มู่นวลนวลรู้สึกว่าโม่ถิงเซียวโฟกัสไม่ถูกจุด
แม้ว่าเธอจะเจอกับเซินชูฮัน แต่ตอนนี้เขาควรจะให้ความสนใจกับผลการตรวจดีเอ็นเอมากกว่าไม่ใช่หรอ?
มู่นวลนวลหงุดหงิดเล็กน้อย:“อืม”
“คำพูดของฉันเข้าหูบ้างไหม?” โม่ถิงเซียวเอาผลการตรวจดีเอ็นเอในมือวางไว้ข้างๆ และจ้องมองเธอด้วยสีหน้าเย็นชา
“ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้” ตอนนี้มู่นวลนวลแค่อยากรู้ว่าผลการตรวจดีเอ็นเอ จริงๆแล้วเป็นของซือเฉิงยวี่กับโม่ชิงเฟิงใช่หรือไม่
โม่ถิงเซียวแสดงให้เห็นถึงความพยายาม:“ถ้าไม่พูดเรื่องนี้ให้จบ ฉันก็จะไม่คุยเรื่องอื่นกับเธอ”
“ใช่ ฉันไปเจอกับเซินชูฮันมา แต่ก็เพราะมีธุระ” นวลนวลอธิบายให้เขาฟังอย่างอดทน:“ฉันก็แค่พูดคุยสักพัก ทานข้าวสักมื้อ ทุกอย่าง……”
สีหน้าของโม่ถิงเซียวเคร่งขรึมมากขึ้น:“ทานข้าวด้วยกัน?”
มู่นวลนวลพบว่าตัวเองไม่ควรพูดความจริงอย่างนี้ และควรจะพูดอย่างระมัดระวัง
“ก็แค่ทานข้าวด้วยกันเท่านั้น” มู่นวลนวลเม้มริมฝีปาก และสังเกตปฏิกิริยาของโม่ถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
“เหอะ” โม่ถิงเซียวหัวเราะอย่างเย็นชา:“คราวก่อนไปร่วมงานเลี้ยงด้วยกันกับเขา คราวนี้ก็ไปทานข้าวด้วยกัน ครั้งต่อไป?พวกคุณจะทำอะไรด้วยกันอีก?”
มู่นวลนวลรู้สึกว่าโม่ถิงเซียวพูดเกินไป
เธออยากรู้ความลับที่เกี่ยวกับตระกูลโม่จากเซินชูฮันมาโดยตลอด และเซินชูฮันก็บอกเธอแล้ว เธอเลี้ยงข้าวเซินชูฮันก็ไม่เห็นต้องติเตียนอะไรมากมาย
“ฉันกับเขาไม่ได้ทำอะไรกัน เรา……”
โม่ถิงเซียวพูดขัดจังหวะมู่นวลนวล:“ไม่ทันไรก็เรียก‘เรา’แล้ว?ความสัมพันธ์ของเธอกับเขาก้าวหน้าไปมากเลยนะ!”
“โม่ถิงเซียว ถ้าคุณพูดอย่างนี้อีก ฉันโกรธแล้วนะ!” มู่นวลนวลทนไม่ไหวแล้ว โม่ถิงเซียวอะไรนิดอะไรหน่อยก็หึง
โม่ถิงเซียวพูดอย่างเย็นชา:“ฉันก็โกรธอยู่”
มู่นวลนวล:“……”
ในตอนนี้เธอรู้สึกว่าโม่ถิงเซียวเหมือนเด็กที่ไร้เดียงสาคนหนึ่ง
“เอาล่ะ เรามาคุยเรื่องผลตรวจดีเอ็นเอกันดีกว่า” มู่นวลนวลยื่นมือไปจับมือของเขา
ทันทีที่เธอจับมือของโม่ถิงเซียว โม่ถิงเซียวก็พลิกฝ่ามือมาจับกำมือเธอไว้แน่น
เธอรู้สึกได้ถึงความนุ่มของฝ่ามือ และสีหน้าของโม่ถิงเซียวก็ดีขึ้น
เขาลดสายตาลงมองไปที่มู่นวลนวล และพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ:“เธอเคยคิดบ้างไหมว่าทำไมเซินชูฮันถึงรู้เรื่องความสัมพันธ์ของซือเฉิงยวี่กับฉัน?”
ความสัมพันธ์ของโม่ถิงเซียวกับซือเฉิงยวี่ไม่เคยถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน
ดังนั้นเซินชูฮันไม่น่าจะรู้ความสัมพันธ์ของโม่ถิงเซียวกับซือเฉิงยวี่
แต่อย่างไรก็ตามเซินชูฮันรู่ว่าซือเฉิงยวี่เป็นคนของตระกูลโม่
มู่นวลนวลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า:“บางทีเขาอาจจะรู้โดยบังเอิญ?”
โม่ถิงเซียวขมวดคิ้ว:“เขาบังเอิญรู้เรื่องทั้งหมดอยู่คนเดียว ทำไมเขาไม่ไปซื้อล็อตเตอรี่ไม่แน่ว่าอาจจะได้ห้าร้อยล้าน”
แค่โม่ถิงเซียวอ้าปากก็สามารถวางยาพิษฆ่าคนได้
มู่นวลนวลถามอย่างสงสัย:“งั้นเพราะอะไร?”
โม่ถิงเซียวสีหน้าเย็นชา:“มีคนจงใจส่งให้เซินชูฮัน และให้เขาเอาผลตรวจดีเอ็นเอมาให้ถึงมือของพวกเรา”
มู่นวลนวลรู้สึกว่าสิ่งที่โม่ถิงเซียวพูดนั้นมีเหตุผล
“งั้นคนคนนั้นคือใคร?” มู่นวลนวลคิดว่าได้ผลตรวจดีเอ็นเอมาแล้วจะเป็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ แต่ไม่คิดว่ามันจะยิ่งซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ
โม่ถิงเซียวขมวดคิ้วและไม่พูดอะไร
มู่นวลนวลจ้องมองผลการตรวจดีเอ็นเออยู่ครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า:“งั้นผลการตรวจดีเอ็นเอนี้ ได้ผลจริงหรือไม่?แล้วหนึ่งในนั้นคือซือเฉิงยวี่จริงไหม?”
สายตาของโม่ถิงเซียวยังคงมองที่ผลการตรวจดีเอ็นเอ และไม่ได้พูดออกไปในทันที
เมื่อตอนปีใหม่ที่บ้านเก่า โม่เจียเฉินได้ยินที่เขาคุยกับซือเฉิงยวี่ จึงบอกเขาว่าในช่วงนั้นซือเฉิงยวี่เข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ
ต่อมาโม่ถิงเซียวก็ส่งคนไปตรวจสอบ และพบว่าซือเฉิงยวี่ได้ทำการตรวจดีเอ็นเอแล้ว แต่เขาไม่ได้เก็บบันทึกไว้
ซือเฉิงยวี่ระมัดระวังอย่างมาก และจัดการได้อย่างหมดจดโดยไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ
แม้ว่าโม่ถิงเซียวจะไม่ได้ผลการตรวจดีเอ็นเอมา แต่ในใจของเขาก็สามารถเอาได้
เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นก็เกิดเรื่องขึ้นกับมู่นวลนวล เขาจึงไม่มีโอกาสได้ตรวจสอบการคาดเดานี้
หลังจากนั้นไม่นานโม่ถิงเซียวก็พูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า:“ใช่ซือเฉิงยวี่กับเขาหรือไม่ ตรวจดีเอ็นเอดูก็รู้แล้ว”
จากคำพูดของโม่ถิงเซียว ทำให้มู่นวลนวลเข้าใจว่าโม่ถิงเซียวสงสัยในเรื่องนี้มานานแล้ว
มู่นวลนวลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า:“ฉันจะไปเอาผมของซือเฉิงยวี่มา ช่วงนี้ฉันตามทีมงานกองถ่ายไปที่สตูดิโอบ่อยๆ และมีโอกาสได้เจอกับซือเฉิงยวี่มากขึ้น”
โม่ถิงเซียวยังไม่ทันได้พูดอะไร มู่นวลนวลก็รู้ว่าแล้วเขาจะปฏิเสธข้อเสนอของเธอ
มู่นวลนวลจึงชิงพูดก่อนเขาว่า:“เอาตามนี้แหละ ไม่ต้องมีข้อโต้แย้งใดๆ เอาล่ะ นอนได้”
หลังจากที่เธอพูดจบ เธอก็นอนลงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะและคลุมตัวใว้แน่น
โม่ถิงเซียวมองไปที่ผ้าห่ม และยื่นไปดึง:“ไม่ต้องคลุม”
มู่นวลนวลดึงผ้าห่มออก และเผยให้เห็นหน้าผากครึ่งหนึ่ง
โม่ถิงเซียวเผลอยิ้มออกมา แล้วยื่นมือออกมาดึงผ้าห่ม เขาเบียดเขาไปที่ด้านหลังของเธอและกอดเธอไว้ในอ้อมแขน
มู่นวลนวลต้องย้ายไปนอนอีกฝั่งของเตียง
เธอเขยิบไปข้างหน้า โม่ถิงเซียวก็ตามาเกาะติดเธออย่างไม่ยอมลดละ
“อย่าเข้ามาใกล้ ร้อน”
แม้ว่าจะเปิดแอร์อยู่ แต่ก็เป็นฤดูร้อน และอุณหภูมิร่างกายของโม่ถิงเซียวก็สูงมากจนเหมือนเธอติดอยู่กับเตาไฟ
โม่ถิงเซียวพูดแค่ประโยคเดียว มู่นวลนวลก็เชื่องเหมือนกับแมวและไม่ขยับอีก
เขาพูดว่า:“พรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้าฉันต้องไปบริษัท”
ตอนนี้เป็นเวลาตีสอง เจ็ดโมงเช้าโม่ถิงเซียวจะไปบริษัท และยังต้องตื่นก่อนเวลา นั้นหมายความว่าคืนนี้เขาจะได้นอนไม่ถึงห้าชั่วโมง
สำหรับทั้งสองคนตอนนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะกอดกันและนอนหลับอย่างสงบ
หลังจากที่โม่มู่ถูกโขมยไป มู่นวลนวลก็นอนไม่ค่อยหลับ
เธอมักจะตื่นขึ้นมาหลังจากนอนหลับไปสักพัก และเวลานอนกลายเป็นเรื่องเล็ ๆน้อยๆ
เมื่อใกล้จะรุ่งสาง โม่ถิงเซียวที่อยู่ข้างๆก็เคลื่อนไหวจนทำให้มู่นวลนวลตื่น
“เธอนอนต่ออีกหน่อยเถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน” โม่ถิงเซียวสังเกตว่ามู่นวลนวลตื่นแล้ว เขาจึงหอมแก้มเธอ
เขาลุกขึ้น และมู่นวลนวลก็ลุกขึ้นตาม
เมื่อโม่ถิงเซียวหยิบเนคไทออกจากตู้เสื้อผ้า มู่นวลนวลก็คลานไปที่ปลายเตียง และรับเนคไทจากมือของเขา
ในขณะที่ช่วยเขาผูกเนคไท เธอก็กำชับว่า:“อย่าทำงานเหนื่อยจนเกินไป รักษาสุขภาพด้วย”
แม้ว่าเมื่อคืนเขาจะนอนหลับไม่ถึงห้าชั่วโมง แต่ใบหน้าของโม่ถิงเซียวก็ไม่มีท่าทีเหนื่อยล้าเลย กลับดูเหมือนว่าเขามีชิตชีวามาก
เธอนึกถึงบาดแผลกระสุนปืนของโม่ถิงเซียวอีกครั้ง
แม้ว่าหลายครั้งที่เธอจะรู้สึกว่าร่างกายของโม่ถิงเซียวดูเหมือนจะถูกตีด้วยเหล็ก แต่ในใจเธอก็รู้ดีว่าโม่ถิงเซียวเป็นแค่คนธรรมดาที่กว้างขว้าง
และเขาต้องแบกรับมากกว่าคนทั่วไป