บทที่ 83 – โลกด้านนอก
ย้อนกลับไปหลายวันก่อนหน้านี้ ที่โลกด้านนอกชิ้นส่วนเวหานั้น หลังจากที่แสงสีขาวสาดส่องไปยังโรงเรียนทั้งห้า
มันทำให้พื้นที่รอบโรงเรียนต่างพากันตกใจ เพราะพวกเขาเองก็ทราบว่าอีกหลายวันค้างหน้าต่างหากที่จะเริ่มการเคลื่อนย้าย
ข่าวลือจึงถูกแพร่สะพัดไปทั่วผืนทวีป และด้วยความเร็วนี้เองครูของโรงเรียนหลายโรงเรียนก็ต่างพากันรีบตะบึงกลับมา
เพราะมันเกิดขึ้นเร็วจนเกินไป ทำให้พวกเขาต่างพากันตื่นตระหนก เมื่อมาถึงโรงเรียน ก็พบว่าไม่มีใครเหลืออยู่ในโรงเรียนซะแล้ว
ข่าวนี้มันแพร่สะพัดเหมือนไฟลามทุ่ง ไม่นานพวกนักเรียนเองก็ได้ทราบข่าวนี้เช่นกัน.. ในที่ไหนสักแห่งบนทวีป
ภายในป่าลึกที่มีต้นไม้สูงหลายสิบเมตร แต่ละต้นมันมีลำต้นใหญ่จนน่ากลัว และรอบๆ นั้นก็มีบ้านที่ถูกสร้างบนต้นไม้
และบนพื้นดิน ราวกับเป็นภาพในจินตนาการเลยก็ว่าได้ แม้จะไม่ใช่หมู่บ้านที่ใหญ่โตอะไรแต่ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวา สงบสุข ร่มชื้นและความสบายใจ
บนต้นไม้ต้นหนึ่งตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้านมีบ้านไม้หลังหนึ่งตั้งอยู่เด่นชัดพิเศษ นี่แน่นอนว่าต้องเป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านเล็กๆ นี้แน่
ภายในบ้านหลังนั้นมีเลวี่กำลังยืนอ่านหนังสือในห้องหนังสืออยู่ ห้องหนังสือแห่งนี้เต็มไปด้วยหนังสือเก่าแก่โบราณ
เห็นถึงความอยู่มายาวนานของมันเลย ข้างๆ มีอิซานะยืนอยู่แล้วก็ถามเลวี่ที่ยืนอ่านหนังสือเล่มหนึ่งอยู่ว่า
“อ่านออกแล้วหรือยัง?”
“อ่านไม่ออกหรอก แต่หนังสือเล่มนี้มัน..”
น่าตกใจคือมีภาษาที่เลวี่อ่านไม่ออกด้วย? ต้องทราบก่อนว่าขนาดเลทิเซียยังฝึกภาษาเพื่อที่จะไม่ได้ไปติดในที่ที่ไม่สามารถเข้าใจและอาจจะโดนหลอก
เธอจึงฝึกอย่างถึงที่สุด แต่เลวี่นั้นหัวดีกว่าเลทิเซียมากนัก ถ้าหากเลทิเซียสามารถฝึกได้เลวี่ก็ทำได้
แม้บนโลกนี้จะมีแค่สามภาษาที่ใช้กัน กับอีกหนึ่งภาษาที่เป็นภาษากลางซึ่งทุกคนจะถูกจับให้เรียนรู้มาตั้งแต่เกิด
แต่ว่าไม่มีใครที่ไหนที่บ้าสนใจภาษาโบราณที่มีนับไม่ถ้วนหรอกนะ ยกเว้นพี่น้องคู่นี้น่ะนะ
แต่ในตอนนี้มีหนังสือเล่มหนึ่งที่เลวี่อ่านไม่ออก อันที่จริงที่มันดูเก่าเพราะว่าหนังสือถูกหุ้มไว้ด้วยหนังสัตว์เก่าๆ นั่นแหละ
ตัวหนังสือก็ไม่ได้เก่าโบราณอะไรขนาดนั้น พอได้ยินคำตอบของเลวี่อิซานะก็พยักหน้า เพราะครั้งแรกที่มาถึงเธอก็แปลกใจแล้ว
เพราะเลวี่คือคนที่แทบจะเป็นคนที่หัวดีสุดๆ แถมเธอยังพูดได้ทั้งสามภาษา ทั้งภาษาเดม่อน ภาษากลางและภาษาเอล์ฟที่พวกเธอใช้อยู่
แน่นอนว่าภาษาฮิวที่เป็นของมนุษย์ เธอเองก็ต้องพูดได้… แถมยังเหมือนจะรู้จักภาษาโบราณ หลายอันอีกด้วย
“แต่ฉันคิดว่าเนื้อหาตามรูปน่าจะเป็นสิ่งที่เธอตามหาน่ะนะ..”
“ใช่.. ดูเหมือนว่าจะเป็นการเกิดใหม่จริงๆ .. จากที่ข้าพอเข้าใจคือ..”
นิ้วของเลวี่เปิดไปหน้าแรกและชี้ไปที่ภาพแรกของหนังสือ อันที่จริงหน้าแรกของหนังสือเล่มนี้ดูเหมือนจะไม่ได้เริ่มจากซ้ายมือ แต่เป็นขวามือ
“นี่เป็นโลกอีกใบ เพราะจากภาพแล้วมันดูเหมือนจะเป็นบ้านที่ทำจากหินอ่อนและใช้กระจกจำนวนมาก แต่พวกเขาหากระจกได้เยอะแบบนั้นได้ไง?”
“นั่นสิ…”
“อีกอย่างดูที่หน้านี้ มันมีอุปกรณ์บางที่เหมือนจะไม่ได้อธิบายอะไรเลยว่ามันคืออะไร มันเหมือนกับนวนิยายแต่นำเสนอแบบนิทานที่เน้นไปที่ตัวหนังสือและภาพ”
เธอชี้ไปช่องที่มีคนกำลังถือของบางอย่างแนบใส่หู และพูดคนเดียวใส่อุปกรณ์นั้น จะว่าอุปกรณ์เวทก็ไม่น่าจะใช่ แล้วมันคืออะไร
ว่าแต่ไอ้สิ่งนี้มันคืออะไร เลวี่ยังไม่รู้จักเลย จะว่าเป็นหนังสือส่งเสริมความรู้เชิงวิชาการก็ไม่น่าใช่ จะเป็นนิทานก็ไม่ใช่อีก
เลวี่จึงได้แต่งุนงงและไม่ทราบคำถาม ก่อนที่เธอจะถามขึ้น
“หนังสือพวกนี้ได้มาจากใครงั้นเหรอ?”
“ฉันเองก็ไม่รู้ เหมือนจะเป็นของที่ตกทอดมาตั้งนานแล้ว เรื่องราวของมันเลยแทบสูญหาย แต่ฉันได้ยินมาว่ามีคนมาฝากไว้น่ะ”
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงแม่ของอิซานะก็ดังขึ้นพร้อมเปิดประตูเข้ามาหาทั้งสองคน
“อิซานะ คุณเลวี่.. ดูเหมือนจะมีข่าวจากทางโรงเรียนมาถึงบ้านน่ะ”
ว่าแล้วเธอก็ยื่นจดหมายสีขาวให้ เนื่องจากประเทศของเหล่ากึ่งมนุษย์เป็นประเทศที่ไม่ค่อยติดต่อกับมนุษย์
ทำให้ข่าวปากต่อปากไม่มีทางมาถึงพวกเขาแน่ๆ จึงใช้วิธีส่งจดหมายพอเลวี่เปิดอ่านดวงตาของเธอก็เบิกกว้าง
“แย่แล้ว!”
“มีอะไรงั้นเหรอ?”
“ชิ้นส่วนเวหาทำงานเร็วกว่าปกติ… และท่านพี่เองก็ถูกดูดเข้าไป!”
“อะไรนะ?!”
เลวี่ไม่รออะไรเก็บหนังสือเข้าที่เดิมแล้วรีบวิ่งออกมาทันที แต่ว่าอิซานะกลับเก็บมาด้วยเพราะคิดว่าถ้าหากศึกษาไปอีกเลวี่อาจจะอ่านออก
ทั้งคู่รีบมุ่งหน้ากลับโรงเรียนโดยไม่พัก เลวี่มาถึงก็พบว่าในโรงเรียนก็เต็มไปด้วยนักเรียนหลายสิบคน
เลวี่กัดฟันรีบเข้าไปในโรงเรียน.. เธอรีบเดินไปยังห้องผู้อำนวยการอย่างอุกอาจ หลังจากที่เธอทราบข่าวเธอก็ตะบึงกลับมาด้วยความรีบร้อน
“ปัง!”
เธอเปิดประตูเข้าไปโดยไม่รีรออะไร แต่ข้างในห้องผู้นวยการตอนนี้ก็มีคนอยู่ก่อนแล้ว แถมคนที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกับผู้อำนวยการคือคนที่เลวี่รู้จักดี
“ท่านพ่อ ท่านแม่ ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้?!”
“เลวี่! แสดงว่ามีแค่เลทิเซียสินะ แล้วลูกทำไมทิ้งให้พี่อยู่คนเดียวล่ะ?”
คนที่พูดขึ้นคือท่านแม่ของเธอ เลเวีย ทีน อาเดฟ เลวี่ถึงกับหยุดชะงักเธอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ
“เอ่อ.. คือว่า….”
แต่ลูเซียโน่ก็พูดขึ้นหลังจากเห็นท่าทางของเลวี่ เขารู้ทันทีว่าพี่น้องคู่นี้ทะเลาะกันแล้ว แต่น่าแปลกใจมาก
เพราะตั้งแต่เกิดมาลูเซียโน่ไม่เคยเห็นพี่น้องคู่นี้ทะเลาะกันเลยอันที่จริงทั้งคู่สนิทกันจนน่ากลัวเลยมากกว่า
พอเลวี่เห็นพ่อกับแม่เธอเลยสงบอารมณ์ลงได้ ตอนแรกเธอมาเพราะคิดว่าจะให้พวกเขาส่งเลวี่ตามไปด้วย
แต่พอเห็นพ่อแม่ เธอก็คิดได้ทันทีว่าพ่อแม่ก็คิดแบบเดียวกับเธอเพราะเป็นห่วง อันที่จริงมีแค่โรงเรียนลิเบอร์นี้ที่ได้ไปโลกฝั่งนั้นโดยไม่มีคนคุ้มกันอย่างคุณครู
หรือแม้แต่ข้อมูล แถมยังมีจำนวนไม่กี่สิบคนเท่านั้น แถมน่าจะแยกกันซะด้วยซ้ำ ดังนั้นสถานการณ์ของเด็กๆ พิจารณาได้เลยว่าแย่มาก อาจจะตายได้เลย
“พ่อรู้ว่าเลวี่คงมาที่นี่เหตุผลเดียวกับพ่อ แต่ดูเหมือนว่าชิ้นส่วนเวหาจะไม่สามารถบังคับเปิดได้ คงมีแต่ต้องรอเท่านั้นแหละ”
“แต่ว่า…”
เลวี่กับเลเวียพูดพร้อมกัน ลูเซียโน่อดคิดไม่ได้ว่าแม่ลูกคู่นี้เหมือนกันอย่างกับแกะ เขาส่ายหน้าแล้วพูดขึ้น
“อันที่จริงมาคิดดูดีๆ เลทิเซียเป็นคนระวังตัวอยู่แล้ว อีกอย่างเวทมนตร์แต่ละอันของเธอมีแต่อันที่น่ากลัว ขนาดหอคอยพระเจ้าเธอยังทุบพังมาแล้— อ๊ะ อันนี้ห้ามพูดสินะ”
ทุกคนในห้องถึงกับชะงักกับคำพูดของลูเซียโน่ เพราะในห้องนอกจากผู้อำนวยการยังมีครูอีกหลายคน ดูท่าว่าสถานะผู้กล้ากับครึ่งเทพปรากฏตัวพร้อมกันจะสร้างความตระหนกไม่น้อย
ถ้าไม่ต้อนรับดีๆ มีหวังผิดใจกันแน่ๆ .. แต่ว่าในตอนนั้นชิสุที่ยืนอยู่ข้างๆ ริวคุงของเธอก็พูดขึ้น
“ฉันเองก็ไม่อยากพูดตัดความหวังพวกคุณหรอกนะ แต่ก็ไม่อยากโกหกเหมือนกัน”
“คุณชิสุ…”
ตอนนั้นเองผู้อำนวยการก็พยายามห้ามชิสุ แต่เธอก็ส่ายหน้าพร้อมพูดขึ้นว่า
“ไม่เป็นไรหรอก อีกไม่นานข่าวนี้ก็แพร่กระจายอยู่ดี… ความจริงแล้วโลกในชิ้นส่วนเวหาน่ะ ไม่ว่าจะเป็นเวทมนตร์รูปแบบไหนก็ตามยกเว้นทักษะจะไม่สามารถใช้งานได้เลย.. เพราะว่ากฎเกณฑ์ของโลกใบนั้นคือกฎเกณฑ์ที่แตกต่างจากโลกนี้โดยสิ้นเชิง!”
“อะไรน่ะ?!”
พ่อ แม่ ลูก สามคนตกใจทันที ชิสุพูดต่อว่า
“และดูจากระดับชั้นเรียนแล้ว คงยังไม่ทำพันธะสัญญาเทพ กล่าวคือพวกเธอยังใช้ทักษะไม่ได้.. ไม่สิ อาจจะยังไม่รู้จักด้วยซ้ำ..ดังนั้นพวกเด็กๆ ที่อยู่ในอีกโลกตอนนี้.. ก็เป็นแค่คนธรรมดาไร้พลังเวทมนตร์ นั่นเป็นเหตุผลที่พวกเราใช้เวลาเตรียมการนาน เพื่อที่จะให่มีวิธีรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ”
เมื่อเลวี่ได้ฟังจนจบหูของเธอก็แทบไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย.. หัวใจเต้นเร็วขึ้น คำพูดสุดท้ายที่เธอได้พูดกับเลทิเซียคืออะไรนะ..
ไม่เกี่ยวกับท่านพี่สินะ…
ร่างของเลวี่หมดสิ้นเรี่ยวแรงและหน้ามืดและหมดสติทันที อาจจะเพราะรีบกลับมายังโรงเรียนโดยไม่พักข้ามวันข้ามคืน แถมไม่ได้กินอะไรมันเลยทำให้เธอสลบไป
แต่เหตุผลอีกส่วนคือ.. สภาพจิตใจของเธอ และรู้สึกผิดที่ทิ้งให้พี่อยู่คนเดียว เพราะความขี้ขลาดของเธอไม่กล้าพูดหรือบอกอะไรกับเลทิเซีย
จึงถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง… แม้ว่าเธอจะพยายามไล่ตามมาตลอดแต่ครั้งนี้ราวกับว่านะยะห่างนั้นมากขึ้น.. มากขึ้นยิ่งกว่าอะไร
…….