บอดี้การ์ดและคนรับใช้มองไปที่มู่นวลนวลที่กำลังหาหิน พวกเขาทั้งหมดก็เดินเข้ามาอย่างประหม่า
“คุณหญิง คุณทำอะไร……”
มู่นวลนวลกวาดสายตามองพวกเขา:“อารมณ์ไม่ดี จะเอามันไปทุบข้าวของเล่นๆ”
เหล่าบอกี้การ์ดและคนรับใช้:“……”
ไม่มีใครขัดขวางมู่นวล เธอหยิบหินและไปที่ห้องหนังสือของโม่ถิงเซียว
แม้ว่าบอดี้การ์ดจะไม่ได้ขัดขวางเธอ แต่ก็สังเกตความเคลื่อนไหวของเธอ
เมื่อเห็นว่ามู่นวลนวลถือหินเข้าไปในห้องหนังสือของโม่ถิงเซียว บอดี้การ์ดก็โทรหาโม่ถิงเซียวทันที:“คุณชาย คุณหญิงถือหินเข้าไปในห้องหนังสือ”
“เธอเข้าไปทำอะไร?”
“……เธอบอกว่าอารมณ์ไม่ดี จะทุบข้าวของเล่นๆ”
“อ้อ ปล่อยเธอไป”
บอดี้การ์ด:“……”
บางทีนี่อาจจะเป็นอย่างที่เขาเรียกกันว่าจงใจ
……
ในห้องหนังสือ
มู่นวลนวลนั่งลงบนพื้น ถือหินและพยายามทุบมันลิ้นชักที่ล็อกไว้
ของที่โม่ถิงเซียวใช้ แน่นอมว่าต้องดีมาก
มู่นวลนวลใช้ความพยายามอย่างมากกว่าที่จะทุบลิ้นชักจนเปิดออกได้
เธอโยนหินทิ้งข้างๆ ตบๆมือแล้วเปิดลิ้นชักออก ข้างในมีสมุดทะเบียนบ้านอยู่
เธอรีบหยิบสมุดทะเบียนบ้านออกมา และกำลังจะลุกออกไป แต่สายตาก็เหลือบไปเห็นกล่องเล็กๆรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในลิ้นชัก
กล่องเล็กๆนี้ดูละเอียดอ่อนและประณีตมาก วัสดุมีคุณภาพสูง ดูแล้วน่าจะสั่งทำขึ้นมา
นี่ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าสิ่งของในกล่องนี้มีค่ามากสำหรับโม่ถิงเซียว
ในนี้มีของอะไรนะ?
โม่ถิงเซียวถึงเก็บซ่อนไว้เป็นอย่างดี……
มันต้องสำคัญมากสำหรับเขา
มู่นวลนวลยื่นมือออกไปเพื่อจะเปิดดูว่าข้างในมีอะไร แต่เธอยืนมือไปได้เพียงครึ่งหนึ่งก็หยุด
แต่ท้ายที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็เอาชนะเธอได้
เธอเปิดกล่องเล็กๆที่ประณีตนั่น และพบว่ามีปากกาที่ดูเก่ามากด้ามหนึ่ง
มีโลโก้ยี่ห้ออยู่ที่ปากกา มู่นวลนวลรู้จักปากกายี่ห้อนี้ ตอนสมัยที่เธอเด็กๆมันเป็นที่นิยมมาก จำได้ว่าตอนนั้นโรงเรียนให้ปากกาแบรนด์นี้เป็นรางวัล
ปากกายี่ห้อนี้มีราคาถูกมากและเลิกผลิตไปนานแล้ว
ไม่คาดคิดว่ามู่ถิงเซียวจะเก็บสะสมไว้ด้ามหนึ่ง
อันที่จริงปากกานี้ไม่มีมูลค่าในการเก็บสะสม แต่ตอนนั้นก็ผลิตขึ้นเป็นจำนวนมาก แต่โม่ถิงเซียวสั่งทำกล่องเล็กๆ เพื่อเก็บปากกา……
กล่องนี้มีค่ามากกว่าปากกาหลายเท่า
มู่นวลนวลหยิบโทรศัพท์ออกมาเสิร์ทหาในอินเทอร์เน็ต หลังจากที่ปากกายี่ห้อนี้เลิกผลิตลองคำนวณคร่าวๆแล้ว ก็พบว่าโม่ถิงเซียวเก็บปากกาด้ามนี้มาเป็นเวลาอย่างน้อยสิบปี
สิบปีที่แล้วโม่ถิงเซียวเพิ่งจะอายุสิบหกสิบเจ็ด
มีเด็กผู้หญิงมอบให้เขา?
เมื่อรู้ว่าตัวเองกำลังคิดอะไร มู่นวลนวลก็หงุดหงิดและพึมพำกับตัวเองว่า:“ใครมอบปากกาให้เขาแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน!”
ถึงอย่างไรเธอกำลังจะเลิกกับโม่ถิงเซียว
มู่นวลนวลเม้มริมฝีปากและวางปากกากลับไปที่เดิม หลังจากเคลียร์สถานที่แล้ว เธอก็ลุกขึ้นและกลับไปที่ห้อง
เธอนำสมุดทะเบียนบ้าน พาสปอร์ต และบัตรประชาชนมารวมกันแล้วเก็บไว้
……
ตอนเย็น
เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ที่โม่ถิงเซียวกลับมาทานข้าวเย็นที่บ้าน
มู่นวลนวลนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารและกำลังจะทานอาหารพอดี ร่างสูงโปร่งของโม่ถิงเซียวเดินเข้ามาจากด้านนอก
เขาพากลิ่นอายของความหนาวเย็นมาด้วย เขานั่งลงตรงข้ามกับมู่นวลนวล
ป้าหูรีบหยิบชามและตะเกียบไปมาให้โม่ถิงเซียว
ไม่ใช่บอกว่าช่วงนี้ยุ่งหรอ?แล้วยังมีเวลากลับมาทานข้าว?
ดูเหมือนว่าเรื่องเมื่อตอนกลางวันที่เธอแอบเข้าไปในห้องหนังสือของเขา แล้วทุบลิ้นชักเพื่อขโมยสมุดทะเบียนบ้าน คงจะปิดไว้ไม่มิดแล้ว
แน่นอนว่าพวกเขาสองคนทานข้าวกันอย่างสงบเรียบร้อย และโม่ถิงเซียวก็พูดเบาๆว่า:“เธอเข้าไปทุบอะไรในห้องหนังสือของฉัน?”
มู่นวลนวลคิดๆดูก็รู้ว่าบอดี้การ์ดไปฟ้องเขา
ผู้ชายพวกนั้นมีความสามารถอะไรที่ไปฟ้องได้ทั้งวัน?
มู่นวลนวลอดอาลัยตายยอยาก และยอมรับตรงๆ:“ลิ้นชัก”
ถึงอย่างไรไม่ช้าก็เร็วโม่ถิงเซียวก็ต้องรู้ ไม่จำเป็นต้องปกปิด
เมื่อโม่ถิงเซียวได้ยิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาลุกขึ้นเดินไปชั้นบนโดยไม่พูดอะไรสักคำ
มู่นวลนวลมองไปที่ด้านหลังของเขาด้วยความงุนงง
เธอไม่เคยเห็นโม่ถิงเซียวลืมตัวจนเสียกริยาอย่างนี้มาก่อน
มู่นวลนวลเงยหน้าขึ้นแล้วกระพริบตา จากนั้นก็เดินตามไป
ประตูห้องเปิดกว้าง โม่ถิงเซียวยืนถือกล่องเล็กๆที่ใส่ปากาด้ามนั้นอยู่หลังโต๊ะทำงาน
มู่นวลนวลกอดอกและยืนพิงขอบประตู เธอพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจว่า:“ปากกาที่ไม่มีราคาแต่ล้ำค่ามากอย่างนี้ ใครมอบให้ล่ะ?รักแรกหรอ?”
โม่ถิงเซียวไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเธอ เขาเช็ดปากกาด้วยความระมัดระวัง จากนั้นก็ค่อยๆวางกลับไป
เขาไม่ได้ใส่กล่องนั้นไว้ในลิ้นชักอีก แต่ล็อกไว้ในตู้เซฟ
เมื่อมู่นวลนวลเห็นอย่างนั้นก็กำมือแน่น เธอเม้มริมฝีปากแล้วกลับไปที่ห้องนอน
เมื่ออยู่ไกลใจก็ห่าง!
ผู้ชายแม่งก็เป็นงี้แหละ
เมื่อโม่ถิงเซียวเข้าไปในห้องนอนก็เห็นว่ามู่นวลนวลกำลังพลิกดูนิตยสารพลิกไปมา ไม่ถึงสามวินาที เธอไม่อ่านนิตยสารอย่างจริงจัง
เขาเดินมาตรงหน้าเธอและคว้านิตยสารในมือเธอ
“เอามาให้ฉัน” มู่นวลนวลยื่นมือไปแย่ง และเงยหน้าจ้องมองเขา
โม่ถิงเซียวยกริมฝีปากขึ้นและยิ้มอย่างเย็นชา:“เธอคิดว่าขโมยสมุดทะเบียนบ้านไปแล้ว ฉันจะปล่อยเธอไปหรอ?”
“ฉันไม่ใช่สัตว์เลี้ยงของคุณ ฉันอยากไปที่ไหนก็จะไป ทำไมฉันต้องได้รับอนุญาตจากคุณ?” มู่นวลนวลเชิดคางขึ้น ใบหน้าของเธอหยิ่งผยองและไม่ยอมแพ้
โม่ถิงเซียวยิ้มก้างขึ้น:“เธอลองดูก็ได้”
ดวงตาของเขาดูความมั่นในในตัวเอง เห็นแล้วก็ไม่เข้าตา
เธอยังไม่ได้ทำอะไรเลย ดูเหมือนเขาจะมองเห็นทุกอย่าง และคิดว่าเธอจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน
มู่นวลนวลรู้สึกหงุดหงิด
ความหงุดหงิดนี้ไม่ใช่เพียงเพราะเธอรู้ว่าเธอไม่สามารถเอาชนะโม่ถิงเซียวได้ แต่อีกเหตุผลที่สำคัญคือเธอตระหนักว่าตัวเองหัวเดียวกระเทียมลีบ
เมื่อเผชิญหน้ากับโม่ถิงเซียว เธอไม่มีที่ว่างที่จะต่อต้าน
ตั้งแต่เกิดเรื่องกับเจ้าสัวโม่ นี่เป็นครั้งแรกที่โม่ถิงเซียวกลับมานอนบ้าน
ทั้งสองข้างของขอบเตียงถูกครอบครองโดยคนทั้งสอง ไม่มีการกอดกันอย่างใกล้ชิด และไม่มีการพูดคุยหรือสื่อสารใดๆ
เช้าตรู่ของวันต่อมา
มู่นวลนวลและโม่ถิงเซียวตื่นขึ้นมาเกือบพร้อมกัน
มู่นวลนวลเดินลงไปชั้นล่างก่อนโม่ถิงเซียว
มีบอดี้การ์ดคนหนึ่งยืนอยู่ในห้องโถง
เมื่อเขาเห็นมู่นวลนวลก็เรียกอย่างเคารพ:“คุณหญิง”
“มีอะไรหรอ?” มู่นวลนวลเดาว่าเขาอาจจะมีเรื่องอะไร จึงเดินเข้าไป
บอดี้การ์ดยื่นซองเอกสารด่วนให้มู่นวลนวล
มู่นวลนวลจ้องไปที่ซองเอกสารอยู่สองวินาที และเดาอย่างไม่แน่ใจว่าข้างในคืออะไร
จากนั้นเธอก็ยื่นมือออกไปและรับมัน
เธอเปิดซองเอกสาร และพบว่ามันเป็นหมายศาล เหมือนที่เธอเดาไว้เมื่อตะกี้
การบาดเจ็บของเจ้าสัวโม่เข้าข่ายความผิดทางอาญา แต่ตอนนี้มู่นวลนวลเป็นหญิงตั้งครรภ์ จึงสามารถใช้มาตรการเพื่อให้ประกันตัวออกมาได้ในระหว่างการพิจารณาคดี
มีเสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลังเธอ
มู่นวลนวลรู้ว่าโม่ถิงเซียวลงมา
เธอหันกลับไปแล้วยกหมายศาลในมือขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า:“โม่ถิงเซียว นี่คุณก็มีส่วนด้วยใช่ไหม?”