โม่จิ่นหยุนสีหน้าเปลี่ยนและเธอก็ตะโกนด้วยความตกใจ:“พ่อ?เป็นพ่อจริงๆหรอ?”
หลังจากที่พูดจบเธอก็เงยหน้าขึ้นมองโม่ถิงเซียว:“ถิงเซียว พ่อโทรมา”
“อ้อ” โม่ถิงเซียวเดินไปนั่งที่โซฟาตรงข้ามเธอ
โม่จิ่นหยุนคิดว่าโม่ถิงเซียวอยากได้ยินเสียงโม่ชิงเฟิงพูด ดังนั้นเธอจึงเปิดสปีกเกอร์โฟน
เสียงของโม่ชิงเฟิงดังมาจากโทรศัพท์ออย่างลุกลี้ลุกลน:“จิ่นหยุน พ่อถูกลักพาตัว พวกเขาต้องการเงินสามร้อยล้าน ถ้าได้สามร้อยล้านพวกเขาก็จะปล่อยพ่อ……ลูกช่วยหาเงินให้พ่อหน่อย……”
โม่ชิงเฟิงยังพูดไม่ทัจบก็ถูกคนแย่งโทรศัพท์ไป เสียงของคนที่พูดดูแหบแปลกๆ เห็นได้ชัดว่าคนลักพาตัวใช้เครื่องดัดเสียง:“ภายใน 24 ชั่วโมง ถ้าไม่เห็นเงินสามร้อยล้านก็รอรับศพของเขาได้เลย!จำไว้ว่าอย่าแจ้งตำรวจ”
โม่จิ่นหยุนรีบพูดว่า:“โอเคๆ สามร้อยล้าน ฉันรู้แล้ว ฉันต้องหาเงินสามร้อยลานได้แน่นอน แกอย่า……ตู๊ด!”
เธอยังพูดไม่ทันจบโทรศัพท์ก็ตัดสาย
“พ่อถูกลักพาตัวไปจริงๆ?ถ้าไม่ใช่เพราะฉันกลับมาและบังเอิญได้รับโทรศัพท์จากคนที่ลักพาตัว นายไม่คิดจะบอกฉันเลยหรอ?และนายก็ไม่คิดที่จะไปช่วยพ่อเลยใช่ไหม?”
น้ำเสียงของโม่จิ่นหยุนดุหวั่นไหว:“โม่ถิงเซียว ทำไมนายถึงเลือดเย็นอย่างนี้ ไม่ว่าบุญคุณความแค้นของนายกับเขาจะมากแค่ไหน แต่เขาก็เป็นพ่อผู้ให้กำเนิดพวกเรา!”
สำหรับการตำหนิของโม่จิ่นหยุน ไม่ได้ทำให้สีหน้าทาทางของโม่ถิงเซียวเปลี่ยนไป
เขามองไปที่โม่จิ่นหยุน และพูดกับซือเย่ว่า:“ได้ยินรึยัง?เธอต้องการเงินสามร้อยล้านไปช่วยพ่อของเธอ ยังไม่รีบไปจัดการอีก”
“ครับ” ซือเย่ตอบรับและเดินออกไป
“ถิงเซียว นาย……เมื่อกี้ฉันก็แค่เป็นห่วงพ่อมากเกินไป” โม่จิ่นหยุนไม่คิดว่าโม่ถิงเซียวจะยอมมอบเงินสามร้อยล้านให้เธอง่ายๆ
โม่ถิงเซียวเม้มริมฝีปากและไม่ได้พูดอะไร
ในขณะนี้โม่เจียเฉินที่สะพายกระเป๋านักเรียนก็เดินเข้ามาจากด้านนอก
โม่เจียเฉินเรียนอยุ่ที่โรงเรียนประจำ โรงเรียนนี้เป็นโรงเรียนที่มีการควบคุมอย่างเข้มงวดมาก และต้องฝากโทรศัพท์ไว้กับโรงเรียน ดังนั้นเขาจึงไม่เห็นข่าวจนกระทั่งถึงวันหยุดของวันนี้
“พี่ชาย พี่สาว!”
เมื่อโม่เจียเฉินเดินเข้าประตูมา เขาก็เห็นโม่จิ่นหยุนกับโม่ถิงเซียว:“ผมเห็นข่าวว่าคุณลุงถูกลักพาตัว?แล้วพี่ก็หาพี่ชิงหนิงเจอแล้ว!”
โม่จิ่นหยุนได้ยินโม่เจียเฉินพูดถึง “ชิงหนิง” เธอก็หันไปถามโม่ถิงเซียว:“ชิงหนิงเป็นใคร?”
โม่ถิงเซียวยืนขึ้นและมองไปที่โม่เจียเฉินด้วยสีหน้าเคร่งขรึม:“นายตามฉันมา ฉันมีเรื่องจะพูดกับนาย”
“พี่ชาย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ก่อนหน้านี้ที่มู่นวลนวลตกเป็นข่าวบ่อยๆ จนโม่เจียเฉินรู้สึกว่าข่าวส่วนใหญ่เป็นข่าวปลอม
โม่ถิงเซียวส่งผลการประเมินอาการของโม่เหลียนให้โม่เจียเฉิน:“ดูอันนี้ก่อน”
โม่เจียเฉินรับมา และเมื่อเปิดดูก็เห็นชื่อของ “โม่เหลียน” เขาก็ผงะไปชั่วขณะ และจากนั้นก็มองลงไป
เมื่อเห็นบรรทัดสุดท้ายเขาก็เงียบไม่พูดไม่จา
โม่ถิงเซียวไม่ได้พูดปลอบใจเขา เพียงแค่บอกเขาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า:“คุณอาเสียจเรื่องอาเขยมากเกินไป ช่วงนี้สภาพจิตใจของเธอไม่ค่อยดี มีคนรับใช้เห็นว่าเขาต้องการชนกำแพงเพื่อฆ่าตัวตาย เรารู้สึกว่านี้เป็นอาการร้ายแรงจึงให้คนพาเธอไปที่โรงพยาบาล”
โม่เจียเฉินเงยหน้าขึ้นด้วยดวงตาที่แดงก่ำ:“ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน?”
โม่ถิงเซียวสังเกตเห็นว่าโม่เจียเฉินกำหมัดแน่น
คิ้วของเขายังคงนิ่งสงบและไร้อารมณ์:“เธออารมณ์ไม่มั่นคง ฉันให้คนไปส่งเธอที่โรงพยาบาลมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอยู่ที่นั่น ฉันเชื่อว่าจะช่วยรักษาอาการของเธอได้ ถ้านายมีเวลาก็สามารถไปเยี่ยมเธอได้”
เป็นเรื่องยากที่โม่ถิงเซียวจะมีความอดทนในการพูดกับคนอื่น นอกจากมู่นวลนวล
สำหรับเขาแล้ว โม่เจียเฉินนั้นแตกต่างจากคนอื่นๆในตระกูลโม่
ดูเหมือนว่าจะเป็นอย่างที่เจ้าสัวโม่บอก โม่เจียเฉินเป็นเด็กที่ซื่อตรงจริงใจ โม่ถิงเซียวเฝ้าดูเขาเติบโตมา จึงทนไม่ได้ที่จะบอกความจริงกับเขา
เรื่องพวกนั้นของโม่เหลียนกับโม่ชิงเฟิง
การตายของซือหมิงฮวน
ความจริงที่โหดร้ายเหล่านี้ก็ให้มันกลายเป็นความลับ
โม่เจียเฉินเช็ดน้ำตา:“พี่ชาย ขอบคุณนะ เรื่องของคุณลุง……”
โม่ถิงเซียวพูดขัดจังหวะเขา:“นั่นเป้นเรื่องของผู่ใหญ่”
โม่ถิงเซียวให้คนพาโม่เจียเฉินไปเยี่ยมโม่เหลียน และให้ส่งเขากลับไปที่โรงเรียน
ช่วงนี้ตระกูลโม่มีเรื่องมากมาย ให้โม่เจียเฉินอยู่ที่โรงเรียนจะดีกว่า
หลังจากจัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว โม่ถิงเซียวก็ไปนั่งที่ห้องหนังสือสักพัก จากนั้นก็ออกไป
เมื่อมองลงมาจากชั้นสองก็เห็นโม่จิ่นหยุนยังคงคุยโทรศัพท์อยู่ที่ห้องโถงชั้นหนึ่ง
โม่ถิงเซียวหันหลังกลับไปที่ห้อง และเป็นตามที่คาดไว้เขาเห็นมู่นวลนวลนั่งพิงหัวเตียงด้วยความงุนงง
เมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูมู่นวลนวลก็เงยหน้าขึ้นมองเขา:“กลับมาแล้ว”
เพียงแค่หนึ่งสัปดาห์มู่นวลนวลก็น้ำหนักลดลงไปมากจนคางของเธอเรียวขึ้น และผิวพรรณของเธอก็ซีดเซียวลง
โม่ถิงเซียวยื่นนิ้วมือออกมาบีบคางอันแหลมคมของเธอโดยไม่กล้าที่จะออกแรงใดๆ และพูดว่า:“ถ้าเธอยังผอมลงอีก ฉันะไม่พาเธอไป”
“โม่ถิงเซียว……” สีหน้าของมู่นวลนวลเปลี่ยนไปเล็กน้อย เธอดึงมือเขา
โม่ถิงเซียวพูดเรื่องอื่น:“เสี่ยวเฉินกลับมาแล้ว”
สีหน้าของมู่นวลนวลหยุดชะงัก:“คุณ……”
โม่ถิงเซียวดูเหมือนรู้ว่ามู่นวลนวลจะถามอะไร:“ฉันไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น”
มู่นวลนวลพยักหน้า
เธอคิดวาโม่ถิงเซียวกับซือเฉิงยวี่ถูกกำหนดให้เป็นคนที่ไม่เหมือนกัน
หลังจากที่ซือเฉิงยวี่รู้เรื่องราวชีวิตของตัวเอง เขาก็คิดแต่จะลากคนอื่นไปลงนรกและทุกข์ทรมานไปด้วยกันกับเขา แต่โม่ถิงเซียวทนไม่ได้ที่จะให้โม่เจียเฉินรู้ความจริง
เขาไม่ได้เกิดมาเป็นคนประเภทเดียวกัน ดังนั้นไม่ว่าซือเฉิงยวี่จะใช้วิธีอะไร เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนโม่ถิงเซียวให้เป็นคนอย่างเขาได้
……
ซือเย่ช่วยให้โม่จิ่นหยุนหาเงินจนครบสามร้อยล้าน
ระหว่างาคนที่ลักพาตัวโทรมาอีกครั้งแล้วบอกว่าต้องการเงินสดและทองคำแท่ง……
โม่ถิงเซียวไม่พูดอะไรและสั่งให้ซือเย่ไปทำอีกครั้ง
หลังจากนั้นคนที่ลักพาตัวก็โทรมาอีกครั้ง โม่จิ่นหยุนถูกพวกเขาบังคับจนทนไม่ไหว:“คราวนี้สำนักงานใหญ่ใช่ไหม?เราเตรียมทุกอย่างไว้ให้พร้อมแล้ว”
แต่ดูเหมือนคนที่ลักพาตัวจะเล่นตลก:“เอาอย่างนี้ เพิ่มเงินสดอีกห้าสิบล้าน แล้วฉันจะปล่อยไอแก่นั่นไป!”
โม่จิ่นหยุนไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะขึ้นราคา จึงพยายามที่จะรับมือกับพวกเขา:“เราตกลงกันแล้วนะ……”
แต่คนที่ลักพาตัวไม่ได้ให้ทางเลือกกับเธอ:“ถิงเซียว ตอนนี้จะทำยังไงดี?”
โม่ถิงเซียวพูดอย่างเฉยเมย:“ความหิวกระหายของพวกเขายิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้จักพอ แจ้งตำรวจเถอะ”
โม่จิ่นหยุนรู้สึกว่าที่โม่ถิงเซียวพูดนั้นมีเหตุผล คนที่ลักพาตัวคงไม่คิดว่าพวกเขาจะไม่กล้าแจ้งตำรวจก็เลยเรียกราคาสูงมาก
แต่หลังจากที่พวกเขาแจ้งตำรวจ ก่อนที่จะมืดพวกเขาได้รับแขนข้างหนึ่งของโม่ชิงเฟิง
โม่จิ่นหยุนตกใจจนเป็นลมไป
เสียงที่หวาดกลัวของโม่ชิงเฟิงดังขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์:“ถิงเซียว พวกเขาต้อการอีกแค่ห้าสิบล้าน แกช่วยฉันด้วย ฉันไม่อยากตาย!”