โม่ถิงเซียวได้ยินก็หรี่ตาถาม “อย่างเช่น”
“นอกจากสามเหตุผลที่เพิ่งพูดไปเมื่อกี้แล้ว ยังมีความเป็นไปได้อีก มันก็คือการถูกสะกดจิต”หมอเน้นเสียงหนักที่คำสุดท้าย ด้วยท่าทางเคารพและหวาดกลัว
“สะกดจิตหรอ”สีหน้าของโม่ถิงเซียวตกตะลึง สายตาของเขาสว่างวาบขึ้นมา
คำนี้เขาไม่ค่อยได้ยินบ่อยนัก
“นักจิตวิทยาสามารถสะกดจิตได้ แต่พวกเขาต่างช่วยผู้ป่วยด้านจิต….”เมื่อหมอพูดถึงตรงนี้สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “แต่ไม่ใช่สามารถแก้ปัญหาทางด้านจิตได้อย่างเดียว ยังสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้ที่ถูกสะกดจิตได้ จนถึงขนาดสูญเสียความทรงจำได้….”
เขาพูดจบก็ยืนขึ้นกะทันหัน “ขอโทษด้วยผมไม่ค่อยรู้เรื่องนี้ดีนัก เรื่องพวกนี้ผมก็ได้ยินมาอีกที คุณสามารถไปถามผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวข้องกับด้านนี้โดยตรงได้ ผมกลับบ้านก่อนแล้ว”
หมอพูดจบก็รีบออกไปทันที
แต่เมื่อมาถึงหน้าประตูก็ถูกบอดี้การ์ดกันไว้
มีลูกน้องเดินมารับคำสั่งจากโม่ถิงเซียว “นายน้อย”
โม่ถิงเซียวยกมือข้ึน “ปล่อยเขาไป”
….
มู่นวลนวลนั่งหิวรออยู่ในรถ ก่อนที่จะเห็นโม่ถิงเซียวออกมาจากโรงพยาบาลพร้อมกับลูกน้อง ในมือลูกน้องยังมีถุงสีขาวถือมาด้วย
โม่ถิงเซียวให้บอดี้การ์ดไปขึ้นรถคันอื่น ส่วนเขาก็เดินมาตรงหน้ารถ โยนถุงพลาสติกไปไว้ที่เบาะหลัง และขึ้นมานั่งที่ตำแหน่งคนขับ
มู่นวลนวลนั่งพิงพนักเก้าอี้และหันมองไปทางเขา
พบว่าอารมณ์ของเขาไม่ต่างจากก่อนหน้านี้ เพราะอารมณ์ที่ไม่เปลี่ยนไป ทำให้เธอไม่รู้ว่าเขาทำอะไรข้างใน
เธอจึงหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง
ตอนนี้เธออยากกลับไปเร็วๆ
เธอไม่รู้ว่าโม่มู่ทำอะไรอยู่บ้านคนเดียว
รถขับเดินหน้าออกไป ภายในรถเงียบสงบจนได้ยินเสียงหายใจของกันและกัน
“อยากกินอะไร”
เสียงทุ้มของโม่ถิงเซียวดังขึ้นในรถ แสดงออกถึงความเบื่อหน่าย
“ประโยคนี้ฉันต้องถามคุณไม่ใช่หรอ”มู่นวลนวลก้มหน้ามองเวลา ก่อนจะเห็นว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มแล้ว
กลับไปกินข้าวตอนนี้ค่อนข้างดึกแล้ว
ดังนั้นเธอจึงพูดเสริมหนึ่งประโยค “คุณจะกินข้าวข้างนอกหรอ”
โม่ถิงเซียวไม่พูด เขาขับรถไปจอดในร้านอาหารร้านหนึ่ง เขาใช้การกระทำบอกเธอแทนว่าเขาตั้งใจจะกินข้าวข้างนอก
มู่นวลนวลลงรถตามหลังเขา และเตือนเขา “มู่มู่อยู่บ้านคนเดียว”
โม่ถิงเซียวหันหน้าไปมองเธอ และแสดงออกมาทางสายตาว่าคุณไม่ต้องบอกผมก็รู้
ช่างเถอะ เขาจะทำอะไรก็เรื่องของเขา แต่เธอจะกลับแล้ว
ถึงในบ้านจะมีคนใช้อยู่ แต่เธอก็ไม่สบายใจ
โม่ถิงเซียวรู้สึกว่าคนข้างหลังไม่เดินตามมา เขาจึงหันไปมอง ก่อนจะเดาความคิดของเธอออกฉันพูดว่า “ตอนนี้รถติด กลับไปก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมง คุณไม่หิวหรอ”
“ฉันไม่….”
มู่นวลนวลยังไม่ทันพูดจบ ท้องของเธอก็ส่งเสียงร้องออกมา
นี่มันหักหน้ากันชัดๆ เธอรู้สึกอายเล็กน้อย
โม่ถิงเซียวมองเธอขำๆ และยืนอยู่กับที่ส่งสัญญาณให้เธอรีบเข้าไป
มู่นวลนวลได้แต่ยกเท้าเดินเข้าไป
ทั้งคู่นั่งตรงข้ามกัน โม่ถิงเซียวส่งเมนูอาหารให้เธอ
มู่นวลนวลมองเขาด้วยความแปลกใจ โม่ถิงเซียวก็มีความเป็นสุภาพบุรุษเหมือนกันหรอ
มู่นวลนวลไม่รับ “คุณสั่งเถอะ”
โม่ถิงเซียวก็ไม่พูดอะไรมาก เขาเอาเมนูกลับไปสั่ง
มู่นวลนวลได้แต่แอบถอนหายใจ ที่แท้เขาก็ทำไปอย่างนั้น
ถ้าเป็นลี่จิ่วเหิง เขาจะต้องเอาเมนูอาหารวางไว้ตรงหน้าเธอ
เมื่อคิดถึงลี่จิ่วเหิง ความคิดของเธอก็หลุดลอยไป
เขาทำงานยุ่งมาก ตอนนี้น่าจะกินข้าวข้างนอกทุกวัน หรือไม่ก็อาจจะอยู่ในห้องตรวจของเขาตลอดเวลาก็ได้
ถึงโม่ถิงเซียวจะเลือกอาหารอยู่ แต่เขาก็ให้ความสนใจกับมู่นวลนวล
เหมือนกับทำไปโดยความเคยชิน ที่จริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะให้ความสำคัญกับเธอมากนัก
เมื่อเขาได้สติกลับมา เขาก็เพิ่งรู้ตัวว่าเขากำลังจ้องมู่นวลนวลอยู่
โชคดีที่มู่นวลนวลเหม่ออยู่ จึงไม่รู้ว่าเขากำลังมองเธออยู่
ช่วงนี้เขาฟื้นความทรงจำได้เล็กน้อย แต่ก็ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน มีบางเรื่องเกี่ยวข้องกับแม่ของเขา แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับมู่นวลนวล
แม้จะเป็นรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ แต่โม่ถิงเซียวก็รู้สึกได้ว่า เมื่อก่อนเขาสนใจเธอมาก
ถึงซือเย่จะไม่ได้พูดตรงๆ แต่จากคำพูดของเขา โม่ถิงเซียวก็รู้สึกได้ว่า ผู้หญิงตรงหน้านี้สำคัญกับเขามาก
แต่เพราะเขากับมู่นวลนวลสูญเสียความทรงจำไป ทำให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกันก็เพราะมู่มู่เท่านั้น
โม่ถิงเซียวเป็นคนที่ระวังตัวมาก ดังนั้นแม้ว่าตอนนี้เขาจะไม่ได้ฟื้นความทรงจำกลับมาได้ทั้งหมด เขาก็รู้สึกถึงความแตกต่างของมู่นวลนวล ดังนั้นเขาจึงไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ
ยังไงเธอก็เป็นแม่ของลูกเขา
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของโม่ถิงเซียว เธอก็เงยหน้าขึ้นมอง
มู่นวลนวลเม้มปาก เมื่อกี้เธอรู้สึกว่าเขามองเธออยู่จริงๆ
หรือว่าเธอคิดไปเอง
เมื่อสั่งอาหารเสร็จทั้งสองคนก็ไม่พูดอะไร
มู่นวลนวลไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
ส่วนโม่ถิงเซียวก็เป็นคนที่พูดน้อยอยู่แล้ว
บรรยากาศอึดอัดมาก มู่นวลนวลจึงหยิบโทรศัพท์ออกมา
แต่เมื่อเธอหยิบโทรศัพท์ออกมา โม่ถิงเซียวที่ไม่ได้มองเธอ ก็หันมามองเธอในทันที
สายตาของเขาทำให้เธอรู้สึกอึดอัด
มู่นวลนวลวางโทรศัพท์ลง
โชคดีที่ไม่นานอาหารก็มาเสิร์ฟ
ที่น่าแปลกใจก็คือ อาหารทั้งหมดเป็นอาหารรสไม่จัด
มู่นวลนวลถามอย่างไม่แน่ใจ “คุณไม่ชอบกินของเผ็ดหรอ”
หรือวันนี้เขาอยากเปลี่ยนรสชาติ
แต่วินาทีต่อจากนั้น พนักงานเสิร์ฟก็เอาพริกมาใส่ให้ ทำให้ความคิดของเธอหายไปในทันที
มู่นวลนวลพบว่า โม่ถิงเซียวอาจกำลังเอาใจเธออยู่
สิ่งนี้ทำให้เธอทำตัวไม่ถูก
เธอเกิดรู้สึกว่าโม่ถิงเซียวเป็นคนดีขึ้นมา ต้องไม่ใช่ประสงค์ดีแน่
โม่ถิงเซียวเงยหน้าขึ้นมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง “อืม”
เสียงที่พูดออกมาเรียบๆ ให้ความรู้สึกแปลกมาก
โม่ถิงเซียวกำลังเอาใจเธออยู่จริงๆ….
มู่นวลนวลกินข้าวด้วยความยากลำบาก เธอรู้สึกว่าทุกอย่างแปลกไปหมด
กลับกันสีหน้าโม่ถิงเซียวกับดูสบายกว่ามู่นวลนวลมาก
ระหว่างทางกลับบ้านรถไม่ติด ใช้เวลาไม่นานก็ถึงบ้าน
ตอนที่มู่นวลนวลถึงบ้าน โม่มู่ก็กำลังกอดตุ๊กตาเสือน้อยดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่น
“มู่มู่”
มู่นวลนวลเรียกเธอ แล้วก็ได้ยินเสียงตอบกลับมาแค่ “อืม”โดยไม่หันกลับมา เธอแทบจะเข้าไปในทีวีอยู่แล้ว