในชีวิตก็แล้วกัน อืม……ถือซะว่าตอนนั้นที่ฉันติดค้างเธอ ก็ถือโอกาสถูกเธอทรมานคืนในตอนนี้ก็แล้วกัน……”

“จริงด้วยนะ ฉันคิดว่าเฉียวเฟิงจะต้องคิดอย่างนี้แน่เลย สร้างโอกาสให้ฉันได้ทรมานคุณกลับหนึ่งครั้ง”

“ดูสิ ได้ใจใหญ่เลยนะ” หนานกงเฉินยิ้มพร้อมพรมจูบไปบนริมฝีปากของเธอ หลังจากที่ทั้งสองคนจูบหัวเราะเฮฮากันพักใหญ่แล้ว ไป๋มู่ชิงจึงกล่าวถามขึ้นว่า : “จริงสิ หว่านชิงล่ะ ?”

“เล่นเหนื่อยแล้ว เพิ่งนอนหลับไปน่ะ” หนานกงเฉินชี้ไปยังด้านในห้อง

“เป็นยังไงบ้าง ? ยังว่านอนสอนง่ายอยู่ไหม ?”

“ว่านอนสอนง่ายมากเลย เหมือนเธอนั่นแหละ” หนานกงเฉินกล่าวไป พร้อมพรมจูบริมฝีปากของเธออีกครั้ง

ไป๋มู่ชิงยกมือขึ้นมาผลักหน้าอกของเขาออก : “คุณหนานกงเฉิน คุณแน่ใจนะว่าจะแสดงเรียลลิตีโชว์อยู่หน้าประตูน่ะ ?”

“อืม พวกเราเข้าไปด้วยกันเถอะ” หนานกงเฉินใช้เท้าแตะกระเป๋าเดินทางบนพื้นเข้าห้อง จากนั้นก็ใช้เท้าปิดประตูห้อง สองมือของเขาไม่คลายออกจากเธอในทุกขั้นตอน ยังคงโอบกอดเธอเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่แน่นเช่นเคย ทั้งริมฝีปากยังประกบกับปากสีแดงอันระเรื่อของเธอไม่คลาย

ทั้งสองคนพรมจูบกันตั้งแต่หน้าประตูจนถึงเตียงนอน หนานกงเฉินจับเธอกดลงบนเตียง จากนั้นบนเตียงก็สั่นคลอนเบา ๆ เป็นระยะหนึ่งเหมือนที่เคยเป็นมา ไป๋มู่ชิงนึกถึงหว่านชิงขึ้นมาจึงดิ้นขัดขืนเล็กน้อยพร้อมกล่าวกระซิบว่า : “เฉิน พวกเราทำอย่างนี้จะทำให้หว่านชิงตื่นได้นะ……”

“ไม่หรอก ฉันว่าลูกหลับลึกมากเลยนะ” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นเบา ๆ

“ไม่ได้นะ ถ้าอยู่ ๆ ลูกตื่นขึ้นมาจะทำยังไง ?”

“แล้วจะทำยังไง ? ไปห้องน้ำไหม ?” หนานกงเฉินจงใจแสดงสีหน้าที่ลำบากใจพร้อมมองหน้าเธอ

“อย่าเลย……พวกเราเอาไว้วันหลังก็ได้”

“เธอทนไหวเหรอ ? ฉันไม่เชื่อ” หนานกงเฉินยิ้มขึ้นพริ้มพร้อมมองใบหน้าเรียวเล็กสีแดงอมชมพูของเธอ จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยความสงสัยว่า : “ไม่รู้ว่าสามีภรรยาคู่อื่น ๆ เขาทำกิจบนเตียงกันยังไงเนอะ ? คงไม่ใช่ว่ามีลูกแล้วก็ไม่ทำการบ้านหรอกนะ ?”

“ฉันไม่รู้เหมือนกัน” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า จากนั้นก็มองหน้าเขา : “จริงสิ ร่างกายของคุณยังฟื้นฟูไม่เต็มที่เลยนะคะ ทำการบ้านไหวเหรอ ?”

“ยังไม่เคยลอง รอเธอมาทดลองอยู่น่ะ” หนานกงเฉินฉีกยิ้มขึ้นพร้อมทั้งพรมจูบไปยังซอกคอของเธอ จากนั้นก็ยกมือขึ้นไปกดปิดไฟหัวเตียง ทันใดนั้นความมืดก็เข้าปกคลุมแสงสว่างภายในห้อง

คราวนี้แม้หว่านชิงจะตื่นขึ้นมาก็ไม่ต้องกลัวแล้ว เขาคิดเช่นนี้อย่างลำพองใจอยู่ในใจ

หลังจากเสร็จกิจแล้ว ไป๋มู่ชิงได้นอนหลับไปเรียบร้อย เมื่อหนานกงเฉินได้ยินเสียงหายใจของเธอค่อย ๆ มั่นคงลงและจนกระทั่งมั่นใจแล้วว่าเธอนอนหลับจริง ๆ เขาจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นมาจากเตียงอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็ยื่นมือไปกดเปิดไฟดวงน้อยที่อยู่บนหัวเตียง

จากนั้นเขาจึงเก็บเสื้อคลุมอาบน้ำที่ถูกเขาโยนไว้บนพื้นขึ้นมาคลุมบนตัวไว้ และค้นหาพาสปอร์ตของไป๋มู่ชิงและเสียวหว่านชิงอยู่ในกระเป๋าเดินทางของไป๋มู่ชิง หาเจอแล้วก็เดินไปยังโต๊ะคอมพิวเตอร์พร้อมเปิดคอมพิวเตอร์ขึ้นมาทำการจองตั๋วเครื่องบินกลับเมืองซีเวลาบ่ายของวันพรุ่งนี้สามใบในอินเทอร์เน็ต

หลังจากที่จองตั๋วเสร็จแล้ว เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินไปยังเคาน์เตอร์แล้วรินน้ำดื่มหลายอึก จากนั้นก็เดินกลับมายังริมขอบเตียง

เขามองสองแม่ลูกที่กำลังหลับลึกอยู่บนเตียงภายใต้แสงสีเหลืองส้มอันสลัว ๆ บนหัวเตียง ในใจพลางรู้สึกอ่อนยวบขึ้นมาเองตามธรรมชาติ รู้สึกประทับใจอย่างสุดซึ้ง

นี่คือภรรยาและลูกสาวของเขา เขาเคยสูญเสียพวกเธอไปซึ่งไม่ง่ายเลยว่าจะเจอตัวและพาพวกเขาภรรยาและลูกสาวกลับคืนมาได้ !

เขาผู้ซึ่งเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน ครั้นในเวลานี้กลับไร้ซึ่งความง่วงใด ๆ เขานั่งอยู่บนเก้าอี้พร้อมจ้องมองใบหน้าที่หลับใหลอยู่ของสองแม่ลูกอยู่อย่างนั้น ราวกับว่ากำลังชื่นชมผลงานศิลปะอันมีค่าอยู่อย่างไรอย่างนั้น

ไม่สิ สำหรับเขาแล้วแม้จะเป็นผลงานศิลปะอันมีค่าเท่าใดก็ไม่เทียบเท่าพวกเธอสองแม่ลูกได้เลย !

จนกระทั่งไป๋มู่ชิงตื่นนอนขึ้นมาจากห้วงนิทรา และขณะที่เธอยื่นมือออกมาแล้วคลำหาหนานกงเฉินไม่เจอจึงค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมานั้น ก็พบว่าหนานกงเฉินกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้หน้าเตียงนอนอย่างเงียบ ๆ ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ถึงได้ตกอยู่ในภวังค์เช่นนั้น

เธอขยี้ดวงตาทั้งสองข้าง กวาดสายตามองเวลาบนกำแพง ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว เขายังไม่นอนอีกงั้นหรือ ?

“เฉิน คุณมองอะไรอยู่เหรอ ? ทำไมยังไม่นอนอีก ?” เธอถามด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

“มองเธอไง” หนานกงเฉินตอบตามความจริง

“มองฉันเหรอ ?” ไป๋มู่ชิงขมวดคิ้ว

“อืม รู้สึกว่าแม้จะดูยังไงก็ดูไม่พอเลย”

ใบหน้าเรียวเล็กของไป๋มู่ชิงแดงก่ำขึ้นมาด้วยความเขินอาย เธอดึงผ้าห่มขึ้นมาปิดร่างกายอันเปลือยเปล่าของตนเองเอาไว้ จากนั้นก็เริ่มมองหาเสื้อผ้าของตนเอง

หนานกงเฉินกลับฉีกยิ้มขึ้นและถอดชุดนอนบนตัวออก จากนั้นก็มุดเข้าไปในผ้าห่มแล้วโอบกอดร่างกายของเธอเอาไว้ : “ไม่ต้องใส่แล้ว ฉันอยากกอดเธอนอนหลับไปอย่างนี้แหละ”

“คุณแน่ใจนะว่าคุณนอนกลับได้น่ะ ?” ไป๋มู่ชิงหันหน้าไปมองหน้าเขาพร้อมฉีกยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้าย

มือของเขาเริ่มอยู่ไม่นิ่งแล้ว เธอไม่เชื่อโดยสิ้นเชิงว่าเขาจะนอนหลับลงได้

หนานกงเฉินเองก็ไม่เชื่อว่าตนเองจะนอนหลับได้เช่นกัน จึงจัดการเธออีกรอบ

เช้าตรู่วันถัดมา ไป๋มู่ชิงได้ยินเสียงร้องของเสียวหว่านชิงอยู่เลือนลาง เธอที่อ่อนไหวกับเสียงร้องของหว่านชิงอย่างมากนั้นจึงลืมตาขึ้นมาทันที

เธอกวาดสายตามองไปรอบห้อง จึงพบว่าบนเตียงนอนอันใหญ่นั้นมีเพียงเธอนอนอยู่คนเดียว ครั้นหนานกงเฉินและเสียวหว่านชิงไม่ได้อยู่ด้วย

เธอรวบรวมสติ จากนั้นก็ได้ยินเสียงร้องสะอึกสะอื้นของหว่านชิงดังมาจากระเบียงห้อง และหนานกงเฉินก็กำลังปลอบประโยนเธออยู่ข้าง ๆ อย่างมีความอดทน

เธอได้ยินเสียงร้องไห้สะอื้นของหว่านชิงพูดขึ้นว่า : “แต่ว่าหนูตัดใจไปจากคุณพ่อเฉียวไม่ได้ คุณพ่อเฉียวก็ตัดใจไปจากหนูกับคุณแม่ไม่ได้เหมือนกัน ถ้าหนูกับคุณแม่ไปแล้วคุณพ่อเฉียวจะเสียใจนะคะ”

“แต่ว่าคุณพ่อก็ตัดใจจากหว่านชิงไม่ได้เหมือนกันนะ หรือว่าหว่านชิงไม่กลัวว่าคุณพ่อจะเสียใจเหรอครับ ?” หนานกงเฉินจงใจใช้น้ำเสียงอันน่าเวทนากล่าวกับเธอ

“แต่ว่าคุณพ่อเฉียวเดินไม่ได้ เขาต้องการหนูกับคุณแม่ดูแลนะคะ”

“อืม……แต่ว่าร่างกายของคุณพ่อก็ไม่ดีเหมือนกันนี่นา หนูดูสิครั้งที่แล้วเกือบตายแล้วใช่ไหมล่ะครับ ? คุณพ่อก็ต้องการหนูกับคุณแม่ดูแลเหมือนกันนะ” หนานกงเฉินกล่าวด้วยความน่าสงสารต่อไป และทำให้หว่านชิงหยุดชะงักไปได้จริง ๆ

ไป๋มู่ชิงที่นอนอยู่บนเตียงได้ยินเสียงสนทนาของทั้งคู่จึงยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว สมกับที่เป็นนักธุรกิจเสียจริง ภายในเวลาอันสั้นก็สามารถเข้าใจหว่านชิงอย่างถ่องแท้ได้แล้ว ทราบว่าไม้เด็ดนี้จะต้องใช้ได้ผลกับเธอ

นิสัยของหว่านชิงได้รับถ่ายทอดจากเธอโดยสิ้นเชิง ซึ่งมีเมตตาและความใจอ่อน ทนเห็นคนข้างกายน้อยเนื้อต่ำใจหรือทุกข์ใจไม่ได้

“หว่านชิงหนูคือลูกน้อยของคุณพ่อคุณแม่ เพราะฉะนั้นหนูควรใช้ชีวิตอยู่กับคุณพ่อคุณแม่เข้าใจไหมคะ ? และในวันข้างหน้าคุณพ่อเฉียวก็จะมีลูกน้อยเป็นของตัวเองและใช้ชีวิตอยู่กับลูกของตัวเองเหมือนกัน เพราะว่าพวกเขาเป็นครอบครัวที่แท้จริงกันยังไงล่ะคะ”

ขณะที่เสียวหว่านชิงมองหน้าเขา และมองเห็นไป๋มู่ชิงจึงหันหน้าไปถามไป๋มู่ชิงว่า : “คุณแม่คะ เป็นอย่างนี้เหรอคะ ? วันข้างหน้าคุณพ่อเฉียวก็จะมีลูกน้อยเป็นของตัวเองเหมือนกันเหรอคะ ?”

“อืม แน่นอนสิจ๊ะ” ไป๋มู่ชิงพยักหน้า จากนั้นก็ไปนั่งยองยองอยู่เบื้องหน้าเธอ : “เมื่อคืนตอนที่แม่มาที่โรงแรม คุณพ่อเฉียวให้แม่มาบอกหนูว่า ให้หนูกลับประเทศไปก่อนและต้องเชื่อฟังคุณพ่อคุณแม่อย่างว่านอนสอนง่าย คุณพ่อเฉียวจะมาเยี่ยมหนูบ่อย ๆ ในวันหลังนะคะ”

“แล้วคุณพ่อเฉียวก็อยู่คนเดียวที่นี่เหรอคะ ?”

“คุณพ่อเฉียวจะอยู่คนเดียวได้ยังไงคะ ? ยังมีคุณลุงคนขับรถ ยังมีพวกโรเซ่และแจ็คอยู่ด้วยนี่คะ”

เมื่อเสียวหว่านชิงได้ยินที่เธอพูดดังนั้น จึงพยักหน้าหงึก ๆ

ไป๋มู่ชิงลูบศีรษะเล็ก ๆ ของเธอ : “เพราะฉะนั้นวันนี้พวกเรากลับประเทศกันก่อนดีไหมคะ ?”

“อย่างนั้นก็ได้ค่ะ” ในที่สุดหว่านชิงก็เชื่อฟังเสียที

ไป๋มู่ชิงและหนานกงเฉินสบตากันแวบหนึ่ง ในที่สุดทั้งคู่ก็โล่งอกเสียที

หนานกงเฉินยิ้มพร้อมพูดกับไป๋มู่ชิงว่า : “รีบไปล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นก็ลงไปทานอาหารเช้าข้างล่างด้วยกันเถอะ”

ไป๋มู่ชิงกล่าวถามว่า : “วันนี้พวกเราจะกลับไปเลยเหรอคะ ?”

หนานกงเฉินพยักหน้า : “อืม เครื่องบินเที่ยวบ่ายสอง มีอะไรเหรอ ? ยังอยากเที่ยวเล่นอีกวันสองวันเหรอ ?”

“ไม่ใช่ค่ะ” ไป๋มู่ชิงส่ายหน้า : “กลับไปเร็ว ๆ ดีกว่า ที่บริษัทต้องการคุณนี่คะ”

หนานกงเฉินยิ้มขึ้นอย่างเอือมละอา ที่บริษัทต้องการเขาจริง ๆ เขาเองก็จากมาหลายวันเช่นนี้ เดาว่าคงชิงบริษัทกลับคืนมาไม่ได้เสียแล้ว

เครื่องบินเที่ยวบ่ายสองออกบินตรงเวลา และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่สามคนพ่อแม่ลูกได้นั่งเครื่องบินด้วยกัน ไป๋มู่ชิงรู้สึกเพียงว่าอบอุ่นหัวใจ และมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง

ยังจำได้ว่าตอนที่มาตอนแรกนั้น เธอรู้สึกสิ้นหวังกับชีวิตเป็นอย่างมาก รู้สึกว่าทั้งชีวิตนี้ตนเองคงกลับไปเมืองซีและกลับไปอยู่ข้างกายของหนานกงเฉินไม่ได้อีกต่อไป

คิดไม่ถึงว่าผ่านไปแค่หนึ่งเดือนสั้น ๆ เธอก็ได้มาโดยสารอยู่บนเครื่องบินเที่ยวนี้อีกคราแล้ว อีกทั้งยังได้อยู่พร้อมกับหนานกงเฉินและเสียวหว่านชิงอีกด้วย

เครื่องบินแลนดิ้ง ณ สนามบินนานาชาติเมืองซี เสี่ยวหลินได้รออยู่หน้าประตูสนามบินตั้งแต่เนิ่น ๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ระหว่างทางที่กลับคฤหาสน์หลังเก่า หนานกงเฉินเล่าเรื่องราวให้เสียวหว่านชิงฟังมาตลอดทาง และดูเหมือนว่าเสียวหว่านชิงจะสนใจเรื่องเหล่านั้นเป็นอย่างมาก ฟังเขาเล่าไปและถามคำถามเขาไปตลอดไม่หยุด

และเรื่องที่หนานกงเฉินเล่ามานั้น เมื่อก่อนนี้ไป๋มู่ชิงไม่เคยได้ยินเขาเคยพูดมาก่อนเลย

ในที่สุดเธอก็อดไม่ได้จนต้องเอ่ยปากขึ้นมา : “ดูเหมือนว่าคุณจะไม่เคยเล่าเรื่องตอนเด็กให้ฉันฟังเลยนี่นา”

หนานกงเฉินมองเธอจากนั้นยิ้มขึ้นมา : “ฉันเคยเล่าเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนเด็กให้เธอฟังมาก่อน แต่เธอกลับจำไม่ได้แล้ว คนขี้ลืมอย่างเธอเนี่ยรู้ไหมว่าฉันเสียใจแค่ไหน ?”

ไป๋มู่ชิงจึงยิ้มขึ้นอย่างเคอะเขิน เธอทราบดีว่าหนานกงเฉินหมายถึงเรื่องที่เธอเคยช่วยเหลือเขาที่เมืองเหยียน

ใช่แล้ว ถ้าหากความจำของเธอดีหน่อย เธอและหนานกงเฉินคงไม่ต้องเดินทางอ้อมมาตั้งเยอะแยะเพียงนี้หรอก

“ไม่ต้องห่วง จากนี้ไปเวลาของพวกเรายังเหลืออีกยาวนาน มีเวลามากมายค่อย ๆ เล่าให้เธอฟัง” ทันใดนั้นข้างใบหูก็มีเสียงอันอ่อนโยนของหนานกงเฉินดังเข้ามา

ไป๋มู่ชิงได้ยินดังนั้นจึงเงยหน้ามองเขาด้วยความประหลาดใจ หนานกงเฉินจึงถือโอกาสพรมจูบไปยังริมฝีปากของเธอ

“อย่า……” ไป๋มู่ชิงใช้นิ้วมือชี้ไปยังหว่านชิงด้วยความรู้สึกเคอะเขิน เตือนเขาให้ระมัดระวังภาพลักษณ์หน่อย

หนานกงเฉินจึงอุ้มหว่านชิงเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือปิดใบหน้าของเธอเอาไว้ เวลาต่อมาก็จงใจพรมจูบไปยังริมฝีปากของไป๋มู่ชิงอีกครั้ง : “อย่างนี้ได้อยู่ใช่ไหม ?”

ครั้นหว่านชิงที่อยู่ในอ้อมกอดของเขากลับร้องงอแงขัดขืนพร้อมกล่าวว่า : “คุณพ่อ อย่าปิดตาหนูสิคะ หนูมองด้านนอกไม่เห็น”

หนานกงเฉินพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นก็กล่าวกับไป๋มู่ชิงว่า : “เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยังค่ำ ใสซื่อบริสุทธิ์เสมอ”

รถจอดอยู่หน้าประตูคฤหาสน์หลังเก่า ครั้นยังไม่ทันได้จอดสนิทคุณผู้หญิงก็เดินออกมาต้อนรับจากในตัวบ้านแล้ว เธอมองภายในตัวรถด้วยความรีบร้อนพร้อมถามขึ้นมา : “กลับมากันหมดแล้วหรือยัง ? กลับมาหรือยัง……?”

“กลับมากันหมดแล้วค่ะคุณผู้หญิง” พี่เหอยิ้มพร้อมกล่าว

หนานกงเฉินอุ้มเสียวหว่านชิงลงจากรถมา ไป๋มู่ชิงเองก็ลงรถมาอีกฝั่งหนึ่งเช่นเดียวกัน

เมื่อคุณผู้หญิงเห็นเสียวหว่านชิงจึงเดินเข้าไปหาด้วยความรู้สึกปลื้มปิติพร้อมทั้งอุ้มออกจากอ้อมกอดของหนานกงเฉินลงมาเบื้อล่างทันที เธอมองสำรวจตัวหว่านชิงไปด้วยความปลื้มใจพร้อมถามว่า : “หลานรัก คิดถึงคุณย่าทวดหรือเปล่าคะ ? ย่าทวดคิดถึงหนูแทบแย่”

“คิดถึงค่ะ” หว่านชิงพยักหน้าพร้อมกล่าวขึ้น

“ให้ย่าทวดอุ้มหลานหน่อยได้ไหมคะ ?” คุณผู้หญิงกล่าวพร้อมอ้าแขนเตรียมอุ้มเธอ

ครั้นพี่เหอรีบกล่าวห้ามปรามขึ้นทันควัน : “คุณผู้หญิงคะอย่าอุ้มเลยค่ะ คุณอุ้มไม่ไหวหรอก”

“ใครบอกว่าฉันอุ้มไม่ไหว ร่างกายของฉันดีจะตายไป” คุณผู้หญิงพูดกับหนานกงเฉินและไป๋มู่ชิง : “พวกเธออย่าไปฟังหล่อนพูดซี้ซั้วให้มาก ร่างกายของฉันดีเหมือนเมื่อก่อนเหมือนเดิม”

หนานกงเฉินยิ้มขึ้นอย่างเอือมละอา พร้อมพูดว่า : “คุณย่าครับ กลับเข้าบ้านก่อนดีกว่านะครับ”

แม้ว่าทุกคนจะไม่ได้บอกความจริงกับเขาว่าคุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บมาได้อย่างไร และสาหัสเพียงใด ทว่าเขามองออกว่าหลังจากที่คุณผู้หญิงได้รับบาดเจ็บแล้วนั้น ร่างกายของเธอก็อ่อนแอลงไม่น้อย แถมหัวสมองก็ไม่ได้ดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท