“โอเค ฉันรู้แล้ว”
แม้ว่ามู่นวลนวลจะพูดแบบนั้น แต่ในใจของเธอก็รู้ว่า ต่อให้จะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ เธอก็จะไม่ทำให้เซินเหลียงกับกูจื่อหยานต้องลำบาก
……
เป็นไปตามที่เซินเหลียงพูด ไม่นานโม่จิ่นหยุนก็มาหาถึงหน้าประตู
ในเช้าวันต่อมา ขณะที่มู่นวลนวลกำลังทานอาหารเช้า เธอก็ได้ยินเสียงดังมาจากด้านนอก
เธอยังไม่ทันได้ลุกออกไปก็ได้ยินเสียงของรองเท้าส้นสูงเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ
ไม่นานก็มีผู้หญิงคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ทางเข้าห้องอาหาร
ผู้หญิงคนนี้สวมชุดสูท เธอดูมีความสามารถมาก หน้าตาของเธอค่อนข้างคล้ายกับโม่ถิงเซียว แม้กระทั่งอารมณ์ของเธอก็เย็นชาเหมือนโม่ถิงเซียว
มู่นวลนวลเดาว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นโม่จิ่นหยุน
เธอเดินตรงมาที่มู่นวลนวล และจ้องมองมู่นวลนวลอย่างละเอียดถี่ถ้วน
เธอจ้องมองมู่นวลนวลอยู่หลายนาทีและพูดว่า:“เธอคือมู่นวลนวล?”
เธอไม่เพียงแต่มีอารมณ์คล้ายกับโม่ถิงเซียวเท่านั้น แต่เธอยังมีความหยิ่งทะนงเหมือนกับที่ตระกูลร่ำรวยและมีอิทธิพลพึงมีทุกระเบียดนิ้ว เวลาที่เธอพูดเธอดูเต็มไปด้วยออร่า
มู่นวลนวลได้รับความตกตะลึงกับออร่าของโม่ถิงเซียวมาเป็นเวลานาน เมื่อต้องอยู่ตรงหน้าเธอก็แน่นอนว่ามู่นวลนวลไม่กลัว
ความประหลาดใจวูบวาบในดวงตาของเธอก็หายวับไป
“เธอน่าจะรู้แล้วว่าฉันเป็นใคร” เธอยังคงจ้องมองมู่นวลนวล:“ฉันคือโม่จิ่นหยุน เป็นพี่สาวของโม่ถิงเซียว”
และมนเวลานี้มู่นวลนวลก็ลุกขึ้นยืน:“สวัสดีคะ”
จากนั้นเธอก็ดึงออร่าของนายหญิงออกมาอีกครั้งและสั่งคนรับใช้ว่า:“ยังไม่รินน้ำชาอีก?”
“ไม่ต้อง” โม่จิ่นหยุนยกมือขึ้นเพื่อหยุดคนรับใช้ เธอกอดอกแล้วมองไปที่มู่นวลนวล:“รู้จุดประสงค์ที่ฉันมาไหม?ก่อนที่จะกลับมาฉันได้ยินว่าเธอผลักคุณปู่ตกบันได”
มู่นวลนวลโต้แย้ง:“ฉันไม่ได้ผลักคุณปู่ และเรื่องนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวน”
“โอเค” โม่จิ่นหยุนไม่อยากจะฟังมู่นวลนวลโต้เถียง จึงพูดขัดจังหวะเธอว่า:“ฉันก็แค่อยากจะมาดูว่า ผู้หญิงแบบไหนที่ทำให้ชื่อเสียงน้องชายของฉันและตระกูลโม่ของเราต้องยุ่งเหยิง ฉันกำลังจะไปโรงพยาบาล ไม่มีเวลามาพูดมาก”
จากน้ำเสียงของโม่จิ่นหยุนจะเห็นได้ว่าเธอเป็นคนที่เผด็จการมาก
สมแล้วที่เป็นพี่น้องฝาแฝดกับโม่ถิงเซียว เหมือนกันมากจริงๆ
หลังจากที่โม่จิ่นหยุนพูดจบก็เดินออกไป มู่นวลนวลเดินตามไปส่งเธอออกไป
เมื่อเดินมาถึงห้องโถง เธอก็เห็นคนที่ดูเหมือนผู้ช่วยส่งเสียงเรียก:“ประธานโม่”
ผู้ช่วยที่อยู่ข้างๆวางกระเป๋าเดินทาง
ตั้งแต่กลับมาโม่จิ่นหยุนยังไม่ได้วางกระเป๋าเดินทาง เธอก็ตรงมาหามู่นวลนวล
ในเวลานี้ก็มีเสียงเบรกรถกะทันหันดังขึ้นที่ด้านนอก
ทั้งสองมองออกไปที่ประตู และเห็นร่างของโม่ถิงเซียวปรากฏขึ้นที่นั่น
โม่จิ่นหยุนก้าวไปข้างหน้าและกอดโม่ถิงเซียว:“ไม่เจอกันนานเลย น้องชายคนดีของฉัน”
โม่ถิงเซียวยอมรับอ้อมกอดของโม่จิ่นหยุน
โม่จิ่นหยุนกอดเขาเบาๆ และจากนั้นก็ปล่อย
เธอมองโม่ถิงเซียว และพูดด้วยน้ำเสียงเหน็บแนมว่า:“เป็นไปอย่างที่คุณปู่บอกจริงๆ นายชอบผู้หญิงที่ชื่อมู่นวลนวลมาก ฉันแค่มาหาเธอเท่านั้น นายก็รีบกลับมา กลัวว่าฉันจะกินเธอรึไง?”
โม่ถิงเซียวไม่แม้แต่จะมองเธอ แต่เดินอ้อมเธอและตรงไปที่มู่นวนนวล
เขามองมู่นวลนวลสักพัก จากนั้นก็ยืนอยู่ข้างหน้ามู่นวลนวล และพูดกับโม่จิ่นหยุนว่า:“ไม่ไปเยี่ยมคุณปู่ที่โรงพยาบาลหรอ?”
โม่จิ่นหยุนกอดอก และยกคางขึ้นเล็กน้อยด้วยท่าทางที่หยิ่งผยอง:“กำลังจะไป นายไม่ขับรถไปส่งฉันหรอ?”
โม่ถิงเซียวหันกลับไปมองมู่นวลนวล แต่ก็ไม่พูดอะไร และจากไปพร้อมกับโม่จิ่นหยุน
เมื่อเดินไปถึงประตูโม่จิ่นหยุนก็หันกลับมามองเธอ
สายตาของเธอมีนัยยะ ดูเหมือนว่ากำลังมองดูตัวตลก
มู่นวลนวลกำมือแล้วกดริมฝีปากแน่นด้วยสีหน้าบึ้งตึง
โม่จิ่นหยุนดูถูกเธอ และโม่จิ่นหยุนก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องนี้
……
หลังออกจากคฤหาสน์ โม่จิ่นหยุนเดินตามโม่ถิงเซียวไปขึ้นรถของเขา
โม่จิ่นหยุนเข้าไปในแล้วก็รถรัดเข็มขัดนิรภัย และพูดกับโม่ถิงเซียวว่า:“ผู้หญิงที่นายชอบไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
โม่ถิงเซียวไม่หันกลับไปมอง และพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาราวกับน้ำแข็ง:“ไม่ดีสักเท่าไหร่ แต่ก็ดีกว่าเธอ”
“เหอะ เข้าข้างกันดีนักนะ”โม่จิ่นหยุนชินกับวิธีการพูดของโม่ถิงเซียวอยู่แล้ว
แต่เธอก็ไม่ได้สุภาพมากนัก
“ถึงตอนนั้น ถ้าตรวจสอบแล้วพบว่ามู่นวลนวลเป็นฆาตกรที่ผลักคุณปู่ตกลงมา นายจะปกป้องเธอยังไง?” เมื่อโม่จิ่นหยุนเอ่ยถึงเจ้าสัวโม่สีหน้าของเธอก็เย็นชาขึ้นมา
โม่ถิงเซียวพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า:“เธอหุบปากได้ไหม?”
ท้ายที่สุดโม่จิ่นหยุนก็โกรธเคืองเขา
“โม่ถิงเซียว หลังจากที่นายแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้น นายเคยมีชีวิตที่สงบสุขบบ้างไหม?ฉันเคยบอกแล้วว่าผู้หญิงคนนี้ไม่คู่ควรกับนาย แต่นายก็ดื้อที่จะไปตามทางของตัวเอง ตอนนี้……”
เอี้ยด——
เสียงเบรกรถอย่างกะทันหัน ขัดจังหวะการพูดของโม่จิ่นหยุน
“อ๊าย——”
โม่จิ่นหยุนกรีดร้องและโน้มตัวไปข้างหน้าเนื่องจากความเฉื่อย
เธอหันไปตะโกนใส่โม่ถิงเซียว:“โม่ถิงเซียว นายบ้ารึเปล่า?ฉันพูดผิดตรงไหน!”
โม่ถิงเซียวไม่เคลื่อนไหว มีเพียงเสียงที่อึมครึมเล็กน้อย เผยให้เห็นอารมณ์ของเขาในเวลานี้:“ตรงไหนก็ผิด”
โม่จิ่นหยุนโกรธมาก:“นาย!”
“ลงจากรถ”
“โม่ถิงเซียว!”
“ไม่ได้ยินที่ฉันพูดหรอ?” โม่ถิงเซียวหันไปมองด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น:“เธอหนีไปต่างประเทศมากว่าสิบปีโดยที่ไม่สนใจฉัน เธอมีสิทธิอะไรมายุ่งกับชีวิตของฉัน และยังจะมาบงการผู้หญิงของฉันอีก?”
โม่จิ่นหยุนเห็นสายตาที่เขามองเธอก็สะดุ้งตกใจ ความเย็นชาในดวงตาของเขาบอกเธอว่าโม่ถิงเซียวที่อยู่ตรงหน้าเธอ ไม่ใช่เด็กผู้ชายที่หัวเราะแล้วเรียกเธอว่าพี่สาวเหมือนตอนเด็กๆอีกต่อไป
โม่จิ่นหยุนกลืนน้ำลาย หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีเธอก็สงบลง และพูดด้วยน้ำเสียงปรึกษาหารือว่า:“โอเค เราต้องใจเย็นๆ ฉันไม่ได้กลับมาเพื่อที่จะทะเลาะกับนาย ตอนนี้เราไปโรงพยาบาลกันก่อนดีไหม?”
โม่ถิงเซียวไม่ได้รับน้ำใจด้วยความขอบคุณ:“ลงจากรถ”
โม่จิ่นหยุดถูกเขาตอกหน้าหงายจนพูดอะไรไม่ออก แต่เธอก็เข้าใจอารมณ์ของมู่ถิงเซียว แม้ว่าเธอจะไม่พอใจมาก แต่ก็ทำได้เพียงแค่กลืนกลืนคำพูดลงไป เธอปลดเข็มขัดนิรภัยและลงไปจากรถ
เมื่อเธอลงจากรถแล้ว รถของโม่ถิงเซียวก็พุ่งออกไปเหมือนลูกธนูที่ออกจากเชือก
โม่จิ่นหยุนโกรธจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีเขียว
ผู้ช่วยขับรถมาจอดข้างๆเธอ จากนั้นก็ลงมาเปิดประตูรถด้วยความเคารพ:“คุณโม่ เชิญขึ้นรถ”
โม่จิ่นหยุนเหลือบมองผู้ช่วยของเธอ:“ห้ามพูดเรื่องวันนี้ออกไปเด็ดขาด!”
“รับทราบ” ผู้ช่วยพยักหน้าและไม่ได้มองอะไรมาก
“ฮึ!” โม่จิ่นหยุนแสดงอารมณ์ไม่พอใจ เดิมทีเธอก็ไม่ชอบมู่นวลนวลอยู่แล้ว ตอนนี้ก้เลยเกลียดเธอมากยิ่งขึ้น
……
เมื่อมาถึงโรงพยาบาล โม่จิ่นหยุนก็พบว่าโม่ถิงเซียวไม้ได้รอเธอ
สีหน้าของเธอแย่ลง
เธอเห็นโม่ชิงเฟิงที่หน้าประตูห้องผู้ป่วยของเจ้าสัวโม่
เมื่อโม่ชิงเฟิงเห็นเธอ รอยยิ้มจางๆก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา:“จิ่นหยุน”
“พ่อ” โม่จิ่นหยุนเดินเข้าไปกอดโม่ชิงเฟิง
โม่ชิงเฟิงตบไหล่ของเธอ:“รีบเข้าไปเยี่ยมคุณปู่เถอะ”
โม่ถิงเซียวยืนอยู่ข้างๆ มองดูฉากที่สองพ่อลูกกอดกันอย่างน่าประทับใจด้วยสายตาที่เย็นชา เขาเม้มริมฝีปาก แต่ไม่ยิ้ม