บทที่ 65 – อาหารเช้ากับทสึรุ
ฉันขมวดคิ้วด้วยความกังวล ควรตอบโต้ยังไงดี ดูจากความสัมพันธ์เมื่อวานแล้วอีกฝ่ายไม่น่าเข้ามาทักเร็วขนาดนี้นี่น่า
แต่ทำไมถึงไม่โจมตีทีเผลอล่ะ ถ้าจะมาฆ่าฉัน.. เพราะว่าถ้าทำให้ฉันรู้ตัวฉันก็เสริมเวทใส่ร่างกายแล้วสิ…
ฉันคิดอยู่พักหนึ่ง .. ก็ได้บทสรุปว่าอีกฝ่ายอาจจะมีแผนการอะไรสักอย่างอยู่จริงๆ บางทีที่มานี่อาจจะมาตรวจสอบอะไรบางอย่าง
หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเมื่อคืนว่าฉันเตรียมรับมือยังไงสินะ ดังนั้นฉันต้องคงสภาพให้เหมือนเมื่อคืนทุกระเบียบนิ้ว
ด้วยทักษะการใช้เวทมนตร์และทักษะการแสดงตีหน้าเซ่อของฉันจึงทำหน้าเหมือนเมื่อคืนมากที่สุด
แต่ฉันคิดว่าอีกฝ่ายคงไม่โง่ขนาดที่จะคิดไม่ได้ว่าฉันกำลังหลอกอีกฝ่าย เลยทำให้นิสัยเป็นเหมือนกับคนโรคจิตข้างถนนด้วย
ถึงจะไม่ขนาดนั้นแต่ก็คงใกล้เคียงกับเมื่อคืนมากขึ้น ถึงแผนเมื่อคืนจะเละไม่เป็นท่า แต่ถ้าทำต่อไปก็มีสิทธิ์ที่จะทำให้อีกฝ่ายขยะแขยงได้
ฉันเปลี่ยนชุดเป็นชุดสวมใส่เล่นอย่างรวดเร็วและรีบเดินไปเปิดประตู แน่นอนว่าฉันตรวจสอบก่อนแล้วว่าอีกฝ่ายจะลอบโจมตีตอนเปิดประตูไหม
แต่ก็ไม่โจมตีน่ะนะ ทสึรุยืนอยู่หน้าประตูด้านหลังถือตะกร้าอาหารที่สานจากไม้อยู่ คิดจะทำอะไรกันแน่
“อรุณสวัสดิ์ค่ะ ท่านเลทิเซีย”
“ไม่ต้องเรียก ท่าน ก็ได้นะ”
ฉันพูดออกไป ก็นะ ฉันไม่ชินสุดๆ นี่น่า แล้วก็แบบว่าถ้ามีใครมาเรียกท่านโดยเฉพาะศัตรูคู่อาฆาตนี่มันคงจะดูหวานแหวว จนทำให้เข้าใจผิดไปว่าไม่ใช่ศัตรู
อะไรทำนองนั้นนี่น่า นี่เป็นเหตุผลที่ฉันไม่ชอบใก้คนเรียกท่าน.. แถมฉันก็เป็นองค์หญิงเก๊ด้วยอะนะ เลวี่ต่างหากองค์หญิงจริงๆ
“เอ๋..แบบนั้นมัน..”
“….”
ฉันไม่ได้พูดอะไร เหมือนว่าเธอจะมีทักษะที่สูงพอสมควรคือการไม่ซักไซ้มากความนั่นเอง เหมือนกับชาร์ล็อต
เธอพยักหน้าแล้วพูด
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“แล้วมีธุระอะไรกับฉันงั้นเหรอ ที่มาแต่เช้าแบบนี้น่ะ?”
ฉันถามออกไปโดยไม่รีรอ ถึงจะไม่รู้ว่าวางแผนอะไรไว้ แต่ถ้ารู้เป้าหมายอีกฝ่ายละก็ อาจจะพอเดาแผนการได้ก็ได้ ฉันคิดแบบนั้น
แล้วทสึรุก็เอาตะกร้าอาหารออกมายื่นให้ ดูเหมือนนิ้วเธอจะมีรอยแผลด้วย สายตาฉันจ้องไปที่รอยแผลเมื่อคืนไม่มี จนเธอสังเกตเห็น เธอรีบชักมือกลับก่อนที่จะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น
“เออ.. ในเมื่อพวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วก็มาทานอาหารเช้าด้วยกันเถอะค่ะ ท่า— เลทิเซียคงยังไม่ทานอาหารเช้าใช่ไหม ข้าพอทำอาหารเป็นอยู่บ้างน่ะ”
“ห๊า?”
ฉันถึงกับเป็นงง อาหารเหรอ มีพิษแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ใช่หรือไงเนี่ย ฉันลังเล แต่จะปฏิเสธทันทีก็คงดูแปลกไป
แบบว่าอีกฝ่ายอาจจะรู้ทันว่าฉันมองแผนออก ดังนั้นต้องหาข้ออ้างดีๆ อย่างเป็นธรรมชาติเพื่อให้อีกฝ่ายคิดว่าฉันมีเหตุจำเป็นจริงๆ
แต่นึกยังไงก็นึกไม่ออก ถ้าบอกว่ากินแล้วนี่ก็คงไม่ได้ ก็อาหารอยู่ที่โรงอาหาร แต่ฉันยังอยู่ที่ห้องอยู่เลย
อ้อ.. จริงสิ.. อาจจะใช้ประโยชน์จากอันนี้ก็ได้นี่น่า ฉันกัดฟันถึงจะรู้สึกว่าสิ่งนี้มันดูน่าขยะแขยงไปหน่อยก็เถอะ…
“ฉันน่ะ.. ไม่กล้ากินอาหารของเธอหรอก เพราะว่าคุณค่าของอาหารชิ้นนี้มันเหมาะแก่การเก็บเป็นสมบัติตระกูลมากกว่า”
ถึงเมื่อวานจะล้มเหลว แต่ถ้าทำให้น่าขยะแขยงก็คงไม่คิดอยากเข้าใกล้อยู่ดี คำที่พูดออกไปคือคำที่ฉันคิดว่าน่าขยะแขยงมาก
ก็แบบคนอะไรจะเอาอาหารไปทำเป็นสมบัติตระกูล มันคงเน่าเสียหมด แถมลูกหลานต้องบูชาอาหารเน่า.. น่าขยะแขยงไหมล่ะ
(น่าขยะแขยงก็น่าขยะแขยงอยู่แหละ บูชาอาหารเน่า.. แต่ไม่ใช่ในแง่ความโรแมนติกของความรักน่ะนะ)
“หะๆ พูดอะไรกันคะ?”
เธอหัวเราะและยิ้มออกมาก่อนจะหันหน้าหนีเล็กน้อย เพราะผมยาวฉันเลยไม่เห็นหน้าเธอว่าโกรธอยู่หรือเปล่า หรือทำหน้าขยะแขยงอยู่ไหม
แต่เสียงของเธอดูสงบมาก บางทีอีกฝ่ายคงรู้แผนของฉันแล้วสินะ.. แบบนั้นแย่เลยนะเนี่ย
(ในความเป็นจริง ทสึรุกำลังหัวใจเต้นแรงเพราะไม่กล้าสบตา เธอเข้าใจว่าเลทิเซียเห็นนิ้วเธอบาดเพราะเธอฝึกทำอาหารมาให้เลทิเซีย
ดังนั้นเลทิเซียเลยพูดประโยคแบบเก็บเป็นสมบัติตระกูลออกมา ก็อารมณ์ประมาณว่า ‘ความพยายามนี้เหมาะแก่การดูแลรักษา’
เลยทำให้เลทิเซียไม่กล้ากิน เลยอยากจะดูแล แต่เพราะทสึรุเคยโดนเลทิเซียพูดแบบนี้มาแล้วเธอจึงตอบสนองทันไม่กล้าให้เลทิเซียเห็นหน้าที่แดงเหมือนลูกแอปเปิลของเธอ
ในขณะเดียวกันหัวใจทสึรุก็เต้นระรัวไม่แพ้กัน เพราะไม่คิดว่าเลทิเซียจะเห็นคุณค่าอาหารของเธอถึงขนาดนี้)
“ฉันพูดจริงๆ นะ..”
ฉันพูดออกไปด้วยความกล้าๆ กลัว เพราะคิดว่าเธอมองแผนฉันออกแต่ไม่รู้ทำไมเธอรีบหันหน้ามาแล้วพูด
“ข้าเชื่อเลทิเซียนะ แต่ข้าแค่อยากให้เจ้าลองชิมอาหารของข้าสักหน่อย…”
ว่าแล้วเธอก็ทำหน้าหงอย.. ขืนปฏิเสธมากกว่านี้เป็นพิรุธแน่ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะยอมใช้ไม้อ่อนขนาดที่เรียกว่าการอ้อนวอน
เพราะถ้าฉันยังดึงดันปฏิเสธการอ้อนวอนต่อไปมันก็เหมือนการแสดงความใจดำ ซึ่งแน่นอนว่านั่นหมายถึงการแตกหัก อีกฝ่ายคงมองออกแน่นอนว่าตนรู้ทันอีกฝ่าย
แต่การอ้อนวอนแบบนี้มันเสียหน้าพอสมควร ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะกล้าทำจริงๆ .. แต่ว่าพิษน่ะก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้นหรอก!
ถ้าจะมาแตกหักตรงนี้ขืนอีกฝ่ายทุ่มกำลังเอาชนะฉันคงแย่แน่ ดังนั้นทางออกที่ดีที่สุดคือการฝืนทนกิน เพราะวิธีการกันพิษของฉันใช่ว่าจะไม่มีทีเดียว
เพราะตลอดสิบสาม สิบสี่ปีที่ผ่านมา ฉันต้องระวังเรื่องพิษทุกวี่ทุกวัน นั่นหมายความว่าฉันต้องหาทางป้องกันเสมอ
ว่าง่ายๆ ฉันเติบโตมาพร้อมกับความเสี่ยงที่จะโดนพิษได้ทุกคราบนั่นเอง! (แต่เจ้าตัวคิดเองเออเองอะนะ)
“ก็ได้ๆ .. เข้ามาในห้องสิ”
ฉันเชิญเข้ามา อีกฝ่ายก็เข้ามาในห้อง.. เท่านี้ฉันก็ถือไพ่เหนือกว่าแล้วหากมีอะไรผิดปกติอุปกรณ์เวทมนตร์กับดักจะทำงานทันที
หลังจากนั้นเธอก็วางตะกร้าอาหารลงบนโต๊ะทานอาหารในห้อง แล้วก็เปิดตะกร้าออกข้างในเป็นแซนด์วิชแล้วก็น้ำส้ม
ทั้งยังมีสลัดผักที่สีสันดูสวยสุดงดงามอยู่พอสมควร
“เชิญเลย ถึงจะหัดทำครั้งแรกก็เถอะนะ… สลัดผักนี่เป็นอาหารที่เลทิเซียชอบใช่ไหมล่ะ?”
อ๊ะ เธอรู้ได้ไง ว่าแล้วเชียว! ทสึรุกำลังวางแผนจะทำอะไรสักอย่างอยู่ (ก็เลทิเซียเวลากินสลัดผักชอบทำหน้ามีความสุขไม่แปลกที่คนอื่นจะรู้)
เธอพูดแบบนั้นก็หยิบแซนด์วิชขึ้นมาหนึ่งชิ้น เอาล่ะ.. วิธีป้องกันที่รวดเร็วของฉันคือการจัดการศัตรูอย่างรวดเร็ว และด้วยความกลัวจะถูกอีกฝ่ายมองแผน
ฉันจึงหยิบแซนด์วิชชิ้นหนึ่งเข้าปากแล้วก็เคี้ยวจนแก้มพองออกมา แต่รีบกลืนและยัดชินต่อไป สลับกับสลัดผัก
เพราะการกินเร็วเกินไปจนแทบไม่รู้สึกถึงรสชาติใดๆ ฉันใช้เวลาไม่กี่นาทีก็หมดเกลี้ยงแล้ว แต่แก้มของฉันยังบวมออกมาอยู่เลยเพราะอาหารเต็มปาก
“เอ่อ.. ค่อยๆ กินก็ได้นะ”
“อึก.. อือออ”
แย่ละ แซนด์วิชติดคอด้วยความตกใจฉันทุบหน้าอกอย่างรุนแรงจนอาหารไหลลงท้องรวดเร็วและรีบใช้พลังเวทสกัดกั้นแซนด์วิชทั้งหมดไม่ให้สารพิษถูกย่อยสลายออกมา
ใช่แล้วที่ฉันรีบกินก็เพราะว่าเพื่อที่จะไม่ให้พิษมันทยอยกระจาย ไม่งั้นระงับไม่ทัน ดังนั้นเลยยัดไปรวดเดียวและป้องกันพิษทั้งหมด
แค่นี้ก็เสร็จสมบูรณ์ อันที่จริงที่ไม่ได้รสชาติเพราะฉันป้องกันลิ้นเพราะอาจจะมีพิษทำลายการรับรสด้วยเลยป้องกันไว้ก่อน แต่ก็เพราะแบบนั้นเลยไม่ได้รสชาติอะไร
…….