มู่นวลนวลออกจากห้องของมู่หวันฉี ระหว่างที่เดินลงมาเธอก็กำลังจะโทรหาโม่ถิงเซียว
แต่เธอยังไม่ได้โทรออกไป ที่มุมบันไดเธอเห็นคนเดินจากหน้าประตูเข้ามาในห้องโถง——ซือเฉิงยวี่
เธอตัดสายโทรศัพท์ที่กำลังจะโทรออก แล้วจ้องมองไปที่ซือเฉิงยวี่
ซือเฉิงยวี่ใส่สูทสีเทา ดูเหมือนว่าเขาจะผอมลง ใบหน้าของเขาก็ดูอ่อนโยน มุมปากโค้งงอได้รูป เหมือนกับคนที่เดินออกมาจากโปสเตอร์ภาพยนตร์ยังไงยังงั้นเลย
ถ้าไม่เกิดเรื่องนี้ขึ้น มู่นวลนวลก็ยังคงเป็นแฟนคลับเขา
อาจเป็นเพราะมู่นวลนวลสายตาจดจ่อมากเกินไป ซือเฉิงยวี่เงยหน้าขึ้นมามอง
ทันทีที่สบตากัน หน้าตาท่าทางที่อ่อนโยนของซือเฉิงยวี่ก็ส่อให้เห็นว่ามันแตกระแหง
รอยยิ้มบนริมฝีปากของเขากลายเป็นแข็งทื่อ แต่เพียงไม่กี่วินาทีเขาก็กลับมาเป็นปกติ
มู่เจิ้งซิวยังอยู่ที่ห้องโถง ซือเฉิงยวี่ละลายตาและเดินไปหามู่เจิ้งซิวด้วยท่าทีที่สุภาพเรียบร้อย:“เจ้าสัวมู่”
มู่เจิ้งซิวยิ้ม:“คุณซือ เชิญนั่ง”
เมื่อมู่นวลนวลลงไป มู่เจิ้งซิวกับซือเฉิงยวี่กำลังนั่งคุยกันอยู่ที่โซฟา
มู่นวลนวลต้องอดทนอดกลั้น และใช้ความพยายามอย่างมากที่จะอดทนต่อการยกเท้าแล้วเดินเข้าไปซักถามอย่างใจร้อน
ไม่รู้เสี่ยวชูเหอมาออกมาจากไหน เธอดึงมู่นวลนวลเข้าไปในห้อง
เธอมองไปที่ประตูสักพักแล้วก็ปิดประตู เธอดึงมู่นวลนวลเข้าไปในห้อง:“มันเกิดอะไรขึ้น?ทำไมชื่อของพี่สาวเธอถึงอยู่ในทะเบียนสมรส?”
มู่นวลนวลมองไปที่เสี่ยวชูเหอด้วยความประหลาดใจ
ในที่สุดแม่คนนี้ของเธอก็รู้จักที่จะเป็นห่วงเธอแล้ว?
แต่ในวินาทีถัดมาเสี่ยวชูเหอก็ทำจินตนาการของเธอพังทลาย
“ก่อนหน้านี้ถ้าเธอเอาตำแหน่งสะใภ้ตระกูลโม่มอบให้มู่หวันฉีก็คงไม่เกิดเรื่องในวันนี้ ใครใช้ให้เธอโลภมาก ตอนนี้ก็เลยเกิดเรื่องขึ้น เธอดูมู่หวันฉีที่ตอนนี้ถูกกักบริเวณสิ น่าสงสารมาก……”
เสี่ยวชูเหอพูดซ้ำซาก แต่สุดท้ายก็พูดด้วยความเป็นห่วงว่า:“ไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะส่งผลกระทบต่อบริษัทไหม……”
“เหอะ” มู่นวลนวลอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ เสียงของเธอเย็นชาผิดปกติ:“เสี่ยวชูเหอ สมองคุณมีปัญหารึเปล่า?ถ้ามีปัญหาก็ไปที่แผนกจิตเวชของโรงพยาบาล อย่าให้มันเกินขีดจำจัด ฉันเกินจะรับไหวแล้ว”
คฤหาสน์ของตระกูลมู่ได้รับการออกแบบมาอย่างดี เกือบทุกห้องมีความโปร่งแสงตั้งแต่เหนือจรดใต้ ทำให้มีแสงสว่าง
แต่เป็นเพราะแสงสว่างที่มากเกินไป ดังนั้นใบหน้าของมู่นวลนวลจึงชัดเจนมาก
เสี่ยวชูเหอเห็นความเบื่อหน่ายและความเหนื่อยล้าบนใบหน้าของมู่นวลนวลอย่างชัดเจน รวมถึงความสงบหลังจากความผิดหวัง
เธอไม่อยากจะเชื่อว่ามู่นวลนวลจะพูดแบบนี้:“นวลนวล?เธอเป็นอะไร?”
มู่นวลนวล ในความทรงจำของเธอ เป็นเด็กที่เชื่อฟังเธอมาตลอด เธอพูดอะไรมู่นวลนวลก็ยอมที่จะทำตาม
แต่สิ่งที่มู่นวลนวลพูดเมื่อตะกี้ ทำให้เธอต้องสะดุ้ง
“ทำไมเธอพูดแบบนี้กับแม่ล่ะ?” เสี่ยวชูเหอขวมดคิ้ว แล้วก็รูสึกว่าเมื่อตะกี้เธอฟังผิดไปรึเปล่า
เธอยื่นมือจะไปจับแขนมู่นวลนวล:“ฉันรู้ว่าเป็นเพราะช่วงนี้จิตใจเธอไม่ค่อยสงบ แต่เดิมทีเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ก็เป็นเพราะตัวเธอเอง……”
“ฉันจะพูดยังไงกับคุณดี?” มู่นวลนวลถอยหลังไปสองก้าว เพื่อหลีกเลี่ยงมือของเสี่ยวชูเหอ:“มู่หวันฉีด่าว่าคุณเป็นสุนัขของตระกูลมู่ แต่คุณก็ยังรีบไปเอาใจเธอ ฉันก็แค่พูดความจริงเท่านั้น คุณก็ทนฟังไม่ได้แล้ว?”
เสี่ยวชูเหอสีหน้าเปลี่ยน:“มู่หวันฉีอายุยังเด็ก เลยยังมีข้อผิดพลาด บางครั้งโมโหไปบ้างก็เป็นปกติ”
มู่นวลนวลพูดอย่างเย็นชา:“ฉันยังเด็กกว่าเธอ”
เสี่ยวชูเหอพูดไม่ออกไปชั่วขณะ มู่นวลนวลฟังเธอมาตลอด แต่จู่ๆก็พูดแบบนี้กับเธอ ในใจของเธอเดิมทีก็ไม่ได้มีความสุข เธอหน้าเสียและพูดอย่างดุดันว่า:“ เธอกับมู่หวันฉีจะเทียบกันได้ยังไง?ฉันทุ่มเทเอาใจพวกเขาขนาดนั้น ก็เพื่อให้เราสองแม่ลูกได้อยู่ในตระกูลมู่”
มู่นวลนวลสีหน้าไร้ความรู้สึก:“ไม่ใช่เรา แต่เป็นตัวคุณเอง”
เสี่ยวชูเหอมีอะไรจะพูด แต่มู่นวลนวลก็พูดขัดจังหวะเธอ:“อย่าพูดคำโกกว่าเพื่อเราสองคนแม่ลูก ฉันไม่อยากได้ยิน แล้วก็ไม่ต้องมาพูดแก้ตัวให้มู่หวันฉี คุณคงจะจำได้ ตอนนั้นคุณคุกเข่าขอร้องให้ฉันแต่งงานเข้าตระกูลโม่แทนมู่หวันฉี”
ตอนนี้มู่นวลนวลมีพ่ายแพ้ เธอจึงพูดทุกอย่างออกมา
โม่ถิงเซียวให้โอกาสซือเฉิงยวี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า และให้เธอเป็นเครื่องมือ สุดท้ายเธอก็กลายเป็น “มือที่สาม”
และเธอกับโม่ถิงเซียวไม่เหมือนกัน?
เธอให้โอกาสเสี่ยวชูเหอซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่สุดท้ายก็ยิ่งทำร้ายเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
เดิมทีจิตใจของมนุษย์นั้นคดเคี้ยวและยาวนาน บางสิ่งบางอย่างมันคดเคี้ยวตั้งแต่แรกเริ่มแม้ว่าคุณจะพยายามแก้ไข แต่มันก็ไร้ผล
เธอกับเสี่ยวชูเหอก็เป็นเช่นนั้น
ที่ต่างกันคือเธอยังรอที่จะให้โอกาสเสี่ยวชูเหอ นอกจากทำร้ายเธอแล้ว เสี่ยวชูเหอก็ไม่ได้ทำร้ายใคร
แต่ซือเฉิงยวี่มุ่งเป้ามาที่เธอโดยตรง
ในเกมของซือเฉิงยวี่กับโม่ถิงเซียว คนที่เป็นผู้เคราะห์ร้ายคือเธอ
มู่นวลนวลหายใจเข้าลึก:“ตั้งแต่ที่ฉันตกลงแต่งงานเข้าตระกูลโม่ในวันนั้น ความสัมพันธ์ระหว่างเราสองแม่ลูกก็หมดลงแล้ว ต่อมาคุณกับมู่หวันฉีพวกเขาวางแผนลักพาตัว ฉันก็ยินยอมที่จะเอาบัตรสีดำออกมาช่วยคุณ เป็นเพราะฉันอยากจะให้โอกาสคุณเป็นครั้งสุดท้าย”
“คุณน่าจะรู้ว่าหลังจากที่คุณไป มู่หวันฉีให้โจรสองคนนั้นทำอะไรกับฉัน พวกเขาต้องการให้ฉัน……” มู่นวลนวลหันหน้าหนี แววตาของเธออยากที่จะอธิบาย และพูดเพียงสี่คำสุดท้าย:“ข่มขืนแล้วฆ่า”
รูม่านตาของเสี่ยวชูเหอหดตัวลงอย่างรวดเร็วและสั่นสะท้าน
มู่นวลนวลยิ้มอย่างพอใจ แล้วเดินออกไปช้าๆ
เสี่ยวชูเหอฝ้าดูมู่นวลนวลเดินออกจากประตูไป และยิ่งไกลออกไปจากตัวเองเรื่องๆ แล้วความตื่นตระหนกก็เกิดขึ้นในใจ
เธอเดินตามไปข้างหน้าสองก้าวโดยไม่รู้ตัว และส่งเสียงเรียก:“นวลนวล!”
แต่ดูเหมือนมู่นวลนวลจะไม่ได้ยิน และเดินตรงออกไป
ปัง!
ประตูห้องถูกปิดและในห้องก็เงียบสงบ
เสี่ยวชูเหอยืนอยู่กลางห้องด้วยสีหน้าเศร้าหมอง
เธอผิดจริงๆหรอ?
แต่ เธอผิดที่ตรงไหน?
ไม่ใช่แม่เลี้ยงทุกคนปฏิบัติต่อลูกชายลูกสาวของอดีตภรรยาของสามีเป็นอย่างดี
เหมือนเธอหรอ?
มู่นวลนวลเป็นลูกสาวแท้ๆของเธอเอง ไม่ว่าเธอจะปฏิบัติกับมู่นวลนวลอย่างไร ก็ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าพวกเขาสองคนเป็นแม่ลูกกันได้
ใช่ เป็นแบบนี้แหละ
วันนี้สิ่งที่มู่นวลนวลพูด ไม่ใช่เพราะเธอสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้นในสองวันที่ผ่านมา
ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เป็นก็แม่ผู้ให้กำเนิดของมู่นวลนวล
มู่นวลนวลไม่สามารถปฏิเสธเธอได้
เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว สีหน้าที่เศร้าหมองเสี่ยวชูเหอก็ดีขึ้น
หลายปีที่ผ่านมามู่นวลนวลก็เชื่อฟังเธอมา ตอนนี้เธอก็แค่โกรธมากเท่านั้น ผ่านไปสักสองวันทุกอย่างก็คงจะดีเหมือนเดิม