มู่นวลนวลมองดูรูปนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทันใดนั้นก็มีแสงแวบเข้ามาในหัว เธอเงยขึ้นมองลี่จิ่วเหิงทันที:“จิ่วเหิง คุณเป็นจิตแพทย์ คุณน่าจะรอบรู้ในด้านนี้ใช่ไหม?”
เมื่อพูดถึงเรื่องวิชาชีพ การแสดงออกของลี่จิ่วเหิงก็เคร่งขรึมและจริงจัง
“มีความเชี่ยวชาญ แต่สำหรับคนไข้ที่มีความผิดปกติทางจิตส่วนใหญ่เราทำได้เพียงแค่มีโน้มนำ และสนับสนุนความสามารถ สุดท้ายคนไข้ก็ยังต้องพึ่งพาตัวเอง”
ลี่จิ่วเหิงเรียกพนักงานเสิร์ฟมาเติมน้ำใส่แก้วให้ตัวเองและพูดต่อว่า:“ทำไมจู่ๆคุณถึงถามอย่างนี้?”
มู่นวลนวลครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า:“ก่อนหน้านี้ฉันเคยไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลมาแล้วไม่ใช่หรอ?หมอบอกว่าร่างกานของฉันฟื้นตัวได้ดีมาก แต่ตอนนี้ความทรงจำของฉันยังไม่มีท่าทีว่าจะคืนกลับมาเลย คุณเป็นจิตแพทย์มีวิธีอะไรบ้างไหม?”
เมื่อลี่จิ่วเหิงได้ยินอย่างนั้นก็ตกอยู่ในห้วงความคิด
มู่นวลนวลมองเขาอย่างคาดหวัง
ถ้าลี่จิ่วเหิงสามารถช่วยให้เธอจำเรื่องเมื่อก่อนได้ มันคงจะดีมากเลย
หลังจากนั้นไม่นานลี่จิ่วเหิงก็ให้คำตอบแบบหัวโบราณกับเธอว่า:“คุณทำให้สมองได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรงอีกครั้ง ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับจิตวิทยาเล็กน้อย คุณลองดูสิ แต่ก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผล”
แววตาของมู่นวลนวลดูดีใจ:“โอเค”
แม้ว่าจะมีความหวังเพียงเล็กน้อย แต่เธอก็อยากจะลองดู
“ทานข้าวเถอะ” ลี่จิ่วเหิงยิ้มและตักอาหารให้เธอ
……
หลังจากที่ทานอาหารเสร็จ ทั้งสองก็ออกมาจากร้านอาหาร และข้างนอกก็มีฝนตก
เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่มีฝนตกชุก
เมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง มีฝนตกก็เป็นเรื่องปกติ
ฝนตกไม่หนัก แต่ตกลงมาต่อเนื่องจนทำให้คนรู้สึกหดหู่
มู่นวลนวลกับลี่จิ่วเหิงกลับไปถึงที่รถ และผมเปียกเล็กน้อย
ลี่จิ่วเหิงขับรถไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว และพูดคุยกับมู่นวลนวน
ในวันฝนตกควรจะขับรถอย่างช้าๆ
เมื่อเลี้ยวโค้งลี่จิ่วเหิงเหยียบก็เบรก แต่ทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่าความเร็วของรถไม่ได้ชะลอตัวลง แต่ยังเร็วขึ้นอีกด้วย
ไม่ว่าลี่จิ่วเหิงจะเหยียบเบรกแรงแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์และรถก็ไม่ยอมหยุด
ลี่จิ่วเหิงสีหน้าไม่ดี เขาบีบแตรและพูดเสียงดัง:“แบรกขัดข้อง นวลนวล โดดลงจากรถ!”
มู่นวลนวลก็รับรู้ได้ว่าเบรกขัดข้อง และรถเสียการควบคุม รถคันอื่นก็สังเกตเห็นความผิดปกติของรถคนนี้ จึงพยายามหลีกเลี่ยง
มู่นวลนวลคาดเข็มขัดนิรภัย:“ถ้าโดดก็โดดด้วยกัน!”
เมื่อลี่จิ่วเหิงได้ยินที่เธอพูดก็พูดด้วยความโมโห:“โดด!ผมเป็นคนช่วยชีวิตคุณ ไม่ว่าอย่างไรก็ตามมันต้องไม่สูญเปล่า”
สถานการณ์เร่งด่วน มู่นวลนวลไม่มีเวลาที่จะแยกแยะความหมายอันลึกซึ้งในคำพูดของเขา เธอกัดฟันแล้วเปิดประตูรถ จากนั้นก็โดดลงจากรถ
เธอโดดลงจากรถอย่างมีชั้นเชิง ถึงแม้ว่าร่างกายของเธอจะฟกช้ำ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่
มู่นวลนวลลุกขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว เธอเงยหน้าขึ้นและเห็นว่ารถของลี่จิ่วเหิงชนรั้วข้างทาง
เธอวิ่งไปหาลี่จิ่วเหิง
มู่นวลนวลเรื่องชื่อของเขาอยู่ข้างๆหน้าต่าง:“ลี่จิ่วเหิง คุณเป็นยังไงบ้าง?”
ลี่จิ่วเหิงนั่งอยู่บนเบาะคนขับ หัวเต็มไปด้วยเลือด ดวงตาของเขาหย่อนยานราวกับว่าเขาจะสลบไป
แต่เขาก็ยังดื้อดึงมองไปที่มู่นวลนวลแล้วก็สลบไป
มู่นวลนวลหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรเรียกรถพยาบาลด้วยท่าทีที่ลุกลี้ลุกลน คนที่อยู่ข้างๆเธอจึงพูดว่า:“คุณไม่ต้องกังวล ฉันช่วยเรียกรถพยาบาลให้คุณแล้ว……”
มู่นวลนวลพูดอย่างไม่กระปรี้กระเปร่า:“ขอบคุณค่ะ”
มีโรงพยาบาลอยู่ใกล้ๆ และไม่นานรถพยาบาลก็มา
……
ลี่จิ่วเหิงถูกนำตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉิน
มู่นวลนวลรอฟังผลอยู่ข้างนอก ทุกนาทีทุกวินาทีผ่านไปอย่างทรมาน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ประตูห้องผ่าตัดก็เปิดออกและหมอก็เดินออกมา
มู่นวลนวลรีบเดินไปทันที:“หมอ เขาเป็นยังไงบ้าง?”
หมอถอดหน้ากาก:“เย็บแผลไปหลายเข็ม ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต แต่ต้องดูอาการอีกระยะหนึ่งและต้องอยู่ในห้องไอซียูไปก่อน”
“ขอบคุณค่ะหมอ” มู่นวลถอนหายใจโล่งอก
ลี่จิ่วเหิงถูกเข็นออกมา หัวถูกพันแผลไว้รอบและอยู่ในอาการสะลึมสะลือ
มู่นวลนวลเดินเข้าไปและส่งเสียงเรียก:“จิ่วเหิง?”
ลี่จิ่วเหิงขยับริมฝีปาก แต่ไม่มีเสียง
หลังจากที่มู่นวลนวลเฝ้าดูเขาเข้าไปในห้องไอซียู เธอก็คิดที่จะติดต่อกับครอบครัวของลี่จิ่วเหิง
แต่มาถึงตอนนี้ เธอก็ตระหนักได้ว่าเธอไม่รู้จักลี่จิ่วเหิงเลย
นอกจากรู้ว่าลี่จิ่วเหิงเป็นจิตแพทย์แล้วเธอก็ไม่รู้อะไรอีก
ยิ่งไปกว่านั้นลี่จิ่วเหิงไม่เคยพูดถึงครอบครัวของเขาเลย
สถานการณ์ในตอนนี้ของลี่จิ่วเหิงค่อนข้างคล้ายกับเธอ
หลังจากที่เธอฟื้นขึ้นจากเตียงผู้ป่วยก้ไม่มีญาติอยู่ข้างๆ ลี่จิ่วเหิงก็ไม่เคยพูดถึงญาติมาก่อน
แม้ว่าจะไม่รู้ว่าทำไมลี่จิ่วเหิงไม่เคยพูดถึงญาติของเขา แต่มู่นวลนวลก็คิดว่าเขาต้องมีเหตุผลของตัวเองอย่างแน่นอน
เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว เธอก็รู้สึกว่าตัวเองกับลี่จิ่วเหิงหัวอกเดียวกัน
ลี่จิ่วเหิงเฝ้าสังเกตอาการอยู่ในห้องไอซียูหนึ่งวัน จากนั้นก็ออกมา
มู่นวลนวลตุ๋นซุปให้เขา
ลี่จิ่วเหิงนั่งพิงหัวเตียงแล้วมองดูมู่นวลนวลเสิร์ฟซุปให้เขา และพูดด้วยรอยยิ้ม:“เป็นผู้หญิงที่เพรียบพร้อม”
มู่นวลนวลเหลือบมองเขา:“เทียบกับคุณไม่ได้เลย คุณเสียสละ แม้ในช่วงเวลาที่คับขันก็ยังคิดถึงคนอื่น”
เธอวางซุปลงบนโต๊ะตรงหน้าเขา
ลี่จิ่วเหิงหยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักดื่มซุปช้าๆ และดูเหมือนไม่มีชีวิตชีวา
เมื่อมู่นวลนวลเห็นท่าทางของเขาก็ทนไม่ได้ที่จะพูดว่า:“โชคดีที่คุณไม่เป็นอะไร……ไม่งั้นฉันคงรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต”
ลี่จิ่วเหิงยิ้มและครุ่นคิดอยู่สักครู่ จากนั้นก็พูดว่า:“ฉันผมมีบางอย่างจะบอกกับคุณ และบอกเรื่องนี้กับคุณในตอนนี้ คุณอาจจะให้อภัยผมได้ง่ายขึ้น”
มู่นวลนวลเงยหน้าขึ้นมองเขา:“อะไรหรอ?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของลี่จิ่วเหิงจางลง และพูดอย่างจริงจังว่า:“ผมไม่ใช่คู่หมั้นของคุณ”
มู่นวลนวลกำลังจะปิดกาน้ำร้อน
และหลังจากได้ยินที่ลี่จิ่วเหิงพูด การเคลื่อนไหวของเธอก็หยุดชะงักไปสองวินาที จากนั้นเธอก็ค่อยๆปิดกาน้ำร้อนและพูดอย่างใจลอย:“อ้อ”
“ไม่โกรธหรอ?หรือว่าเป็นเพราะโกรธมาก เลยไม่อยากพูดกับผมแล้ว?” แม้ว่าลี่จิ่วเหิงจะพูดอย่างนี้ แต่สีหน้าท่าทางของเขาก็ยังคงสงบเยือกเย็น
มู่นวลนวลไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า:“ถ้าคุณจงจจะโกหกฉันจริงๆ คงไม่ปล่อยให้ฉันติดต่อกับเสี่ยวเหลียงและพวกเขาอย่างแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นคุณเป็นคนช่วยฉันและเฝ้าดูแลฉันมาตลอดสามปี บุญคุณที่มากมายขนาดนี้ ตลอดชีวิตของฉันก็คงจะชดใช้ไม่หมด”
หลังจากนั้นไม่นานลี่จิ่วเหิงก็พยักหน้า
มู่นวลนวลผลักชามไปตรงหน้าเขาและพูดว่า:“แต่ทำไมคุณถึงบอกว่าฉันเป็นคู่หมั้นของคุณ?”
ลี่จิ่วเหิงถามว่า:“สถานการณ์ในตอนนั้น ถ้าผมไม่ยอมรับว่าผมเป็นคู่หมั้นของคุณ คุณจะเชื่อใจผมและตามผมออกมาจากโรงพยาบาลไหม?”
คนที่สูญเสียความทรงจำไปอย่างสิ้นเชิง และไม่มีความปลอดภัยใดๆ หมอและพยาบาลในโรงพยาบาลคิดว่าเธอกับลี่จิ่วเหิงเป็นคู่รักกัน ดังนั้นลี่จิ่วเหิงจึงทำได้เพียงยอมรับ