เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด – บทที่ 274 ย้ายบ้าน

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เฉียวซือเหิงออกจากคุกได้สามวันก็เข้าไปที่บริษัทฯ

สามปีมานี้เป็นเฉียวเฟิงที่คอยบริหารงานในบริษัทฯ ถึงเฉียวเฟิงจะไม่ถนัดเรื่องบริหาร แต่มีผู้บริหารมืออาชีพอย่างเหยียนเยว่อยู่ด้วยแล้ว ทำให้การบริหารงานได้ง่ายขึ้นเยอะ

แต่เรื่องงานบริหารไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจนัก ถ้าเฉียวซือเหิงกลับมารับช่วงต่อได้ก็จะดีไม่น้อย

เฉียวซือเหิงสีหน้าดีขึ้นไม่น้อย แต่เฉียวเฟิงยังรู้สึกเป็นห่วง: “พี่ใหญ่ พี่พักผ่อนที่บ้านหลายวันหน่อยก็ได้นะครับ”

เฉียวซือเหิงตอบ: “อยู่บ้านก็ไม่มีอะไรทำ มาที่บริษัทฯดีกว่า”

เฉียวเฟิงพยักหน้า: “ถ้างั้น ผมก็ขอส่งคืนบริษัทฯให้พี่ดูแลต่อเลยนะครับ”

“อยู่ช่วยกันบริหารบริษัทฯไม่ดีกว่าเหรอ พวกร้านอาหารก็ให้เหยียนเยว่ดูแลไป” เฉียวซือเหิงพูด

เฉียวเฟิงยิ้ม: “เหยียนเยว่บอกว่าอยู่ในสนามธุรกิจมานานหลายปีแล้ว อยากพักผ่อนซะหน่อย จะได้อยู่ดูแลเหยียบเหยียบด้วย พี่กลับมาเขาก็ได้พักพอดี”

เฉียวซือเหิงพยักหน้า: “ขอบคุณเหยียนเยว่แทนฉันด้วย”

“ขอบคุณอะไรกัน เราครอบครัวเดียวกัน”

ขณะที่เฉียวเฟิงกำลังจะออกจากห้องทำงาน เฉียวซือเหิงเอามือตบเบาๆบนบ่าเขา: “คืนนี้พาเหยียนเยว่และเสี่ยวเหยียนเหยียนกลับมากินข้าวที่บ้านนะ”

เฉียวเฟิงรับปากก่อนเดินออกไป

หลังเลิกงาน เฉียวเฟิงกลับไปรับเหยียนเยว่และเสี่ยวเหยียนเหยียนไปที่บ้านตระกูลเฉียว ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้คุณผู้หญิงเฉียวจะดีกลับเฉียวเฟิงมากแล้ว แต่เนื่องจากต่างก็ยังไม่สนิทใจ ถ้าไม่มีเรื่องอะไรเฉียวเฟิงก็ไม่ค่อยได้กลับคฤหาสน์ตระกูลเฉียวเท่าไหร่

ระหว่างทาง เสี่ยวเหยียนเหยียนถามด้วยน้ำเสียงเจี๊ยวจ๊าว: “คุณพ่อคะ เรากำลังจะไปไหนกันคะ?”

เฉียวเฟิงหันมามองด้วยความเอ็นดู: “พาเหยียนเหยียนไปบ้านคุณย่า”

“ทำไมต้องไปบ้านคุณย่าคะ”

“ก็เพราะคุณลุงกลับมาแล้ว”

“คุณลุงคือใครคะ?” เสี่ยวเหยียนเหยียนถามต่อ

“เดี๋ยวเจอแล้วก็รู้เอง” เหยียนเยว่จัดกระโปรงให้แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน เธอพูดเสร็จก็ถามเฉียวเฟิงต่อ: “ซูซี่ไม่กลับบ้านตระกูลเฉียวแล้วจริงๆเหรอ?”

เฉียวเฟิงหยุดคิดแปบหนึ่งก่อนพูด: “น่าจะไม่กลับแล้วนะ”

“ไม่คิดเลยว่าเขาทั้งสองคนจะกลายเป็นแบบนี้ไปได้” เหยียนเยว่พูดเหมือนทุกคน ที่พูดถึงเรื่องของทั้งสองแล้วก็จะอดรู้สึกเสียดายไม่ได้

“อาจเป็นเพราะ…..พรหมลิขิตมั้ง” เฉียวเฟิงยิ้มเล็กน้อย: “ก็เหมือนเราทั้งสองคนไง ไม่คิดว่าจะมีวันนี้ได้ ไม่คิดว่าเป็นเพราะพรหมลิขิตที่ทำให้เราได้มาอยู่ด้วยกันเหรอ?”

“อืม ก็ถูกนะ”

เฉียวเฟิงหันมาจับมือเธอไว้ก่อนพูด: “พูดไปแล้วก็ต้องขอบคุณแก้วตาดวงใจของเรากันนะ”

“ทำไมต้องขอบคุณหนูคะ?” เสี่ยวเหยียนเหยียนถามอย่างไม่เข้าใจ

“ขอบคุณหนูที่ทำให้คุณแม่ได้อยู่เมืองซีต่อไง” เฉียวเฟิงอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดด้วยสีหน้าจริงจัง: “ถ้าไม่ใช้เพราะเสี่ยวเหยียนเหยียนของเรา คุณแม่คงหนีไปแต่งงานเมืองนอกแล้ว”

เหยียนเยว่หัวเราะ อันนี้เรื่องจริง

ถ้าตอนนั้นเธอไม่ได้ตั้งครรภ์ และไม่ได้เป็นลมต่อหน้าเฉียวเฟิงจนตรวจพบว่าตั้งครรภ์ เธอคงไม่ได้เก็บเด็กไว้ คงจะหนีไปทำแท้งที่โรงพยาบาลแล้ว

มันจริงนะ…..ถ้าพรมหลิขิตมาแล้ว ต่อให้เป็นใครก็หลีกหนีไม่พ้น

ครอบครัวเล็กๆทั้งสามชีวิตเดินทางมาถึงคฤหาสน์ตระกูลเฉียว เจอเฉียวซือเหิงที่เพิ่งเลิกงานกลับมาพอดี

เฉียวซือเหิงลงจากรถ มองดูครอบครัวเล็กๆที่ดูอบอุ่นทั้งสาม ก่อนจะเดินเข้าไปหา

“นี่ก็คือโซ่ทองคล้องใจที่พวกเธอได้มาหลังดื่มหนักเหรอ?” เฉียวซือเหิงโน้มตัวไปจับมือกับเสี่ยวเหยียนเหยียน เธอเขินอายจนหลบไปอยู่ด้านหลัง

“พี่ ระวังคำพูดหน่อยครับ เดี๋ยวเหยียนเหยียนจะถามได้” เฉียวเฟิงพูดยิ้มๆก่อนจะหันไปบอกเสี่ยวเหยียนเหยียนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน: “เหยียนเหยียน คนนี่คือคุณลุงนะ”

“คุณลุงคะ” เสี่ยวเหยียนเหยียนเรียกอย่างน่าเอ็นดู ก่อนจะถามขึ้น” “คุณลุงบอกหน่อยได้มั้ยคะว่าอะไรคือได้มาหลังดื่มหนักและอะไรคือโซ่ทองคล้องใจคะ?”

ความอยากรู้อยากเห็นของเสี่ยวเหยียนเหยียนสูงมากจริงๆ เธอถามเฉียวซือเหิงด้วยสีหน้าจริงจัง

“เออ……อันนี้ก็…….” เฉียวซือเหิงคิดก่อนพูด: “รอให้หนูโตขึ้นหนูก็จะรู้เอง มาให้คุณลุงอุ้มหน่อย”

“อุ้มแปบเดียวนะคะ” เสี่ยวเหยียนเหยียนที่ถูกเขาอุ้มขึ้นมาไม่ลืมที่จะบอกเขา

“ก็ได้ อุ้มแปบเดียวก็พอเนอะ” เฉียวซือเหิงอุ้มเหยียนเหยียนพาทุกคนเข้าบ้านไป

ตอนแรกนึกว่าที่บ้านจะมีแค่คุณผู้หญิงเฉียวคนเดียว ไม่คิดว่าในห้องรับแขกจะยังมีหญิงสาวที่สวยและอ่อนหวานนั่งอยู่ด้วย

มองหญิงสาวแปลกหน้าที่นั่งอยู่บนโซฟาแล้ว เฉียวซือเหิงก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย เฉียวเฟิงและเหยียนเยว่ก็หันมามองหน้ากันด้วยความสงสัย

คุณผู้หญิงเฉียวปรับเก้าอี้นั่งให้เคลื่อนเข้ามาหาทุกคนด้วยความยินดี และไม่ลืมจุงมือสาวสวยตามมาด้วย: “นี่เป็นญาติห่างๆของฉัน ชื่อเหวินหย่า เพิ่งเรียนจบมาหางานทำที่เมืองซี เลยจะมาอยู่กับเราชั่วคราว”

“สวัสดีค่ะ รบกวนด้วยนะคะ” สาวสวยดูแล้วอ่อนหวานดูดี เหมาะสมกับชื่อเธอมาก

เฉียวซือเหิงมองดูเธอก่อนจะถามคุณผู้หญิงเฉียว: “ญาติห่างๆ?”

“ใช่ ก็ลูกสาวของลูกบุญธรรมลูกพี่ลูกน้องของคุณยายเธอไง ถึงจะไม่เกี่ยวข้องกันทางสายเลือด แต่ก็ถือเป็นญาติกัน เธออาจไม่เคยเห็น” คุณผู้หญิงเฉียวพูดขึ้น

อย่าว่าแต่เฉียวซือเหิงเลย แม้แต่เฉียวเฟิงกับเหยียนเยว่เองก็ดูออกว่าคุณผู้หญิงพาญาติคนนี้มาอยู่ด้วยเพื่ออะไร แต่ทุกคนไม่ได้เอ่ยถามอะไร ถึงแม้ว่าเฉียวซือเหิงจะรู้สึกเบื่อหน่ายแค่ไหนก็ไม่สามารถไล่เธอออกจากบ้านเหมือนคนอื่นๆที่ผ่านมาได้ เพราะยังไงแล้วคนนี้ก็มาในฐานะญาติคนหนึ่ง

ระหว่างทานอาหารค่ำ คุณผู้หญิงเฉียวยังให้เฉียวซือเหิงช่วยหาตำแหน่งงานให้หยวนหย่าถิงด้วย เฉียวซือเหิงมองคุณผู้หญิงก่อนจะหันไปมองเหวินหย่าแล้วพูดขึ้น: “งั้นก็ไปทำตำแหน่งจัดทำเอกสารที่โรงพยาบาลแล้วกัน สบายหน่อย”

“ขอบคุณค่ะ” เหวินหย่ารีบกล่าวขอบคุณ

คุณผู้หญิงเฉียวกลับพูดขึ้น: “ให้ไปช่วยงานเธอดีกว่านะ เธอเพิ่งกลับมารับช่วงบริหารต่อ คนรอบข้างไม่รู้ว่าไว้ใจได้แค่ไหน คนกันเองไว้ใจได้มากกว่า”

“คุณแม่ สบายใจเถอะครับ คนรอบตัวผมเป็นคนเก่าแก่ที่ผมฝึกขึ้นมากับมือ ทุกคนจงรักภักดีกับผมมาก”

“นั้นมันเมื่อก่อน ตอนนี้ผ่านไปหลายปี ใครจะไปรู้?” คำพูดของคุณผู้หญิงเฉียวแฝงความหมายบางอย่าง ทำให้เฉียวเฟิงฟังแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เห็นได้ชัดว่าท่านยังสงสัยว่าเขาจะถือโอกาสช่วงที่เฉียวซือเหิงไม่อยู่รวบบริษัทฯไว้เอง”

ถึงเขาจะยืนยันอยู่หลายครั้งแล้วว่าเขาไม่เคยคิดอยากได้บริษัทฯนี้ แต่ดูแล้วคุณผู้หญิงเฉียวก็ยังไม่เชื่อเขาอยู่ดี

“จริงสิ คุณแม่คะ อาเฟิงตัดสินใจจะออกจากบริษัทฯตระกูลเฉียวแล้วนะคะ” เหยียนเยว่พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้มเล็กน้อย

ได้ฟังคำพูดที่เหมือนสังสัยในตัวเฉียวเฟิงแบบนี้ เธอรู้สึกไม่พอใจยิ่งกว่าตัวเฉียวเฟิงอีก สามปีมานี้เฉียวเฟิงทำเพื่อตระกูลเฉียวทุกอย่างและไม่เคยคิดเอาอะไรจากตระกูลเฉียวแม้แต่แดงเดียว สุดท้ายยังมาโดนคุณผู้หญิงเฉียวสงสัยแบบนี้อีก เธอทนฟังต่อไปไม่ได้จริงๆ

เฉียวเฟิงยื่นมือไปจับมือเธอที่อยู่ใต้โต๊ะ เป็นการปลอบโยน

เหยียนเยว่ยิ้มให้เขาเล็กน้อย ก่อนจะเลี้ยงข้าวเสี่ยวเหยียบเหยียบต่อ

คุณผู้หญิงเฉียวมองเฉียวเฟิงอย่ากแปลกใจ แต่ก็รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆก่อนจะพูดขึ้น: “ถ้าเช่นนั้นข้างกายซือเหิงก็ยิ่งต้องหาคนช่วยซักคน เอางี้ละกันให้เสี่ยวหย่าไปเป็นผู้ช่วยประจำตัวดีกว่า”

เฉียวเฟิงและเหยียนเยว่รู้สึกแอบเห็นใจเฉียวซือเหิงไม่น้อย ส่วนเจ้าตัวกลับไม่ได้พูดอะไร

เหวินหย่าสามารถเข้าไปอยู่ในบ้านตระกูลเฉียวได้อย่างง่ายดาย และยังได้เข้าไปทำงานอยู่ในบริษัทฯตระกูลเฉียวด้วย

วันถัดมา เฉียวซือเหิงพาเธอไปที่บริษัทฯแล้วส่งให้เลขาหลิน: “ช่วยหาตำแหน่งงานให้คุณหนูเหวินงานหนึ่ง เสร็จแล้วมาหาผมที่ห้องทำงานด้วย”

“คุณชายเฉียวคะ ให้ฉันหาตำแหน่งอะไรให้คุณหนูเหวินดีคะ?”

“อะไรก็ได้” เฉียวซือเหิงพูดก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงานทันที

เลขาหลินมองเหวินหย่าแวบหนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างลำบากใจ: “คุณหนูเหวินคะ คุณอยากได้……….”

“งานที่ได้อยู่ใกล้กับคุณชายเฉียวหน่อยก็พอค่ะ” เหวินหย่าพูดขัดขึ้น

“งั้นก็……เลขาได้มั้ยคะ?”

“ได้ ตามที่ฉันคิดไว้เลย ขอบใจนะ” เหวินหย่ากล่าวขอบคุณ

เลขาหลินจัดการในส่วนของเหวินหย่าเรียบร้อยก็รีบเข้าไปหาเฉียวซือเหิงที่ห้องทำงาน

เลขาหลินนึกว่าเฉียวซือเหิงเรียกเธอเข้ามาเพื่อให้เธอรายงานเรื่องงานของเหวินหย่า เปิดประตูมาเธอก็รีบรายงานเลย: “คุณชายเฉียว ฉันจัดให้คุณหนูเหวินทำงานในตำแหน่งเลขาแล้วนะคะ”

“ได้” เฉียวซือเหิงเอนตัวพิงผนังเก้าอี้ก่อนจ้องมาที่เธอ: “หลายปีมานี้ได้ข่าวของฟางมี่บ้างมั้ย?”

“คุณหนูฟาง?” เลขาหลินแปลกใจ: ” คุณชายเฉียวคุณยังคิดจะ…..ติดต่อเธออยู่เหรอคะ?”

“ไม่ได้เหรอ?” เฉียวซือเหิงขมวดคิ้ว

“ไม่ใช่ค่ะ ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น” เลขาหลินคิดก่อนพูดขึ้น: “ฉันได้ยินกลุ่มเลขาคุยกันว่าเธอแต่งงานแล้ว”

“แต่งกับใคร”

เลขาหลินส่ายหน้า ยิ้มอย่างเกรงใจ: “คำถามนี้…..คุณชายเฉียวควรจะไปถามเลขาที่ชื่อลินดานะคะ เธอรู้เรื่องชาวบ้านดีที่สุดค่ะ”

เฉียวซือเหิงไม่ได้ไปหาลินดา แต่เขากลับนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะเงยหน้ามองมาที่เธอ: “ช่วยตามหาฟางมี่ให้หน่อย แล้วช่วยนัดเธอให้ฉันด้วย นัดมาที่ออฟฟิศแล้วกัน”

“ได้ค่ะ” ถึงแม้เลขาหลินจะไม่เข้าใจสิ่งที่เฉียวซือซือเหิงทำ แต่เธอก็รีบไปทำงานตามคำสั่งทันที

“แม่ครับ ทำไมต้องให้ผมใส่หน้ากากออกจากบ้านด้วย ผมไม่ชอบเลย…..” เสี่ยวกว้านทำหน้างอแง

ซูซี่พูดปลอบขณะที่ใส่หน้ากากให้เด็กน้อยไปด้วย: “เพราะว่าข้างนอกเต็มไปด้วยฝุ่นละออง สูดดมเข้าไปจะทำให้มีหนอนน้อยในท้องได้นะ แล้วก็จะทำให้ปวดท้องด้วย”

“แล้วทำไมเด็กคนอื่นไม่ต้องกลัวหนอนน้อยละครับ?”

“ก็……เพราะว่าเด็กคนอื่นแข็งแรงกว่าเสี่ยวกว้านไง พวกเขาก็เลยไม่กลัว” ซูซี่ยิ้มเล็กน้อยก่อนจะลูบผมเด็กน้อย: “เด็กดี อยู่ข้างนอกห้ามถอดหน้ากากออกรู้มั้ย?”

“รู้แล้วครับ” เสี่ยวกว้านตอบอย่างไม่ค่อยพอใจ

“เสี่ยวกว้านเก่งที่สุด” ซูซี่จูงมือเด็กน้อยไว้: “ไปเถอะ วันนี้เราไปเรียนคาบสุดท้ายแล้ว”

เธอไม่รู้จะอธิบายให้เสี่ยวกว้านเข้าใจยังไงว่าทำไมต้องให้เขาใส่หน้ากาก เพราะเสี่ยวกว้านยังเด็กมาก ถ้าเธอบอกเสี่ยวกว้านว่าที่ต้องใส่หน้ากากเพราะกลัวว่าเฉียวซือเหิงจะเห็นเขา เด็กน้อยจะเข้าใจเหรอ? เป็นไปไม่ได้เลย!

หลังจากที่ซูซี่ส่งเสี่ยวกว้านไปที่ห้องเรียนแล้ว เธอก็ขึ้นชั้นสองไปที่ห้องผู้อำนวยการเพื่อยื่นเรื่องลาออก ยังไม่ทันจะถึงก็ถูกเหลียนเฟยขวางไว้ซะก่อน เธอสะดุ้งตกใจจนรีบพูด: “เธอทำอะไรเนี่ย? ตกใจหมดเลย!”

“ฉันทำอะไร? ฉันสิที่ต้องถามว่าเธอจะทำอะไร ทำไม่ต้องลาออก? แล้วจะลาออกทำไมไม่บอกฉันซะคำ?” เหลียนเฟยโวยวายขึ้น

ซูซี่มองบนอย่างเบื่อหน่าย ไม่คิดว่าเขาจะรู้จนได้

“พูดสิ ทำไม?” เหลียนเฟยถามจี้

” ไม่มีอะไร แค่อยู่ๆก็ไม่อยากทำแล้วแค่นั้น”

“แล้วฉันจะทำยังไง?”

“เธอจะทำไง? เธอก็ทำงานที่นี่ต่อไปไง ไม่งั้นจะให้ฉันเลี้ยงเธอไง?” ซูซี่มองเขาแวบหนึ่ง: “ฉันบอกเธอกี่ครั้งแล้วว่าฉันมีแค่เสี่ยวกว้านคนเดียวก็พอแล้ว ไม่อยากมีลูกเพิ่มอีกคน”

“เธอว่าฉันเป็นเด็กเหรอ?”

“เด็กกว่าฉันแปดปี เธอคิดว่าไง?” ซูซี่ยกมือผลักอกเขาทีหนึ่ง: “พอได้แล้ว รีบไปจีบพวกเด็กสาวสวยๆไป อย่ามาขัดจังหวะคนจะยื่นเรื่องลาออก”

“ซูซี่!” เหลียนเฟยเดินตามเธอมาติดๆ พร้อมทั้งข่มขู่เธอไปด้วย: “ฉันเตือนเธอก่อนนะ ถ้าเธอกล้าลาออกละก็ ฉันจะตามติดเธอไปทุกที่เลย เธอไปที่ไหนฉันก็จะไปที่นั้น……”

สิ้นเสียงดัง ‘ปัง’ เหลียนเฟยก็ถูกซูซี่ปิดประตูใส่หน้าจนยืนเอ๋ออยู่หน้าประตู

ได้ฟังเลขาหลินว่าเฉียวซือเหิงยังอยากจะสานสัมพันธ์กับเธอต่อ ฟางมี่รู้สึกทั้งแปลกใจและดีใจ แต่หลังจากนั้นก็รู้สึกสงสัยตามมา

ก็ในเมื่อเธอเคยทำกับซูซี่ขนาดนั้น เฉียวซือเหิงจะให้อภัยเธอได้ไง?

แต่พอมาคิดดีๆแล้ว เธอรู้จักนิสัยของซูซี่ดี ซูซี่ไม่มีทางไปหาเฉียวซื้อเหิงในคุกอีกแน่นอน ยิ่งไม่มีวันที่ซูซี่จะไปบอกความจริงกับเขาได้ เธอคิดว่าน่าจะเป็นเพราะหลังจากที่เฉียวซือเหิงเสียซูซี่ไป ถึงพบว่าสุดท้ายเธอเองที่ซื่อสัตย์กับเขาที่สุดแล้ว

ขณะอยู่ในลิฟท์ เธอยังถามเลขาหลินอีกครั้งเพื่อความสบายใจ: “คุณชายเฉียวพูดว่าเขาอยาก……คือว่า……ติดต่อกับฉันอีกเหรอคะ?”

เลขาหลินมองเธอแวบหนึ่งก่อนพยักหน้า: “เห็นคุณชายเฉียวว่าแบบนั้นนะคะ”

พอได้ยินเธอพูดแบบนี้ ฟางมี่ก็ค่อยสบายใจขึ้น

ลิฟท์มาถึงชี้นบนสุดของตึก เลขาหลินพาฟางมี่มาที่ห้องทำงานของเฉียวซือเหิง ขณะที่เฉียวซือเหิงกำลังดูข้อมูลของฟางมี่และสามี ที่เลขาหลินเป็นคนส่งมาให้เขา

พอเห็นฟางมี่เดินเข้ามา เขาก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ ริมฝีปากยกยิ้มอย่างเคยชินให้เธอ: ” คุณหนูฟาง ไม่เจอกันนาน ยังคงดูอวบอั๋นเหมือนเดิมนะ”

รอยยิ้มแบบนี้แหละที่ทำให้ฟางมี่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นดาวรุ่งที่ได้รับความนิยมและดูมีอานาคตต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างไป วันนี้กลับมาเจอกันอีกครั้งเธอก็ยังคงตกหลุมเสน่ห์นี้อีกครั้ง

หลังจากที่เธอหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก็เดินเข้าไปหาเขาด้วยท่าทางปรีดา สองมือยกขึ้นคล้องคอเขาไว้ก่อนจะยิ้ม: “ทำไมเรียกซะห่างเหินแบบนี้ล่ะ รู้สึกไม่ชินเอาซะเลย”

“แบบนี้เขาเรียกว่าโรแมนติก รู้มั้ย?” เฉียวซือเหิงใช้นิ้วจับปลายคางเธอเงยขึ้น ก่อนจะเป่าลมใส่หน้าเธอเบาๆ

“คุณชายเฉียวร้ายนัก”

เลขาหลินทนดูต่อไปไม่ไหวเธอหันหลังเดินออกจากห้องทำงาน ขณะที่กำลังดึงประตูเปิดออก ก็ต้องตกใจกับเหวินหย่าที่ยืนอยู่หน้าประตู

เหวินหย่าถอยหลังอัตโนมัติก้าวหนึ่ง ก่อนจะชูเอกสารในมือขึ้นแล้วพูด: “ขอโทษค่ะ ฉัน…..ฉันไม่ได้ตั้งใจแอบฟังนะคะ”

“ไม่เป็นไร ครั้งต่อไปอย่าลืมเคาะประตูก่อนนะคะ” เลขาหลินพูดเสร็จก็เดินออกไป

หลังจากเลขาหลินเดินออกไปแล้ว เหวินหย่าก็ลอบมองเข้าไปด้านในอีกครั้ง ก่อนจะเดินตามออกไป

ในห้องทำงาน ฟางมี่ที่กำลังเขย่งท้าวขึ้นเพื่อจะประทับจูบลงไปบนริมฝีปากของเฉียวซือเหิง แต่ถูกเฉียวซือเหิงใช้นิ้วมือแตะไปที่ริมฝีปากเธอซะก่อน พร้อมยิ้มเล็กน้อย: “คุณหนูฟาง ก่อนแต่งก็เหลวไหลแบบนี้ หลังแต่งยังเหลวไหลเหมือนเดิมเหรอ? ทำแบบนี้ไม่รู้สึกผิดต่อสามีข้าราชการผู้ซื่อสัตย์ของเธอหน่อยเหรอ?”

สีหน้าฟางมี่เปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเธอไม่คิดว่าเฉียวซือเหิงที่เพิ่งออกจากคุกมาจะรู้ข่าวเกี่ยวกับเธอได้ละเอียดขนาดนี้

หลังจากสีหน้าเปลี่ยนไปแปบนหนึ่ง เธอก็ยิ้มเจื่อนขึ้น: “คุณชายเฉียวกำลังหึงเหรอคะ? ฉันกับเขาไม่ไ่ด้รักใคร่อะไรกันนะคะ แค่ที่บ้านอยากให้แต่งงาน ก็เลยหาใครซะคนแต่งด้วยแค่นั้น ถ้าคุณชายเฉียวถือสาเรื่องนี้ ฉันหย่ากับเขาก็ได้นะคะ”

“พูดจริง?”

“พูดจริงซิคะ” ฟางมี่พยักหน้า

“พูดจริงก็ดี” เฉียวซือเหิงยกมือชี้ไปที่กล้องวงจรปิดในห้อง: “เห็นนั้นมั้ย?”

ฟางมี่มองตามมือเขาไปทางหลังโต๊ะทำงาน สีหน้าเปลี่ยนไปทันที เฉียวซือเหิงพูดต่อ: “เธอว่าถ้าฉันตัดคลิปบางช่วงส่งไปให้สามีเธอ เขาเห็นแล้วจะรู้สึกยังไง? ต่อให้เป็นผู้ชายที่ดีและซื่อสัตย์แค่ไหนก็ไม่น่าจะรับพฤติกรรมของภรรยาแบบนี้ไม่ได้มั้ง? และเท่าที่ฉันรู้มาพ่อสามีเธอไม่ได้เป็นคนดีอะไรเหมือนสามีเธอนะ ไม่รู้ว่าถ้าเขารู้เรื่องแล้วจะ……………”

เขายิ้มร้ายกาจ และไม่ได้พูดอะไรต่อ

“คุณคิดจะทำอะไร?” สีหน้าฟางมี่เริ่มขาวซีด

พ่อสามีเธอเป็นคนที่มีอิทธิพลไม่น้อย ยังเป็นอิทธิพลด้านมืดด้วยอีกต่างหาก จะไม่ได้เธอกลัวได้ไง

“ตอบแทนเธอไง” เฉียวซือเหิงเป่าลมใส่หน้าเธอ

“คุณ…..เฉียวซือเหิงทำไมคุณทำแบบนี้? ทำไมต้องแก้แค้นฉันด้วย ตอนนั้นเป็นคุณเองที่ทิ้งฉันไป ฉัน……”

เฉียวซือเหิงขัดขึ้น: “เอางี้มั้ย เธอลองบอกฉันหน่อยสิว่าเธอทำอะไรซูซี่ ถ้าเธอพูดความจริงฉันอาจจะพิจารณาปล่อยเธอไป”

“ฉันไม่ได้ทำอะไรเขาเลยนะ”

“ดูท่าแล้วเธอไม่น่าจะยอมพูดความจริง” เฉียวซือเหิงเดินอ้อมไปหลังโต๊ะ และเริ่มดึงข้อมูลในคอมฯ

ฟางมี่กัดริมฝีปากด้วยความกระวนกระวาย เธอกลัวว่าเฉียวซือเหิงจะส่งคลิปในกล้องออกไปจริงๆ จึงยอมปริปาก: “ก็ได้ ตอนนั้นที่ฉันต้องทำลงไปก็เพราะว่าฉันรักคุณมาก ฉันแค่อยากกลับไปอยู่เคียงข้างคุณ เลยแกล้งทำเป็นท้องต่อหน้าซูซี แต่ฉันไม่คิดว่าเธอจะใจเด็ดถึงขนาดทำให้คุณติดคุกได้ เธอช่างน่ากลัวมากจริงๆ……..”

“เธอแกล้งทำเป็นท้องต่อหน้าซูซี่เหรอ?” เฉียวซือเหิงสีหน้าเข้มขึ้น

“ฉัน……ฉันแค่……”

“หมายความว่า ที่ฉันต้องติดคุก และต้องสูญเสียลูกชายตัวเอง ก็เพราะเธอ?” เฉียวซือเหิงกัดฟันพูด

“ฉันขอโทษ ฉันไม่คิดว่าซูซี่จะเป็นผู้หญิงใจเด็ดขนาดนั้น”

เฉียวซือเหิงเงียบไป เขาคิดถึงตอนนั้นที่ซูซี่พูดว่าฟางมี่คือคนในครอบครัวเขาด้วยสีหน้าโมโหมาก ด้วยนิสัยของเธอแล้ว ในเวลานั้นเธอคงจะโมโหจนแทบจะบ้าอยู่แล้ว

ฟางมี่เห็นเขาไม่พูดอะไร ในใจยิ่งรู้สึกเป็นกังวลมากขึ้น ก่อนจะเรียกเขาอย่างระมัดระวัง: “คุณชายเฉียว…….”

เฉียวซือเหิงส่งข้อมูลในคอมฯอยู่พักหนึ่งก่อนจะยกกาแฟขึ้นดื่มแล้วเงยหน้ามองเธอ: “เพราะเธอรู้จักนิสัยซูซี่ดี เธอจึงใช้วิธีแบบนี้เพื่อทำให้เธอไปเอาเด็กออก? เพื่อแก้แค้นฉัน”

“ไม่ใช่แบบนั้น…..”ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์ของฟางมี่ก็ดังขึ้น เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดู เป็นเบอร์สามีเธอที่โทรฯเข้ามา ในใจรู้สึกกังวลขึ้นมา ก่อนจะกดรับ

คนในสายเป็นสามีเธอที่โทรฯเข้ามา และน้ำเสียงฟังดูไม่ดีเอาซะเลยยังสั่งให้เธอกลับบ้านเดี๋ยวนี้

“มีเรื่องอะไรเหรอ?” เธอแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง

“เธอว่าเรื่องอะไร? ต้องให้ฉันส่งคลิปวีดีโอให้เธอด้วยมั้ย?” สามีคนดีและใสซื่อของเธอโมโหอย่างหนัก

ฟางมี่อึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบกดวางสายแล้วหันไปจ้องมองเฉียวซือเหิงด้วยสายตาเย็นชาและเคียดแค้น

ครู่ใหญ่ก่อนเธอจะพูดออกมาด้วยความโมโหสุดขีด: “เฉียวซือเหิงคุณมันหน้าด้าน ไอ้คนไม่รักษาคำพูด!”

เฉียวซือเหิงยิ้มอย่างเย็นชา: “ถ้าฉันไม่หน้าด้านก็คงไม่ต้องไปอยู่ในคุก เธอก็ไม่ใช่เพิ่งรู้จักฉันนิ?”

“คุณ………!” ฟางมี่โกรธจนพูดไม่ออก

“คุณหนู่ฟางยังมีอะไรอีกมั้ย? ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็เชิญกลับเถอะ” เฉียวซือเหิงพูดอย่างไม่เกรงใจ

สีหน้าฟางมี่ในตอนนี้ดูไม่ได้เอาซะเลย เวลานี้ต่อให้เธอไม่อยากไปก็คงไม่ได้แล้ว เลยต้องหันหลังเดินไปยันประตูด้วยความโมโห

ขณะที่มือเธอจับลูกบิดประตูเตรียมเปิดออก เฉียวซือเหิงที่อยู่ด้านหลังก็พูดเตือนขึ้น: “คุณหนูฟางถ้าไม่อยากเดินออกไปอย่างน่าสมเพชมากนัก แนะนำให้เช็คน้ำตาจากความโมโหบนหน้าให้เรียบร้อยก่อนค่อยเดินออกไป จะได้ไม่ต้องถูกหัวเราะเยาะตามหลัง”

ฟางมี่กัดฟัน ก่อนจะหลับตาและสูดลมหายใจเข้าลึกๆ

เธอเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างแคร์เรื่องภาพลักษ์ตัวเองอยู่มาก เธอยืนทำใจอยู่ครู่หนึ่งจนปรับสีหน้าได้แล้วจึงดึงประตูเปิดแล้วเดินออกไป

ตั้งแต่ฟางมี่เดินเข้าไปในห้องทำงานของเฉียวซือเหิง เหวินหย่าก็คอยเฝ้าสังเกตประตูที่ปิดสนิทนั้นตลอดเวลา จนในที่สุดประตูก็เปิดออก ฟางมี่ที่เดินออกมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพึงพอใจ

ทำให้ในใจเหวินหย่ารู้สึกผิดหวังขึ้นมาทันที เธอได้ยินมาอยู่ว่าเฉียวซือเหิงเจ้าชู้หลายใจ แต่ไม่คิดว่าจะเจ้าชู้ขนาดนี้ เพิ่งออกจากคุกมา ก็มานัวเนียกับดาราตกกระป๋องคนนี้แล้ว

เธอถอนหายใจเพื่อระบายความไม่สบายในใจ

วันที่ซูซี่ย้ายบ้าน เหลียนเฟยไม่รู้ไปได้ข่าวมาจากไหน เขามาเฝ้าแต่เช้าไม่ยอมให้เธอย้ายไปไหน ไม่ยอมให้เธอย้ายไปจากเมืองซี

ซูซี่โดนเขาขัดขวางจนรำคาญถึงขีดสุด ก่อนจะจ้องมองเขาพูดน้ำเสียงเริ่มโมโห: “ตกลงเธอจะช่วยฉันย้ายลังกล่องนี้ลงไปด้านล่างมั้ย? ถ้าไม่ก็ช่วยหลบไปหน่อย ฉันจะได้ย้ายเอง”

เหลียนเฟยลากลังเดินไปอย่างเอื่อย อีกมือก็จุงมือของเสียวกว้าน เดินไปก็พูดกับเด็กไป: “เสี่ยวกว้าน หนูช่วยฉันขอร้องคุณแม่หน่อยสิ บอกให้คุณแม่อย่าย้ายไปไหนเลย อยู่ที่นี่ดีจะตาย”

เสี่ยวกว้านส่ายหัว: “ไม่เอาอ่ะ ผมจะไม่ช่วยขอร้องคุณแม่ให้หรอก คุณแม่บอกว่าจะพาผมไปอยู่ในเมืองที่สวยๆ”

“เชอะ เมืองที่สวยๆเหรอ? คุณแม่เธอโกหกเธอต่างหาก”

“คุณแม่ไม่มีวันโกหกผม” เสี่ยวกว้านพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

“หลังเข้ามาในลิฟต์ เหลียนเฟยจ้องมองเสี่ยวกว้าน ก่อนจะยื่นมือไปดึงหน้ากากออกให้เขา: “เหงื่อออกขนาดนี้จะใส่หน้ากากอีกทำไม ถอดออกดีกว่า”

“ไม่ได้นะ คุณแม่บอกว่าห้าถอดหน้ากาก เดี๋ยวจะติดเชื้อโรคได้”

“เชื้อโรคอะไรมากมาย”

ลิฟต์มาถึงที่จอดรถชั้นใต้ดิน เหลียนเฟยพาเสี่ยวกว้านมารออยู่ข้างรถของซูซี่ รออยู่ไม่กี่นาทีซูซี่ก็ลงมาพร้อมลังใบใหญ่

“ย้ายหมดแล้วเหรอ?” เหลียนเฟยถามอย่างไม่พอใจ

“ย้ายหมดแล้ว” ซูซี่อุ้มเสี่ยวกว้านไปนั่งคาร์ซีทบนเบาะหลัง แล้วอ้อมไปจัดของหลังรถต่อ

เหลียนเฟยเห็นว่าเธอตัดสินใจแน่วแน่แล้ว จึงพยักหน้า: “งั้นก็ได้ เธอรอฉันก่อนนะ ฉันกลับไปเก็บของเดี๋ยวรีบตามมา”

ซูซี่ไม่ได้สนใจคำพูดเขา ยิ่งไม่ได้สนใจเขาด้วย เธอยังคงจัดของหลังรถต่อ

ทั้งสองไม่มีใครสังเกตเห็นว่าอีกฝั่งของโรงจอดรถ มีรถของเฉียวซือเหิงกำลังเคลื่อนเข้ามาเรื่อยๆ

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

เจ้าสาวอันดับที่เจ็ด

Status: Ongoing
ไป๋มู่ชิงเคยได้ยินเรื่องเล่าตั้งแต่เด็กว่า ตระกูลหนานกงในเมืองซีเป็นตระกูลที่ร่ำรวยที่สุด แต่น่าเสียดายที่คุณชายใหญ่ของตระกูลกลับป่วยเป็นโรคประหลาด โรคที่เขาเป็นจะทำให้เขามีอายุอยู่ได้ไม่ถึงอายุ30ปี ไป๋มู่ชิงยังได้ยินมาอีกว่า คุณชายหนานกงเฉินแต่งงานใหม่ทุกๆปี แต่เจ้าสาวของเขากลับมีชีวิตอยู่ได้ไม่ถึงวันต่อมาหลังคืนเข้าหอ แต่ไม่ทราบสาเหตุของการแต่งงานและยังไม่ทราบถึงสาเหตุการเสียชีวิตของเจ้าสาวด้วย เมื่อตระกูลหนานกงได้ส่งของหมั้นมาให้ตระกูลไป๋ ไป๋มู่ชิงก็คิดไม่ถึงว่าพ่อของเธออยากจะปกป้องชีวิตพี่ของเธอไว้ถึงขนาดผลักเธอเข้าไปในประตูนรกอย่างโหดร้าย บังคับให้เธอแต่งงานกับหนานกงเฉินเป็นเจ้าสาวคนที่เจ็ดของเขา แทนพี่สาวของเธอ

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท