ในโลกใบนี้มักจะมีคนแบบหนึ่งที่ทำให้คุณไม่สามารถตัดใจได้ แม้แต่เพียงคำพูดที่อ่อนโยนก็สามารถทำให้กำแพงทองแดงแห่งความโมโห ความมีทิฐิ พังทลายลงไปได้ พวกเราเรียกมันว่าจุดอ่อน และมีนาก็เป็นจุดอ่อนของณภัทรพอดี แม้ว่าตอนนี้เขาจะหงุดหงิดมาเพียงใด แต่เมื่อได้ยินประโยคที่ใจสลายทั้งยังมีความลังเลอีก ความโมโหนั้นก็ดับลงมาในทันที
เขาหันกลับมากอดเธอเอาไว้ : “นี่คุณเป็นอะไรไป?”
“ไม่มีอะไรค่ะ ฉันเพียงแค่…..เพียงแค่รู้สึกเหนื่อย”
ก่อนที่เรื่องราวยังไม่ชัดเจนออกมานั้น เธอไม่อยากจะให้ณภัทรต้องมาเป็นกังวลกับเธอไปด้วย และยิ่งไปกว่านั้นคือเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับชีวิตทางการทหารของเขาอีก ถ้าหากคนๆ นั้นคือท่านประธานาธิบดีจริงๆ ถ้าอย่างนั้นเธอจะไม่ดึงณภัทรลงน้ำด้วยอยู่แล้ว เพราะถึงอย่างไรเขาใช้เวลามาเป็นกว่าสิบปีในค่ายทหารเพื่อแลกตำแหน่งในวันนี้มาได้ ต่อให้เขายินยอมที่จะละทิ้ง เธอเองก็รับไม่ได้เช่นกัน
เขายังคิดอยากจะถามอะไร แต่เธอก็หลับตาลงแล้ว ดูแล้วจะอ่อนเพลียมาก เขายื่นมือมาตบลงบนหลังของเธอเบาๆ : “โอ๋นะครับ คืนนี้ยอมปล่อยคุณก็ได้ พักผ่อนซะนะ”
เขากอดเธอไว้ในอ้อมกอดด้วยความคิดความรู้สึกมากมาย หลังจากที่เธอหลับไปแล้ว เขาถึงได้เดินมายังห้องหนังสือ ไวน์หนึ่งแก้ว ซิการ์หนึ่งตัว แต่ควันก็ดับแล้ว ไวน์ก็หมดแล้ว ก็ยังไม่สามารถขจัดความวุ่นวายใจที่อยู่ในใจเขาได้เลย จึงกดโทรออกหาไวศิษฎ์ : “เรื่องที่ฉันให้นายไปสืบเป็นยังไงบ้าง?”
“ลูกพี่ คนนี้ไม่ง่ายเลยนะ จากเด็กจนๆ ในตอนนั้นกลายมาเป็นประธานาธิบดีของประเทศซีดาน อีกทั้งไม่มีเบื้องหลังพื้นฐานทางครอบครัวด้วย การศึกษาก็ไม่ได้สูง เขาผ่านการทดสอบระหว่างทาง มาด้วยกันกับเส้นทางในการเลื่อนตำแหน่งของลูกพี่เลย”
“อย่ามาพูดเหลวไหลยืดเยื้ออยู่ พูดประเด็นสำคัญมา!”
“ลูกพี่ ฟังผมค่อยๆ พูดให้ลูกพี่ฟังสิ การใช้ชีวิตแบบตามใจตัวเองของคู่ที่เหมาะสมกันนี่ไม่ใช่ว่าแค่ประโยคหรือสองประโยคก็จะสามารถพูดออกมาให้ชัดเจนได้นะ”
จากนั้นไวศิษฎ์ก็บอกเรื่องราวที่ตัวเองสืบมาได้นั้นกับเขา แท้ที่จริงแล้วท่านประธานาธิบดีก่อนที่จะเข้ามาเล่นการเมืองนั้นมีชื่อว่าดรณ์ เป็นเด็กที่ยากจน เมื่อก่อนเคยทำงานเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุดในมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง เพียงแต่มีผู้หญิงที่มีฐานะร่ำรวยคนหนึ่งเข้ามาชอบ ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกว่าเขามีความสามารถและเป็นคนเก่ง จึงให้เงินเขาเพื่อไปเรียน ทั้งยังขอร้องให้ผู้อำนวยการบิดาของตัวเองรับเขาอีกด้วย ต่อมาเรื่องราวความรักของทั้งสองคนก็ถูกเปิดเผยขึ้น ความแตกต่างกันทางฐานะนำมาซึ่งบทสรุปของการต้องแยกจากกัน
ต่อมาเขาก็หายตัวไป หญิงผู้ร่ำรวยคนนั้นเป็นผู้หญิงที่หยิ่งในศักดิ์ศรี เธอตัดขาดความสัมพันธ์กับครอบครัว แล้วตระเวนตามหาตัวเขา ส่วนเรื่องราวต่อมานั้นก็ไม่มีใครรู้เลย
ณภัทรรู้ว่าผู้หญิงคนที่ร่ำรวยคนนี้ก็คือเวธณีมารดาของมีนา แท้ที่จริงแล้วความดื้อรั้น ความหยิ่งในศักดิ์ศรีนี้ของเธอก็ได้มาจากมารดานี่เอง
“ลูกพี่ ลูกพี่ไม่รู้สึกว่าท่านประธานาธิบดีเป็นฆาตกรฆ่าเวธณีหรอกใช่ไหม?”
“เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เพราะถึงอย่างไรฉันกับเขาก็คบค้าสมาคมกันมาเป็นสิบปี สำหรับนิสัยของเขาฉันก็เข้าใจดีอยู่แล้ว”
“ช่วงระหว่างนี้มีอะไรเข้าใจผิดกันหรือเปล่า?”
ในค่ำคืนที่มืดมิด ดวงตาของณภัทรเป็นประกายเหมือนกับดวงดาว : “ไวศิษฎ์ ช่วยฉันหาคนๆ นึงสิ”
“ถ้าอย่างนั้นกำไรของคาซิโนในปีนี้ลูกพี่จะให้ผมสามส่วนเลยไหม?”
“นายนี่แม่งจะหลอกขึ้นราคานี่”
“แหะๆ …..ลูกพี่ ผมมันคนทำธุรกิจนี่นา”
“ได้ ส่วนนั้นของฉันให้นายไปเลย!”
“เจ๋ง! ลูกพี่นี่ใจกว้างจริงๆ !”
จากนั้นณภัทรก็ส่งรูปถ่ายไปให้เขาสองสามรูป เขาเป็นท่านนายพลของประเทศซีดาน อีกทั้งสถานการณ์ยังไม่สงบ ตอนนี้ได้รับการจับตามอง เรื่องบางเรื่องก็ไม่สะดวกที่จะลงมือด้วยตัวเอง
เขาจุดซิการ์ขึ้นอีกหนึ่งมวน เงยหน้าพ่นควันออกมาอย่างเนิ่นนาน เขามีลางสังหรณ์แบบหนึ่ง มักจะรู้สึกว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้ราวกับมีมือมืดมือหนึ่งที่ควบคุมทุกอย่างเอาไว้ แต่ไม่ว่ามือมืดนี้จะเป็นใคร หากเขาข่มขู่มาถึงความปลอดภัยของมีนา เขาจะต้องบดขยี้มือนี้ให้เละอย่างแน่นอน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากที่ทานอาหารเช้าแล้ว ณภัทรก็ไปส่งมีนาที่โรงพยาบาล ตลอดทางเธอหลับตาแล้วเอนพิงอยู่ในอ้อมกอดของเขามาตลอด เนื่องจากเธอรู้ว่าเขาเป็นคนฉลาด และอารมณ์ของเธอนั้นก็กลัวว่าจะเปิดเผยออกมาต่อหน้าเขาได้อย่างง่ายดายเช่นกัน จึงหลับตาเอาไว้เสียเลย แต่ที่เธอไม่รู้ก็คือ ความงงงวยของเธอ การดิ้นรนของเธอ การฝืนยิ้มของเธอนั้นอยู่ในสายตาของเขาทั้งหมด รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในใจ ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เมื่อนึกไปถึงอาการที่เสียความควบคุมของเธอตอนที่อยู่วังไพฑูรย์ เขาก็พอจะเดาได้แล้ว
หลังจากถึงโรงพยาบาลแล้ว ณภัทรก็จูบลาเธอ และยังอดที่จะปลอบใจเธอไม่ได้ : “มีเรื่องอะไรก็อย่าวู่วามเด็ดขาดนะครับ จำเอาไว้ว่าผมคือผู้ชายคนนั้นที่คอยบังลมบังฝนให้คุณอยู่ทางด้านหน้า และจะยืนอยู่ทางด้านหลังคุณเพื่อประคับประคองคุณและเป็นที่พึ่งให้กับคุณ”
ได้ยินประโยคนี้แล้ว เธอรู้สึกเจ็บปวดและซาบซึ้งแปลกๆ เขามองเบาะแสออก แต่ก่อนที่การคาดเดานี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน เธอไม่สามารถแบไพ่ที่อยู่ในมือให้ดูได้เลย มุมปากของเธอปรากฏรอยยิ้มอย่างฝืนๆ : “รู้แล้วค่ะ รีบไปเถอะ เดี๋ยวคนอื่นมาเห็นเข้า น่าเกลียดตายเลย!”
เขาก้มลงจูบลงบนริมฝีปากเธอ : “ผมเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น”
เธอค่อยๆ หลับตาลง เสพรับกับความหวานชื่นในเวลานี้ ตอนที่เขาจากไปนั้น จู่ๆ เธอก็เรียกเขาขึ้นมา : “ณภัทร”
“หืม? ทำใจให้ผมไปไม่ได้ใช่ไหม?”
“ฉันรักคุณค่ะ”
เขาลังเลอยู่พักหนึ่ง แล้วรีบเดินลงมาจากรถทันที กอดเธอเข้ามาแล้วกระหน่ำจูบลงมาอย่างบ้าคลั่ง มองดูริมฝีปากบวมของเธอ เขาจึงยิ้มออกมาพลางเอ่ยขึ้น : “แม่สาวน้อย ผมตัดใจที่จะไปไม่ได้เลย อยากจะผูกคุณให้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาเลยจริงๆ ”
“ใจร้อนอะไรกันคะ ปลายเดือนฉันจะได้ไปเข้าร่วมการแข่งขันคัดเลือกหมอทหารแล้ว ถึงตอนนั้นพวกเราก็จะอยู่ด้วยกันทุกวันแล้วไม่ใช่หรือ?”
เขาหัวเราะเสียงทุ้มต่ำ : “คิดถึงเรื่องนี้แล้ว ผมก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาแปลกๆ ”
“เพราะฉะนั้น…..งานแต่งงานของเราเลื่อนไปเป็นเดือนหน้าได้ไหมคะ?”
เขาขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย : “การแข่งขันทดสอบชนกับงานแต่งงานหรือครับ?”
“ฉันเพียงแค่…..เพียงแค่ไม่อยากจะให้คนอื่นคิดว่าฉันอาศัยชื่อของคุณมาอยู่ในค่ายทหารน่ะค่ะ”
“ผมยินดีที่จะปกป้องคุณ ใครกล้าพูดอะไรอย่างนั้นหรือ?”
“ณภัทร ฉันไม่อยากเป็นแบบนั้น อีกทั้ง…….อีกทั้งชุดแต่งงานกับชุดพิธีการก็ยังไม่เสร็จด้วย…..”
จู่ๆ เขาก็จับไหล่ของเธอเอาไว้ แล้วจ้องมองเธอ : “คุณ……ไม่อยากจะจัดงานแต่งงานกับผมหรือเปล่า?”
ร่างของเธอแข็งทื่อ แววตาดูคลุมเครือ : “พูดเหลวไหลอะไรคะ ฉันเป็นของคุณแล้ว งานแต่งงานไม่ใช่เป็นแค่รูปแบบภายนอกเองหรือคะ? ฉันเพียงแค่อยากจะทำให้สมบูรณ์แบบ เพราะฉะนั้นต้องใช้กำลังและเวลาให้มากหน่อยเท่านั้นเอง”
ในที่สุดเขาก็อดที่จะเห็นท่าทางลำบากใจของเธอไม่ได้ แล้วเอ่ยขึ้น : “เอาที่คุณสบายใจก็พอแล้ว”
เขาเงียบอยู่พักหนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นมาอย่างจริงจัง : “ผมไม่ใช่คนที่จะชอบประนีประนอมอะไรนัก เพียงแต่ว่า ผมรักคุณ”
เพราะว่ารัก จึงยอมที่จะวางกฎเกณฑ์แล้วประนีประนอม ขอบตาของมีนาแดงขึ้นมา เธอหันหลังกลับแล้วเดินเข้าไปในโรงพยาบาล เธอไม่ได้ขึ้นลิฟต์ แต่เดินขึ้นบันไดเหมือนกับคนบ้า ออฟฟิศของเธอนั้นอยู่ชั้นที่28 เดินขึ้นไปตลอดทาง เหนื่อยเสียจนเธอหายใจหอบ เหงื่อออก แต่เพียงสิ่งเดียวที่เป็นแบบนี้ถึงจะสามารถขจัดความเจ็บปวดในใจเธอไปได้
กลับมาถึงออฟฟิศ เธอทรุดตัวนั่งลงบนเก้าอี้เหมือนกับเธอจะหมดกำลังใจในการทำงาน เหงื่อหยดลงมาตามเส้นผมร่วงหล่นลงบนโต๊ะ เธอหยิบแก้วออกมาด้วยความระมัดระวัง หลังจากนั้นก็เอาแก้วน้ำที่ตัวเองดื่มวางเข้าไป จากนั้นก็กดโทรออกหาแผนกDNA : “คุณหมอจิณณ์ ช่วยฉันหน่อยได้ไหมคะ?”
เห็นคุณหมอจิณณ์เอาถุงที่ปิดสนิทถือไปแล้ว อารมณ์ของเธอนั้นดูเป็นกังวล ถ้าหากท่านประธานาธิบดีเป็นพ่อของเธอจริงๆ การเผชิญหน้ากับคนที่ทะนงองอาจแบบนนี้ เธอควรจะทำอย่างไร?