บทที่ 64 – ศาสตราวุธทั้งห้า
แถมดูเหมือนว่าอาวุธพวกนี้จะถูกสร้างจากสิ่งมีชีวิตลึกลับต่างๆ ด้วย ทำให้พวกมันมีจิตวิญญาณเป็นของตัวเอง
ว่าง่ายๆ คือพวกมันเลือกผู้ถือครองเองด้วย การเลือกไม่ได้ขึ้นอยู่กับผู้ถือครอง แต่ขึ้นอยู่กับตัวศาสตราวุธเหล่านี้เอง
นี่เป็นเนื้อหาที่ถูกเขียนเพิ่มมาใต้กระดาษน่ะนะ ถามว่าทำไมถึงรู้ก็เพราะหมึกที่ใช้เขียนมันคนละสีกันละ
ฉันเปิดอ่านหน้าถัดไป เนื้อหาหนังสือเหมือนจะเรียงตามลำดับที่กล่าวมาเบื้องต้นเลย อาวุธชิ้นแรกที่เห็นคือ
โล่พิชิตสวรรค์ หรือ โล่สงคราม… ลักษณะของโล่ชิ้นนี้เหมือนกับตัวแทนของแผ่นดินพสุธาทั้งหมด เนื้อโล่เป็นสีดำสนิทเลย
ส่วนเนื้อหาเกี่ยวกับโล่ก็เขียนประวัติของมันค่อนข้างยาวเหยียด แต่ก็ไม่ถึงกับน่าเบื่อขนาดนั้น มันเขียนไว้ว่า
“โล่สงคราม ที่แข็งแกร่งที่สุด กล่าวกันว่าแม้พลังโจมตีจะไม่ได้เก่งกาจหากแต่พลังป้องกันนั้นกลับสามารถต้านทานพลังระดับทำลายล้างได้อย่างง่ายดาย กล่าวว่ามันถูกสร้างขึ้นด้วย แร่อุกกาบาต แร่พิเศษที่เกิดขึ้นจากการที่เหล็กอุณหภูมิสูงยังคงสภาพอยู่ในเขตที่หนาวจัดเป็นเวลา 100 ปี .. และหลอมตีสร้างขึ้นมาจากก้นลาวาเดือดจนเป็นสีฟ้า! และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือโล่สงครามนี้ถูกหลอมขึ้นจากปฐพีผสมปฐพีมันจึงมีพลังธาตุปฐพีที่แกร่งที่สุด”
แถมเหมือนจะบอกสถานะในการครอบครองและที่อยู่ปัจจุบันด้วยแฮะ ฉันถึงกับแปลกใจไม่คิดว่ามันจะระบุชัดเจนถึงขนาดนี้
ตำแหน่งของมันถูกเขียนไว้และข้อมูลเพิ่มเติมถูกเขียนไว้ใต้กระดาษ ด้วยตัวหนังสือที่ค่อนข้างเล็กกว่าก่อนหน้า
“แม้โล่สงครามจะเคยตกอยู่ในการควบคุมของเทพอารักขาตนหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว แต่เมื่อยามก่อนที่เธอจะกลายเป็นเทพเธอได้สูญเสียสิทธิในการครอบครองมันไปแล้ว เพียงแต่ว่าโล่นั้นกลับไม่ไปจากเธอ… แต่สิทธิ์ในการครอบครองก็ไม่อยู่ในมือเธอเช่นกันซึ่งโล่สงครามปัจจุบันได้อยู่ภายใต้การครอบครองของโรงเรียนโรเซ่ หนึ่งในห้าโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุด”
อืม.. ดูเหมือนว่าจะมีประโยชน์จริงๆ บอกตำแหน่งด้วย แต่ว่าทำไมมันไปอยู่ในการควบคุมของโรงเรียนได้ล่ะ
อาวุธนี้เป็นของเทพนี่น่า แล้วทำไมไปอยู่ในมือของคนธรรมดาได้ จะว่าเทพมอบให้งั้นเหรอ… อืมม ไม่รู้สิ ช่างมันแล้วกัน
ฉันเปิดหน้าถัดไป หน้าต่อมากล่าวถึงธนูแบ่งฟ้าหรือธนูแยกฟ้านั่นแหละ มันคือธนูพิชิตสวรรค์ลำดับต่อมา ซึ่งประวัติโดยรวมก็ไม่ต่างจากด้านบนเท่าไหร่
ฉันสรุปให้สั้นๆ เลยแล้วกัน ธนูนี้มีสีเขียวมรกตแล้วก็ใสมองทะลุสายธนูสีขาวขี้เถ้าน่ากลัวไม่น้อย
‘ธนูแบ่งฟ้า’ แล้วก็บรรยายไว้ว่าเส้นธนูทำจากเส้นเอ็นมังกรแท้ และพูดถึงความอลังการ กล่าวว่าเป็นอาวุธระยะไกลที่แข็งแกร่งที่สุด และแน่นอนว่ามันควบคุมวายุได้ดีที่สุด
ส่วนข้อมูลหนังสือท้ายเล่มก็ไม่ต่างจากด้านบนเลย เออ.. ฉันพูดจริงๆ นะ ทุกอย่างที่เขียนเหมือนกับด้านบนไม่ต่างกันสักนิด
จะว่าต่างก็ต่างแค่ชื่อโรงเรียนที่เขียนว่า ‘ปัจจุบันอยู่ภายใต้การครอบครองของโรงเรียนเมลต้า หนึ่งในห้าโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุด’
ฉันรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่ก็เปิดอ่านหน้าถัดไปโดยรวมก็มีอยู่ประมาณนี้
‘หอกทะลวง’ หอกที่สร้างขึ้นจากแร่ที่แข็งแกร่งทั้งยังเป็นแร่ที่ทนทานต่อแรงกระแทก กล่าวคือแม้จะเอาหอกไปแทงใส่โล่สงคราม หอกก็ไม่มีทางเสียหลักหรือแตกหักเพราะพลังป้องกันของโล่สงคราม..แน่นอนว่าควบคุมวารี มันถนัดในการพุ่งทะลวง
‘ดาบตัดนภา’ ดาบทรงยุโรปสีแดงร้อนดุจเพลิงโลกันตร์ ถนัดการทำลายล้างวงกว้างเหมาต่อสู้ในแนวพุ่งทะลวงเหมือนหอกแต่มันจะไม่รวดเร็วเหมือนหอกเพียงแต่มันจะเด็ดขาดกว่าหอกนั่นเอง แน่นอนว่าควบคุมเพลิง
…..
หอกทะลวง เหมือนจะอยู่ที่โรงเรียนลิเบอร์แห่งนี้ แต่ประวัติทุกอย่างก็เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว
ส่วนดาบตัดนภานั้นก็ไม่ต่างกัน แต่มันอยู่ที่โรงเรียนไลเบอร์ เป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้กับโรงเรียนลิเบอร์มากที่สุด
โรงเรียนลิเบอร์ โรงเรียนโรเซ่ โรงเรียนเมลต้า โรงเรียนไลเบอร์ ฉันคิดว่าโรงเรียนสุดท้ายอย่างโรงเรียน เอเรียส คงมีดาบจูชินเล่มสุดท้ายแน่ๆ
ฉันคิดว่าบางทีพวกเขาคงขี้เกียจคิดประวัติความเป็นมาของผู้ถือครองแน่ๆ ดังนั้นฉันเลยคิดว่าอาวุธในหนังสือเล่มนี้ไม่น่ามีอยู่จริง
น่าจะเขียนขึ้นมาดึงคุณค่าของโรงเรียนออกมาให้ดูดีเฉยๆ มั้ง ก็แหมประวัติการถือครองอะไรจะเหมือนกันทุกอย่างขนาดนั้น ความน่าเชื่อถือเลยลดลงนั่นแหละ
ฉันเปิดอ่านหน้าถัดไปโดยไม่มีความหวังอะไรมาก แค่อยากรู้ว่าดาบเล่มสุดท้ายจะเขียนประวัติการสร้างยังไง ส่วนประวัติผู้ถือครองคงเหมือนๆ กัน
อยากรู้ว่ามันจะโม้ยังไงนั่นแหละ… แต่พออ่านฉันก็เบิกตากว้างถึงความแข็งแกร่งของมัน.. อาวุธชิ้นนี้นี่…. มันโกงที่สุดเลยนี่น่าแทบเอาความสามารถทุกชนิดมารวมกันเลยก็ว่าได้
‘ดาบผ่าดาราสวรรค์’ ดาบรูปทรงคาตานะยาวราวๆ 1.65 เซนติเมตร หากเทียบแล้วการฆ่าเด็ดขาดไม่มีอาวุธชิ้นไหนทรงพลังเท้า ตัวดาบแข็งแกร่งพอกับโล่สงคราม สามารถสร้างดาบพลังเวทขนาดเล็กโจมตีระยะไกลดั่งธนู พุ่งทะลวงฆ่าศัตรูเด็ดขาดได้เหมือนหอกกับดาบตัดนภา! อาวุธที่ทรงพลังที่สุดมันสามารถควบคุมอัสนีทั้งควบคุมความมืด!
ฉันเองก็แปลกใจไม่คิดว่าจะโม้ให้สุดในระดับที่ว่า สี่ชิ้นแรกมีไว้ทำแปะอะไรไม่รู้เนี่ย ถ้าจะแข็งแกร่งขนาดนี้
แถมเล่มอื่นๆ ควบคุมดิน, น้ำ, ลม, ไฟ.. แต่ชิ้นนี้กับควบคุมความมืดและสายฟ้า ดูยังไงมันก็อวยดาบเล่มนี้ชัดๆ
ฉันคิดว่าคนที่เขียนหนังสือเล่มนี้คงฝึกวิชาดาบสายเท็นจูแน่ๆ ถึงได้อวยดาบจูชินถึงขนาดนี้.. แต่สิ่งที่น่าประหลาดไม่ใช่แค่ความโหดขึงขังของมัน
ประวัติการถือครองของมันก็ต่างจากคนอื่น แถมที่อยู่ปัจจุบันยังไม่ได้อยู่ในโรงเรียนเอเรียสเลย มันไม่ได้ระบุด้วยซ้ำ!
ประวัติของมันมีอยู่ว่า
‘ดาบเล่มนี้เคยถูกครอบครองโดยผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เทพแห่งการสรรค์สร้าง แต่ด้วยความแข็งแกร่งที่มากเกินไปของเทพทำให้ดาบเล่มนี้ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้มันจึงตัดสินใจแยกจากมา แต่ด้วยความที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของเทพที่แข็งแกร่งที่สุดทำให้โชคชะตาของมันแข็งแกร่งไร้จุดสิ้นสุด กล่าวคือไม่มีใครในโลกสามารถใช้มันได้ … ไม่ใช่ว่ามันไม่ต้องการ แต่เป็นเพราะไม่มีใครจับมันได้นั่นคือโชคชะตาที่แข็งแกร่งของมัน ส่งผลให้มันโดดเดี่ยวไร้จุดหมาย จนสูญหายไปกับกาลเวลา’
นี่ขนาดอวยสุดขีดแล้ว ยังมีเทพสรรค์สร้างที่เหมือนจะถูกอวยหนักกว่านะเนี่ย ก็แหม ที่ผ่านมาเหมือนไม่บอกเหตุผลที่ศาสตราวุธเป็นคนตัดสินใจที่จะแยกจากเพราะตัวเองอ่อนเกินไป ผู้ถือครองแกร่งเกิน
แต่นี่ระบุซะละเอียดเลย อีกอย่างถ้าอาวุธพวกนี้มันเลือกผู้ถือครองเองตามที่บอกไว้ตอนแรก มันก็ต้องเลือกคนที่เหมาะสมและเก่งกาจอยู่แล้ว
แต่นี่ดันเก่งเกินไปจนดาบไม่กล้าอยู่ด้วยเลยนะ.. ดูยังไงมันก็ขัดแย้งใช่ปะละ ดังนั้นฉันเลยไม่ค่อยเชื่อเรื่องนี้เท่าไหร่
อ่านจบก็เก็บหนังสือเข้าไปในเวทมนตร์เก็บของ ก่อนจะออกมาจากมิติส่วนตัว ก็ได้ยินเสียงนกร้องและแดดยามเช้าสาดเข้ามาจากหน้าต่าง
ดูเหมือนฉันจะฝึกหนักทั้งคืนเลยแฮะ แต่ว่ามาคิดถึงอาวุธทั้งห้านั่น ดูเหมือนจะมีชิ้นหนึ่งอยู่โรงเรียนนี้
ฉันคิดว่ามันไม่น่าเชื่อถือเท่าไหร่ แต่จากที่อ่านดูแล้วเหมือนศาสตราวุธพวกนี้จะเป็นอาร์ติแฟ็คที่มีกลไกการทำงานในตัวเอง
หมายความว่าต่อให้ถูกผนึกเวทก็ยังใช้พลังธาตุในอาวุธได้ มันเหมือนกับอาร์ติแฟ็คเลย ไม่สิ.. มันอาจจะเป็นอาร์ติแฟ็คนั่นแหละ
ส่วนอาวุธที่อยู่ในโรงเรียนนี้รู้สึกว่าจะเป็นหอกวารีนั่น.. ถ้าฉันมีมันเกรงว่าฉันอาจจะได้ทางรอดอีกทางเลยแหละ
แต่ว่ามันเลือกผู้ถือครองนี่น่า.. ไม่สิ… มันจะมีอยู่จริงหรือเปล่ามากกว่าเถอะนะ ฉันเองก็ไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่
แต่ตรวจสอบไปก็ไม่เสียหายอะไรนี่นะ ฉันคิดว่าต่อให้มันไม่มีอยู่จริง ก็ถือเป็นโอกาสตรวจสอบโรงเรียนด้วยว่ามีเบื้องลึกเยื้องหลังอะไรไหม
เพราะช่วงนี้แม้แต่ผู้อำนวยการยังไม่อยู่ฉันคิดว่ามันน่าจะเหมาะสมพอดี ถ้าหากมีท่าทีที่ดูน่าจะอันตรายฉันจะรีบหนีออกไปทันที
เพราะไม่รู้ว่าโรงเรียนวางแผนอะไรไว้เหมือนกัน.. ขณะตัดสินใจแบบนั้นเองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
“เก๊าะๆ”
เอ๊ะ.. ใครกันที่มาเคาะประตู เพื่อนของชาร์ล็อตเหรอ? ไม่สิ ชาร์ล็อตกลับบ้านนี่น่า และคนในโรงเรียนก็มีไม่กี่สิบคนเท่านั้น
พอคิดได้แบบนั้นคิ้วฉันก็กระตุก ลางร้ายแล่นมาจนทำเอาขนลุกวูบไปชั่วขณะ.. ฉันคิดว่าลางร้ายนี้…
“ท่านเลทิเซียนี่ข้าเองนะ..”
นั่นไงว่าแล้ว.. ผู้หญิงอาฆาตที่ชื่อทสึรุนั่น!!
ความซวยมาเยือนแล้วสิ..
………………