หลังจากที่ฟังกูจื่อหยานพูดแล้ว โม่ถิงเซียวก็พูดอย่าเมินเฉยว่า:“พูดจบรึยัง?”
เมื่อเห็นว่าโม่ถิงเซียวกำลังจะจากไป กูจื่อหยานก็เดินตามเขาไป:“ถิงเซียว นายฟังฉันพูดให้จบก่อน ทุกครั้งนายก็แค่ฟังฉันพูดสองสามคำแล้วก็จากไป”
“เวลาของฉันมีค่าไม่อยากเสียเวลากับเรื่องที่มันไร้สาระ” โม่ถิงเซียวพูดขณะที่เดินไปที่รถ
ในขณะนี้เขาก็หันไปมองกูจื่อหยาน:“นายจะตามไปถึงบ้านตระกูลโม่เลยหรอ?”
กูจื่อหยานถอนหายใจยาว และในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะพูดอย่างหงุดหงิด:“แม่มึงสิ ถูกวิญญาณเข้าสิงรึไง!”
โม่ถิงเซียวไม่สนใจเขาและหันไปสั่งบอดี้การ์ดที่อยู่ข้างหลังว่า:“ต่อไปให้คุณชายคนนี้ขึ้นในบัญชีดำของโม่กรุ๊ป”
หลังจากที่พูดจบเขาก็เข้าไปนั่งในรถ
เมื่อรถสีดำขับออกไปแล้ว กูจื่อหยานก็กระทืบเท้าด้วยความโมโห:“โม่ถิงเซียว!”
บางครั้งเขารู้สึกว่าโม่ถิงเซียวไม่ได้สูญเสียความทรงจำ แต่โดนของ
แม้ว่าเมื่อก่อนโม่ถิงเซียวจะมีอารมณ์ร้าย แต่อย่างน้อยเขาก็ระมัดระวังตัวมาก และโม่ถิงเซียวในตอนนี้ก็ไม่ฟังอะไรเลย
ปัง!
ข้างหลังเขามีเสียงประตูรถเปิดออกแล้วก็ปิดอีกครั้ง
และมาพร้อมกับเสียงรองเท้าส้นสูง
เมื่อกูจื่อหยานหันกลับไปมองก็เห็นโม่จิ่นหยุนที่หน้าตาคล้ายกับโม่ถิงเซียว แต่เห็นใบหน้าของเธอแล้วรู้สึกรังเกียจเป็นพิเศษ
โม่จิ่นหยุนกอดอกด้วยท่าทางที่ดูสูงส่ง และพูดด้วยน้ำเสียงเหยียดหยาม:“นายอีกแล้ว”
กูจื่อหยานสีหน้าเย็นชา:“โม่จิ่นหยุน เธอทำอะไรกับโม่ถิงเซียว?”
“น่าขำนะ!โม่ถิงเซียวเป็นน้องชายแท้ๆของฉัน ฉันจะทำอะไรกับเขาได้?เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสมากและสมองได้รับการกระทบกระเทือนจนทำให้สูญเสียความจำมาสามปีแล้ว เขาจำอะไรไม่ได้เลย นี่เป็นลิขิตสวรรค์ ต่อไปนายก็ไม่ต้องมาหาเขาแล้ว”
หลังจากที่โม่จิ่นหยุนพูดเตือนด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาแล้วก็เดินกลับไปที่รถ
เมื่อกี้ตอนที่อยู่ในรถ เธอบังเอิญเห็นกูจื่อหยานกับโม่ถิงเซียว
เธอรอจนกระทั่งโม่ถิงเซียวออกไป จากนั้นก็ลงจากรถไปพูดเรื่องเหล่านี้กับกูจื่อหยาน
กูจื่อหยานคนนี้มีความเพียรมาก โม่ถิงเซียวจำเขาไม่ได้มาสามปีแล้ว แต่เขาก็ฉวยโอกาสย้ายไปอยู่ข้างโม่ถิงเซียว
แต่นั่นจะมีประโยชน์อะไร?
โม่ถิงเซียวก็จำไม่ได้ว่าพวกเขาเป็นพวกเดียวกัน
เมื่อคิดถึงตรงนี้ โม่จิ่นหยุนก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยและขับรถออกไป
……
ภานในรถ
โม่ถิงเซียวเอนหลังพิงเบาะและงีบหลับสักครู่ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็วและถามคนขับรถว่า:“เดือนนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วที่กูจื่อหยานมาดักรอฉันที่ทางเข้าบริษัท?”
“……สิบกว่าครั้งแล้ว” อันที่จริงแล้วคนขับรถก็จำไม่ได้ จึงตอบเขาอย่างคลุมเครือและระมัดระวัง
เมื่อโม่ถิงเซียวได้ยินที่เขาพูดแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรมาก
จนกระทั่งรถจอดที่ประตูบ้านเก่าตระกูลโม่ คนขับรถก็ส่งเสียงเตือนโม่ถิงเซียว:“ถึงแล้วครับคุณชาย”
ทันทีที่รถจอดบอดี้การ์ดก็มาเปิดประตูให้โม่ถิงเซียว
เมื่อโม่ถิงเซียวเดินเข้าไปถึงทางเข้าห้องโถง เขาก็ได้ยินเสียงเด็กที่กำลังพูดคุย
“เธออันนี้……ไม่ถูก……ปราสาทหลังใหญ่ของฉัน……” น้ำเสียงของสาวน้อยเต็มไปด้วยพลัง
เมื่อโม่ถิงเซียวเดินเข้าไปในห้องโถง เขาเห็นเจ้าก้อนกลมคนนั้นนั่งอยู่ที่พื้น และล้อมรอบด้วยคนรับใช้
เธอยังคงพึมพำอะไรบางอย่าง เธอพูดเร็วเกินไปจนคนรับใช้ที่อยู่ข้างๆเธอต่างก็ตกตะลึงและไม่เข้าใจว่าเธอกำลังพูดถึงอะไร
ในตอนนี้ซูเหมียนก็เดินถือผลไม้เข้ามา:“มู่มู่ ลุกขึ้นมากินผลไม้”
โม่มู่ก้มลงสร้างปราสาทของตัวเองอย่างตั้งใจและพูดชัดๆว่า:“หนูไม่อยากกิน”
ซูเหมียนสีหน้าไม่พอใจและชี้ไปที่ปราสาทตรงหน้าโม่มู่ แล้วสั่งคนรับใช้ว่า:“เก็บของพวกนี้ไปให้หมด”
หลังจากที่พูดจบ เธอก็นั่งยองๆแล้วอุ้มโม่มู่ขึ้นมานั่งบนโซฟา
โม่มู่ทำท่าจะวิ่ง ซูเหมียนสีหน้าเคร่งขรึม:“นั่งลง!”
โม่มู่ถูกซูเมียนทำให้ตกใจจนสีหน้าแข็งทื่อและดวงตาแดงก่ำ เธอกอดอกและหันหน้าหนี:“ฮึ!”
เมื่อเธอหันหน้าไปก็เห็นโม่ถิงเซียว
หลังจากที่เธอเห็นโม่ถิงเซียวแววตาของเธอก็เปล่งประกาย เธอยิ้มและเอาขาสั้นๆพาดลงที่ขอบโซฟาสองครั้ง จากนั้นก็หมุนตัวลงจากโซฟาแล้ววิ่งไปหาโม่ถิงเซียว:“โม่ชิงเจียว!!”
เพิ่งจะผ่านวันเกิดครบสามขวบของโม่มู่มาไม่นาน ความสามารถในการพูดของเธอถือว่าดีกว่าในเด็กวัยเดียวกัน แต่เวลาพูดชื่อของโม่ถิงเซียวเธอมักจะไม่สามารถออกเสียงได้อย่างถูกต้อง
การแสดงออกบนใบหน้าของโม่ถิงเซียวยังคงเมินเฉย แต่ร่องรอยของความอบอุ่นก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา
เขาย่อตัวลงคุกเข่าและอ้าแขนรับเจ้าก้อนกลมที่พุ่งเข้ามาหาเขา
โม่มู่โอบคอของเขาและเหยียดมือน้อยๆไปเล่นผมของเขาตามปกติ
ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็กเธอจะจับผมของเขาทุกครั้งที่เขาอุ้มเธอ แต่เธอก็ไม่ได้ใออกแรงมากเกินไปเพียงแค่รู้สึกสนุกที่ได้จับเท่านั้น
เมื่อกี้ซูเหมียนไม่ได้สังเกตเห็นโม่ถิงเซียว เมื่อเธอเห็นโม่ถิงเซียวอุ้มโม่มู่เดินเข้ามา เธอก็ตอบสนองและส่งเสียงเรียก:“ถิงเซียวกลับมาแล้ว”
โม่ถิงเซียวกวาดสายตามองไปที่เธออย่างเย็นชา เหมือนกับสายตาที่มองคนแปลกหน้าในเวลาปกติ
เขาอุ้มโม่มู่นั่งลงบนโซฟาโดยให้เธอนั่งบนตักของเขา จากนั้นก็หันหน้าไปทางสอนเธออย่างใจเย็นและเคร่งขรึม:“เรียกคุณพ่อ”
โม่มู่เรียกตามเขาอย่างจริงจังว่า:“คุณพ่อ”
“อึ้ม” โม่ถิงเซียวตอบและยื่นมือไปลูบหัวของเธอ
สักพักโม่มู่ก็เรียกอีกครั้ง:“โม่ชิงเจียว!”
รอบดวงตาของเธอยังคงแดงนิดหน่อย เจ้าก้อนกลมนั่งอยู่บนตักของเขาและยิ้มอย่างมีความสุข
โม่ถิงเซียวรู้สึกว่ามีบางอย่างแวบขึ้นมาในหัวของเขา แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไร
เมื่อโม่มู่เห็นโม่ถิงเซียวจ้องมองเธอ เธอก็คิดว่าโม่ถิงเซียวกำลังโกรธ จึงปัดมือของเขาแลไถลลงจากขาของเขา
เมื่อเธอไถลลงจากขา โม่ถิงเซียวกลัวว่าเธอจะตก จึงยื่นมือไปจับเธอไว้
เด็กๆไม่ได้สนใจรายละเอียดเหล่านี้ ทันทีที่โม่มู่ลงไปถึงพื้น เธอก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
คนรับใช้ทั้งสองคนจึงรีบตามไป
สายตาของโม่ถิงเซียวจ้องมองมาที่เธอจนเธอลับตาไป เขาจึงละสายตากลับมา
เจ้าก้อนกลมทำอย่างนี้ทุกครั้ง และทุกครั้งที่ยั่วโมโหเขา เธอก็จะรีบหลบหนีไปหาที่ซ่อนตัว
เมื่อซูเหมียนเห็นสายตาของโม่ถิงเซียว สีหน้าของเธอก็บึ้งตึง
แต่ไม่นานสีหน้าของเธอก็กลับมาเป็นปกติ และพยายามทำให้น้ำเสียงของตัวเองดูอ่อนโยน:“ถิงเซียว คุณทานข้าวรึยัง?”
โม่ถิงเซียวไม่ได้แสดงสีหน้าที่ดีกับเธอ เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาและดูห่างเหิน:“ในเมื่อเธอไม่รู้ว่าต้องดูแลเด็กยังไง เธอก็ไม่ต้องมาหาโม่มู่ที่บ้านเก่าอีก”