บทที่ 45 – เตียงเดียวกัน
ฉันเริ่มกระวนกระวายขึ้นมารีบทำท่าทางเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นทันที แต่มันไม่ช่วยในสถานการณ์นี้เลยเพราะบรรยากาศมันเงียบมาก
แถมยังรู้สึกเจ็บจมูกอยู่เลย ความผิดทั้งหมดต้องโทษที่ฉันนี่แหละ ดันปล่อยตัวเกินไป บ้าเอ๊ย!
ฉันที่กังวลอยู่นั้น ในที่สุดก็มีคนพูดขึ้นช่วยให้ฉันหลุดรอดจากสถานการณ์อันชวนอึดอัดแน่ แต่พนันได้เลยว่าฉันต้องตกเป็นเป้าในการถูกรังแกแน่ๆ
พอคิดได้แบบนั้นก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมา แต่ในโลกนี้ฉันแข็งแกร่งพอตัวน่าจะอยู่ในระดับกลางๆ เลยแหละ อย่างน้อยก็คงไม่ถูกรังแกง่ายๆ หรอก
ขณะปลอบใจตัวเองพิธีกรที่เป็นคนช่วยฉันหลุดจากสถานการณ์อันน่าอึดอัดเขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เป็นมิตร
“อ่ะแฮ่ม.. เวทีของทางเราอาจจะเสื่อมสภาพไปตามกาลเวลาบ้างแหละ.. เอาล่ะมาต่อกันเลย”
ตัดจบง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ แต่ฉันสังเกตได้ว่าคนข้างล่างมีหลายคนที่หัวเราะเยาะอยู่ นี่กำลังเยาะเย้ยฉันอยู่สินะให้ตายสิ!
และหลังจากนั้นพวกเราก็ได้กล่าวอะไร บลาๆ ไม่รู้มากมายเต็มไปหมดซึ่งฉันเองก็จำเป็นต้องพูดเหมือนกัน
และเรื่องที่พูดก็พูดไปเรื่อย หลังจากพูดจนจบก็ไม่มีอะไรอีกพวกเราถึงได้กลับลงไป.. โดยที่ฉันไม่รู้เลยว่าตั้งแต่ตอนนั้นเอง
ได้มีกลุ่มปริศนาถูกตั้งขึ้นมาภายใต้ใครสักคนที่มีศูนย์กลางของเป้าหมายของกลุ่มอยู่ที่ฉัน…
………..
หลังจากนั้นพวกเราก็กลับไปยังหอพักของโรงเรียน หอพักของผู้หญิงตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของเขตโรงเรียน
ส่วนของผู้ชายตั้งอยู่อีกทิศเรียกได้ว่ามีโรงเรียนขนาดใหญ่ขวางกั้นอยู่เลยทีเดียว ฉันคิดว่าคงเคร่งครัดมากอาจจะมีพวกผู้ชายข้ามมาเขตผู้หญิงเพื่อขโมยของก็ได้
(มันไม่ใช่แค่เรื่องขโมยของนี่สิ..)
จะว่าไปฉันก็เคยเป็นผู้ชายนี่น่าถูกจับได้มีหวังโดนเชือดแน่ๆ ไม่สิ.. ตอนนี้ฉันเป็นผู้หญิงแบบสิบเต็ม ดังนั้นไม่น่าจะเป็นปัญหา ..
แต่ก็นะเพื่อความปลอดภัยฉันจึงหลีกเลี่ยงท่าทางที่เหมือนผู้ชายมากสุดเท่าที่จะทำได้ตอนนี้ฉันกำลังวางของต่างไว้ในห้องเพื่อเตรียมรับมือกับหลายๆ สถานการณ์
ฉันสร้างกับดักวิเศษขึ้นมาเมื่อมีใครเข้าใกล้ระยะเตียงของฉันจะมีคลื่นความถี่ต่ำดังขึ้นมาในสมอง โดยฉันจะตั้งค่าการรับรู้ให้ได้ยินคลื่นความถี่ต่ำเกินกว่ามนุษย์จะได้ยิน
ดังนั้นจะมีฉันคนเดียวที่จะได้ยินและยังวางกับดักจำพวกส่งคลื่นกระแทกเข้าสู่การรับรู้ฉับพลัน อันตรายหน่อยหากคนทั่วไปโดนอาจจะเป็นบ้าได้เลย
แต่นั่นมันความผิดเขาเองนะที่จะมาลอบโจมตีฉันก่อนน่ะ คิดได้แบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
ในขณะที่กำลังคิดนั้นเองและประตูก็ถูกเปิดออกชาล็อตก็เดินเข้ามาเห็นฉันพร้อมกับประหลาดใจ
“เอ๊ะ เลทิเซียกลับมาเร็วจังไม่ใช่ว่าต้องไปรับรางวัลอะไรก่อนงั้นเหรอ?”
“ห้ะ ไม่เห็นรู้เรื่องเลยนะ รางวัลอะไรงั้นเหรอ?”
จะว่าไปฉันไม่ยักจะรู้เรื่องเลยแฮะรับรางวัลอะไรหว่า ไม่สิแรกเริ่มก็แปลกใจอยู่ที่ชาล็อตกลับ
“อ้อ ตอนนั้นเธอหลับอยู่นี่น่า.. ว่าแต่ร่างกายไม่เป็นอะไรแล้วใช่ไหม บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า เมื่อวานจู่ๆ ก็ล้มลงไปฉันเป็นห่วงแทบแย่นะคะ”
เธอคิ้วย่นและรีบเดินมาตรวจสอบฉันด้วยท่าทางเป็นห่วง อะแฮ่ม ไม่ชินเลยแฮะ แต่ฉันไม่หลงกลหรอกนะ
ฉันพยายามสงบอารมณ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อนจะพูดขึ้นในเรื่องที่เธอพูดค้างไว้ เพราะตอนนั้นฉันหลับอยู่เลยไม่รู้เรื่องอะไร
“ฉันไม่เป็นไรหรอก.. ว่าแต่รางวัลที่ว่านั่นคืออะไร?”
“อ้อ.. เป็นรางวัลของนักเรียนที่มีคะแนนมากกว่า 90 คะแนนน่ะ.. ถือว่าเป็นนักเรียนดีเด่นของปีนี้เลยล่ะ”
ฉันเองก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าแต่รางวัลที่ว่ามันอะไรกันละ คะแนนคนที่ได้เกินเก้าสิบน่าจะมีหลายสิบคนเกือบๆ ร้อยคนเลยแหละมั้ง
ทางโรงเรียนจะแจกอะไรให้กันละของจำนวนมากขนาดนั้น จากการคาดเดาของฉันอาจจะเป็นชุดเครื่องเรียนพิเศษก็ได้
ในตอนนั้นเอง ประตูก็เปิดออกอย่างรุนแรงจนดัง “ปัง” ฉันกับชาล็อตถึงกับสะดุ้งเพราะความกะทันหันครั้งนี้แล้วก็มีเสียงดังขึ้น
“ท่านพี่ นี่คือรางวัลของท่านพี่ค่ะ ท่านพี่ไม่ไปรับข้าเลยรับมาให้แล้วล่ะ!”
ต้นเหตุที่มาของเสียงนั่นคือเสียงของเลวี่เธอเอารางวัลที่เป็นเครื่องเรียนมาให้ เหมือนจะเป็นพวกหนังสือกระดาษและของพิเศษอะไรทำนองนั้นที่ใช้ในการเรียนจริงๆ ด้วย
น้องสาวฉันอุตส่าห์เอามาให้ถึงนี่ฉันก็อดที่จะอมยิ้มไม่ได้แล้วก็ลูบหัวให้กับเลวี่อย่างเคยตัว
“ขอบใจนะเลวี่”
“อื้ม! ไม่เป็นไรหรอก!”
หลังจากนั้นพวกเราก็คุยกันจนกระทั่งถึงเวลาพักผ่อน เลวี่ถึงได้จากไปแบบไม่อยากจากไปเท่าไหร่ ทำให้ฉันรู้สึกว่าเธอไม่รู้จักโตเลยจริงๆ
แน่นอนว่าชาร์ล็อตเองก็ร่วมวงสนทนาเช่นกัน ดวงตะวันเริ่มที่จะลาลับจากฟากฟ้าห้องของพวกเราก็เริ่มดับไฟลง
พวกเราก็เริ่มที่จะนอนแต่ฉันนอนไม่ค่อยหลับเพราะพึ่งตื่นมาไม่กี่ชั่วโมงก่อน ฉันเลยได้แต่นอนมองเพดานห้องอย่างเงียบๆ
ในหอพักที่ค่อนข้างใหญ่มีเตียงสองเตียงตั้งอยู่ห่างกันพอสมควรเสียงลมตอนกลางคืนมันทำให้ฉันรู้สึกเหงาอยู่นิดหน่อย
อดที่จะนึกถึงตอนอยู่โลกเดิมไม่ได้… ไม่รู้ทำไมตอนนี้ฉันกลับรู้สึกคิดถึงมันอย่างช่วยไม่ได้ ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่โลกที่ดีกับฉันหรือน้องสาวแม้แต่พี่สาวฉันเลย
จะว่าไปวันนั้น.. วันที่พี่เสียไปก็เป็นวันที่มีสายลมสงบแบบนี้ ถึงแม้จะบอกว่าดูเหงาแต่ฉันกับพี่ก็ชอบอากาศแบบนี้… และเป็นวันที่พี่…
ฉันคิดแบบนั้นก็รู้สึกเสียใจขึ้นมามึนเกิดอะไรขึ้นกันแน่นะ? ฉันถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ แต่เพราะเสียงถอนหายใจของฉันทำให้ชาล็อตที่เหมือนนอนไม่หลับเหมือนกันพูดขึ้น
“เฮ้อ…”
“เลทิเซีย เธอเองก็ยังไม่หลับเหรอ?”
“อะ..อืม.. เธอเองก็เหมือนกันเหรอ?”
“ใช่..”
หลังจากนั้นบทสนทนาก็เงียบลงฉับพลันนั้นเอง บรรยากาศก็ดูแย่ขึ้นมาทันที จนในที่สุดชาร์ล็อตก็ออกปากพูดขึ้น
“อากาศแบบนี้.. มันให้ความรู้สึกสงบดีนะ”
“นั่นสินะ”
ฉันตอบออกไปแบบนั้นก็เงียบลงอีกฉับพลันในตอนนั้นเอง ชาร์ล็อตก็ค่อยๆ ลุกขึ้นแล้วเดินมา
เอ่อ.. นี่เธอจะทำอะไรกันแน่หว่า ฉันลังเลแต่ก็อดที่จะเตรียมตัวตั้งรับไม่ได้ เธอเดินมานั่งลงข้างเตียงฉันช้าๆ แล้วก็พูดขึ้น
“บรรยากาศแบบนี้มันทำให้ฉันคิดถึง…ท่านแม่”
“เอ๊ะ.. ท่านแม่ของเธอเสียแล้วงั้นเหรอ?”
ฉันถามออกไปโดยไม่คิด พอมารู้ตัวว่าเป็นคำถามต้องห้ามก็รู้สึกเสียใจขึ้นมาเธอชะงักกับคำถามของฉัน ฉันเลยเริ่มกังวลก่อนจะรีบพูดขึ้นมาว่า
“เอ่อ.. ฉันขอโทษไม่ได้ตั้งใจแบบนั้น..”
เธอหันหน้ามามองฉันแต่ฉันไม่กล้ามองหน้าเธอเท่าไหร่ เพราะเป็นคืนพระจันทร์เต็มดวงแสงสาดส่องจากหน้าต่างทำให้ผมสีขาวของเธอสะท้อนแสงจันทร์
ราวกับว่ามันเรือนแสงได้จริง ไม่ปฏิเสธเลยว่ามันสวยจริงๆ ถึงฉันจะไม่ค่อยเข้าใจเรื่องความสวยงามเท่าไหร่ก็เถอะ เธอยิ้มให้ฉันแล้วพูดขึ้น
“เลทิเซียเนี่ย.. ใจดีจังนะ”
ว่าแล้วเธอก็ทิ้งตัวนอนลงบนเตียงฉัน …
เอ๊ะ เกี่ยวสิเฮ้ย นี่มันเตียงฉันนะ ไม่สิทำไมเธอถึงกล้านอนเตียงคนอื่นหน้าตาเฉยไม่กลัวว่ามันมีกับดักหรือไง
หรือว่าเธอลอบโจมตีฉัน ไม่สิ.. เธออยู่ใกล้ฉันมากดังนั้นถ้าเธอวางแผนจะทำอะไรฉันต้องเห็นชัดเจนแน่.. ในขณะคิดแบบนั้นเธอก็ล้มตัวนอนลงบนเตียงฉัน
แถมอยู่ใกล้กันมาก…
“กลิ่นของเลทิเซีย…นี่หอมจังนะ”
“เอ๊ะ เมื่อกี้ว่าอะไรนะ?”
เพราะฉันจดจ่อกับการกระทำของเธอจนฟังสิ่งที่เธอพูดแบบผ่านหูเลยจับทางไม่ได้ เธอหันหน้ามาหาฉันแล้วส่ายหน้า
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”
ว่าแต่ หน้าจะใกล้ไปแล้วนะ จะวางยาพิษผ่านปากประกบปากหรือไง?! (???????)
………..