ซูชิงหนิง?
มู่นวลนวลอึ้งไปสองสามวินาทีก่อนจะจำได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร
เธอเป็นเพื่อนบ้านตอนเด็กๆของซือเฉิงยวี่ และเป็นคู่หมั้นของซือเฉิงยวี่
แต่โม่เจียเฉินเคยบอกเธอว่าเมื่อหลายปีก่อนซูชิงหนิงไปถ่ายภาพยนตร์หิมะ แล้วเจอกับหิมะถล่ม ไม่เจอคนและไม่เห็นศพ
โม่ถิงเซียวหาเธอเจอได้ยังไง?
มู่นวลนวลหันไปมองโม่ถิงเซียว
โม่ถิงเซียวไม่พูดอะไรและพาเธอไปนั่งที่โต๊ะอาหาร
“ซู……” มู่นวลนวลไม่เข้าใจความหมายของโม่ถิงเซียว
ตามที่โม่เจียเฉินเคยบอกโม่ถิงเซียวกับซูชิงหนิงมีความสัมพันธ์ที่ดี แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เธอควรจะพูดทักทายกับซูชิงหนิงไม่ใช่หรอ?
ซูชิงหนิงก็นั่งลงตาม:“คุณโม่”
โม่ถิงเซียวถามเธอ:“ข้อมูลที่ฉันเอามาให้ อ่านหมดแล้วหรอ?”
“อ่านหมดแล้ว” ซูชิงหนิงพยักหน้าเล็กน้อย เสียงของเธอนุ่มนวลราวกับขนนก
มู่นวลนวลเฝ้ามองอยู่นานและอดไม่ได้ที่จะถามว่า:“คุณคือซูชิงหนิงจริงๆหรอ?”
ซูชิงหนิงลูบหน้าของตัวเอง:“คุณหญิงคิดว่าฉันเหมือนไหม?”
มู่นวลนวลส่ายหัว:“ฉันไม่เคนยเจอซูชิงหนิง”
ซูชิงหนิงยิ้มเล็กน้อย เธอดูสง่างามและอ่อนโยน:“ฉันผ่านมีดหมอมาแล้วทั้งตัว”
มู่นวลมองซูชิงหนิงด้วยความตกตะลึง จากนั้นก็หันไปมองโม่ถิงเซียว
โม่ถิงเซียวยกมือขึ้นและพูดกับซูชิงหนิง:“เธอออกไปได้แล้ว”
“ค่ะคุณชาย” ซูชิงหนิงลุกขึ้นยืนและเดินออกไปอย่างช้าๆ
ทันทีที่เธอออกไป มู่นวลนวลก็ถามว่า:“เกิดอะไรขึ้นกันแน่?นี่ไม่ใช่ซูชูหนิงตัวจริงแต่เป็นตัวปลอม?”
ในขณะที่โม่ถิงเซียวตักอาหารให้เธอ เขาก็อธิบายว่า:“อึ้ม ฉันหาคนที่มีรูปร่างคล้ายกับชิงหนิง และหาหมอศัลยแพทย์ที่เก่งที่สุดในต่างประเทศเธอ จากนั้นก็ทำให้เธอกลายเป็นเหมือนซูชิงหนิง”
มู่นวลนวลนึกถึงท่าทางของ “ซูชิงหนิง” คนเมื่อตะกี้ เธอดูเป็นธรรมชาติมากและเจ้าอารมณ์มาก และดูไม่เหมือนผู้หญิงที่ผ่านการทำศัลยกรรมมาเลยสักนิด
เธอไม่เคยเห็นซูชิงหนิงตัวจริง ดังนั้นเธอจึงตัดสินว่าซูชิงหนิงคนนั้นเหมือนกับคนเดิมมาก
นอกจากนี้การทำศัลยกรรมยังต้องใช้เวลาพักฟื้นนาน และตอนนี้ก็ไม่มีแผลเป็นบนใบหน้าของซูชิงหนิงคนนั้นเลยสักนิด เห็นได้ชัดว่าเธอได้รับการทำศัลยกรรมมานานแล้ว และเธอก็ฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์แบบ
พูดอีกอย่างหนึ่งได้ว่าโม่ถิงเซียวได้เตรียมป้องกันซือเฉิงยวี่มานานแล้ว
มู่นวลนวลเงยหน้าขึ้นมองเขา:“คุณต้องการใช้เธอเพื่อจัดการกับซือเฉิงยวี่?”
“ตราบใดที่มนุษย์มีร่างกายและเนื้อหนัง ทุกคนก็มีจุดอ่อนของตัวเอง” โม่ถิงเซียวยัดตะเกียบใส่มือของเธอ:“กินข้าว”
มู่นวลนวลถือตะเกียบแล้วเริ่มก้มลงกินข้าว
เธอกินน้อยและกินช้ามาก โม่ถิงเซียวก็เร่งรัดเธออยู่ข้างๆ
มู่นวลนวลไม่รู้สึกอยากอาหารจริงๆ เธอเม้มริมฝีปากและมองไปที่โม่ถิงเซียวด้วยสีหน้าลำบากใจ:“คุณมีอะไรก็ไปทำเถอะ ไม่ต้องสนใจฉัน ฉันไม่รู้จะกินข้าวยังไง ฉัน……”
เธอยังพูดไม่ทันจบ โม่ถิงเซียวก็หยิบตะเกียบขึ้นมา:“ฉันป้อนเธอ”
สุดท้ายมู่นวลนวลก็ถูกเขาบังคับให้กินอีกหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าเธอกินต่อไม่ไหม โม่ถิงเซียวก็ปล่อยเธอไป
เมื่อกลับมาในห้องเขาช่วยมู่นวลนวลอาบน้ำ จากนั้นก็ไปที่ห้องใต้ดินอีกครั้ง
มีคนเฝ้าอยู่ที่หน้าประตูห้องใต้ดิน เมื่อบอดี้การ์ดเห็นโม่ถิงเซียวเดินเข้ามาก็มีท่าทางลังเลและพูดว่า:“คุณชาย”
โม่ถิงเซียวเหลือบมองเขาและไม่ได้ถามอะไรมากนัก จากนั้นก็เดินตรงเข้าไป
“ดอกไม้นี้บานกำลังงาม ปลาหนึ่งตัว สองตัว……อ่า——น่ากลัวจริงๆ……หมิงฮวนล่ะ?ยังมีเสี่ยวเฉินด้วย……”
ทันทีที่เดินมาถึงหน้าประตูโม่ถิงเซียวก็ได้ยินเสียงผู้หญิงเอะอะโวยวาย
เมื่อโม่ถิงเซียวเดินเข้ามาเขาเห็นผ้ากอซสีขาวที่พันรอบศีรษะของโม่เหลียนเปื้อนไปด้วเลือด ผมที่ปกติได้รับการดูแลเป็นอย่างดียุ่งเหยิงเหมือนฟาง
โม่ถิงเซียวเดินเข้ามาไปเธอและจ้องมองเธออยู่สักพัก เธอถือแจกันและพึมพำกับตัวเอง
โม่ถิงเซียวถามซือเย่:“เธอเป็นอะไร?”
ซือเย่บอกว่า:“พอตื่นขึ้นมาก็เป็นแบบนี้ จำใครไม่ได้เลย”
หลังจากที่พูดจบ เขาก็สังเกตปฏิกิริยาของโม่ถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
ในที่สุดโม่ถิงเซียวก็ยิ้มเยาะเย้ยและพูดว่า:“ส่งไปตรวจที่โรงพยาบาลให้แน่ใจอีกครั้ง”
ก่อนหน้านี้โม่ชิงเฟิงถูกโม่ถิงเซียวทำร้ายจนเลือดออกภายในและได้รับการผ่าตัด ในตอนนี้อาการของเขากึ่งหลับกึ่งตื่น แต่หลังจากเห็นโม่ถิงเซียวเขาก็ได้สติ
“แกแก…………” โม่ชิงเฟิงชี้ไปที่โม่ถิงเซียวและพูดไม่จบประโยค
โท่ถิงเซียวมองกราดลงมาที่เขาอย่างไม่ละด้วยสีหน้าเศร้าหมอง:“ในตอนนั้นคนที่ลักพาตัวขอขึ้นราคาเท่าไร?”
โม่ชิงเฟิงรู้ดีว่าสิ่งที่โม่ถิงเซียวพูดถึงคือคนที่ลักพาตัวแม่ของโม่ถิงเซียวไปในเวลานั้น ขอเพิ่มราคาเท่าไร
โม่ชิงเฟิงเคยเห็นความโหดร้ายของโม่ถิงเซียวแล้ว เขาตกใจจนตัวสั่น:“หนึ่ง……หนึ่งร้อยล้าน……”
“หนึ่งร้อยล้าน” โม่ถิงเซียวพูดซ้ำ แววตาของเขาดูกระหายเลือด:“เพียงเพราะหนึ่งร้อยล้าน คุณเลยไม่ได้ช่วยเธอ!เพราะเดิมทีคุณต้องการให้เธอตาย!คุณมันไม่น่าให้อภัย!”
ปัง!
โม่ถิงเซียวทุบโคมไฟเล็กๆ ข้างเตียงด้วยหมัด
เศษโคมไฟที่แตกแทงมือของโม่ถิงเซียว แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ เขายิ้มแปลกๆ และพูดพึมพำเบาๆ:“คุณทำผิดมากับหลายคนตลอดหลายปีที่ผ่านมา แต่ผ่านไปสิบกว่าปีแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขาจะเรียกร้อยล้านหรือว่าพันล้าน”
……
เช้าวันต่อมา หนังสือพิมพ์ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยเรืองของตระกูลโม่
หัวข้อประเด็นร้อนที่ถูกเปิดเผยโดยสื่อหนึ่งระบุว่า “โม่ชิงเฟิงประธานของโม่กรุ๊ปถูกคนลักพาตัวไปไม่รูาว่าเป็นหรือตาย” และหัวข้อประเด็นร้อนก็พาดหัวข่าวอีกว่า “โม่ถิงเซียวประธานคนปัจจุบันของโม่กรุ๊ปพาแฟนสาวกลับไปที่บ้านเก่า ซึ่งน่าจะมีข่าวดีในเร็วๆนี้ ”
เมื่อแยกหัวข้อประเด็นร้อนนี้ออกจากกัน มีข่าวหนึ่งที่เปิดเผยมากกว่าอีกข่าวหนึ่ง ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อทั้งสองข่าวนี้มารวมกันก็ยิ่งได้รับความสนใจจากผู้คนมากมาย
ไม่ว่าเขาจะไปที่ไหน ผู้คนก็จะพูดคุยและแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องของตระกูลโม่
“เกิดอะไรขึ้นกับตระกูลโม่?เป็นเพราะเงินที่มีมากเกินไปหรือเปล่าดังนั้นคนในตระกูลโม่จึงไม่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน?”
“คุณลองคิดดู ภรรยาของโม่ถิงเซียวคิดที่จะลักพาตัวและฆ่าตัวประกันล่ะ?เจ้าสัวโม่ก็ตกบันไดจนปัญญาอ่อน แล้สตอนนี้โม่ชิงเฟิงก็ถูกลักพาตัว……”
“แต่ในอนาคตผู้หญิงคนนี้น่าจะได้เป็นสะใภ้ของตระกูลโม่ใช่ไหม?เพราะเธอถูกโม่ถิงเซียวพากลับไปที่บ้านเก่า……”
“ก็เป็นไปได้นะ ดูเหมือนว่าจะนิสัยดี”
“……”
สองคนทที่เดินถือโทรศัพท์อยู่บนถนน คุยกันเรื่องหัวข้อประเด็นร้นที่เพิ่งเผยแพร่ไปเมื่อเช้านี้
ทันใดนั้นก็มีผู้ชายใส่หมวกแก๊ปและสวมหน้ากากเดินออกมาจากไหนไม่รู้ แล้วเขาก็คว้าโทรศัพท์ไปจากมือ
บนหน้าจอโทรศัพท์มีภาพของโม่ถิงเซียวกับผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้าไปในบ้านเก่าของตระกูลโม่
ภาพถ่ายแสดงให้เห็นใบหน้าของผู้หญิงคนนั้น ผู้หญิงคนนั้นจับแขนของโม่ถิงเซียวและยิ้มหน้าบานราวกับดอกไม้
ซือเฉิงยวี่มองไปที่ใบหน้าที่คุ้นเคยในภาพ และเรียกชื่อของเธออย่างสั่นสะท้าน:“ชิงหนิง!”