บทที่ 102 – ทางออกอีกทาง
เซเลียสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แม้เธอจะไม่ทราบข่าวการเข้าเรียนของพี่น้องอัจฉริยะคู่นี้ก็ตามที แต่ดูเหมือนว่าจะไปอยู่โรงเรียนลิเบอร์แบบนั้นสินะ
“เอ๋… แต่แบบนั้นเจ้ากับท่านเลทิเซียก็เป็นเพื่อนกันไม่กี่เดือนเองน่ะสิ”
“อืม.. จริงๆ ข้าก็ได้คุยกับเลทิเซียไม่กี่สิบวันก่อนนี่เองและถึงข้าจะคิดแบบนั้นแต่ไม่รู้ว่าเลทิเซียคิดแบบเพื่อนกับข้าหรือเปล่านะ ฮะๆ”
ทสึรุตอบกลับด้วยสีหน้าแปลกๆ ทำเอาเซเลียถึงกับงุนงงขึ้นมาอีกครั้ง ถ้ารู้จักกันแค่ไม่นานแล้ว ทสึรุผูกพนกับเลทิเซียขนาดนั้นได้ยังไง?
เซเลียศึกษาเรื่องพฤติกรรมและอารมณ์ของมนุษย์มา เพราะในอนาคตเธอจะกลายเป็นราชินี อยู่เหนือคนนับล้านอยู่ใต้คนคนเดียว
เธอถูกฝึก ถูกสอนมาเพื่อเป็นคนที่สามารถปกครองประเทศและเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ความโลภ ความเห็นแก่ตัว ต่างๆ
เรียกได้ว่าเธอเป็นหนึ่งในผู้ที่สามารถเล่นจิตวิทยาปั่นหัวชาวบ้านจนฆ่าตัวตายได้ด้วยแค่ใช้ริมฝีปาก
เอ่อ..อาจจะยังไม่ถึงขั้นนั้นจริงๆ แต่เธอก็เข้าใจธรรมชาติมนุษย์มากกว่าทสึรุและแอนนี่อย่างแน่นอน
เธอรู้ว่าหากความผูกพันกันที่บังเกิดขึ้นมา ช่วงเวลาคือสิ่งที่สานสายสัมพันธ์คนเราได้ดีที่สุด แน่นอนว่าหากผูกพันในช่วงเวลาสั้นๆ
แล้วสูญเสียใครคนหนึ่งไป การที่จะเศร้ามันไม่ใช่เรื่องแปลก อันที่จริงความเศร้านี้ไม่ได้จำกัดว่าพวกเขาต้องรู้จักกันมานานแค่ไหน
เพราะเมื่อมีการสูญเสียย่อมเป็นธรรมดาที่จะเศร้าสุดแสน.. ตรงกันข้ามหากรู้จักกันมานานแสนนาน ผูกพันกันมานาน
แต่ถ้าหากว่าเลิกรากันไปแล้ว เมื่อเกิดการสูญเสียความเศร้านั้นจะไม่มากเท่าแบบแรกที่กล่าวไป!
ใช่แล้ว แม้จะบอกว่าช่วงเวลาที่ใช้ในการสานสัมพันธ์จะสำคัญ แต่ก็ไม่สำคัญในเวลาเดียวกัน สุดท้ายตัวแปรทั้งหมดอยู่ที่ ‘มนุษย์’
ว่าตอนนั้น ตอนที่เกิดการสูญเสียขึ้นมา คิดอย่างไรกับอีกฝ่ายอยู่นั่นเอง!
แต่นั่นที่กล่าวไปคือในกรณีของความเศร้า เพราะต่อให้เลิกรากันไปแล้วก็เศร้าได้ เพียงขึ้นอยู่กับว่าเศร้ามากเศร้าน้อย! แต่ทุกอย่างยังเป็นแค่ความเศร้า
แต่ในกรณีของทสึรุนั้น มันคือความสิ้นหวัง! และเซเลียก็มองออกดีจากท่าทางที่ต้องการปกป้องศพของทสึรุ
เธอเคยสิ้นหวังจนแทบเป็นบ้า พอหลอกตัวเองได้สำเร็จเลยกลัวสิ่งนั้นจะเกิดขึ้นอีก เธอเลยแยกเขี้ยวใส่ศัตรูทุกคนที่เข้ามาหา
ในเมื่อเธอเศร้าจนถึงขั้นสิ้นหวังขนาดนี้ เซเลียคิดว่าทั้งสองต้องผูกพันกันมานานแสนนาน เลทิเซียเป็นคนคนเดียวในชีวิตของทสึรุที่เธอให้ความสำคัญ
แต่มันไม่ใช่…
เมื่อเป็นแบบนี้ความเป็นไปได้เดียวคือ.. มีจุดพลิกผันของทั้งสองคนทำให้ทสึรุยึดติดกับเลทิเซียมาก
บางทีอาจจะมีบางอย่างกระตุ้นให้ทสึรุเศร้าและสิ้นหวังหลายครั้งต่อหลายครั้ง.. พอเธอลุกขึ้นมากลับเจอเรื่องโหดร้าย
ทำให้เธอสติแตกและหลอกตัวเอง! และจุดพลิกผันที่ว่าคงเป็นตอนที่เลทิเซียตายแน่ๆ .. นี่คือสิ่งที่เซเลียสรุปออกมาได้
และมันก็น่าตกใจเพราะเธอเดาถูกแทบทั้งหมดเลยก็ว่าได้ เธอมองไปที่ทสึรุสักพักก่อนจะส่ายหัว
“บางทีเธออาจจะตามหาสิ่งสำคัญในชีวิตมาตลอด.. พอเจอสิ่งที่ ‘คาดว่า’ น่าจะเป็น.. แต่เธอก็สูญเสียมัน แต่ทว่าพอมีความหวังใหม่ขึ้นมาอีกรอบ ก่อนที่มันจะพังทลายไปต่อหน้าต่อตา.. เป็นเด็กที่น่าสงสารคนหนึ่ง..”
เธอถอนหายใจออกมา ตั้งแต่เกิดมาเซเลียไม่เคยเห็นมนุษย์คนไหนที่เป็นแบบนี้ ไม่สิ.. ตั้งแต่ที่เธอเข้าใจมนุษย์มากขึ้น
เธอก็รู้ว่าทุกอย่างมันไม่ง่ายดายและมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยความกระหาย และโลภมาก น่ากลัว หากตั้งคำถามว่าอะไรน่ากลัวที่สุด
เซเลียจะไม่ตอบว่าเวทมนตร์ ภูตหรือเทพ แต่เธอจะตอบว่าจิตใจของมนุษย์อย่างไม่ลังเล แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า….
โลกไม่ยุติธรรมกับเธอคนนี้ ไม่มีพ่อไม่มีแม่ อยู่คนเดียวในโลกอันมืดมิด แต่พอมีแสงสว่าง แสงนั่นก็มอดดับในเวลาต่อมาไม่นานนัก
บางทีมันก็เหมือนการเล่นตลกของพระเจ้านะ เพราะทุกอย่างมันราวกับบังเอิญเกินไป และมาลงอยู่ที่คนคนเดียว
“เฮ้อ…”
“เซเลีย..”
พอเซเลียถอนหายใจออกมา แอนนี่ก็มองเซเลีย เธอเป็นคนที่เข้าใจเซเลียมากที่สุด แม่จะตามความคิดของเซเลียไม่ทันบ้าง
และเธอจะชอบหลงตัวเอง มีโลกส่วนตัวสูง แต่เซเลียไม่ใช่คนไม่ดี เธอพร้อมที่จะเป็นคนชั่วเพื่อทำเป้าหมายให้สำเร็จ แต่เธอไม่ใช่คนเลือดเย็น
“ไม่ต้องพูดเลย ที่ข้าทำแบบนี้เพราะยังไงซะพวกเราก็ติดอยู่ในนี้แล้ว และการยืมมือผู้อื่นมาช่วยในการหาทางออกมันดีกว่าหาสองคนอยู่แล้วใช่ไหมล่ะ!”
“เหรอ.. แล้วเรื่องอาร์ติแฟ็คนั่นล่ะ”
แอนนี่มองเซเลีย เธอเป็นคนที่เดินตามเซเลียตลอดไป ไม่ว่าจะบนดินใต้ดินหรือบนฟ้า เธอเชื่อลูกพี่ลูกน้องต่างต้นตระกูลนี้อย่างสุดใจ
“จะยุ่งยากอะไรกันล่ะ ถ้าทสึรุได้ก็ดีข้าจะได้ใช้มันสมองของข้าพิสูจน์ว่าตัวเองมีคุณค่าแก่การทวงบัลลังก์กลับคืนมา ไม่ให้ท่านพ่อกับท่านแม่ผิดหวัง!”
“แต่ถ้าพวกเราได้.. เราจะไปทวงบัลลังก์คืนในทันที!”
ดวงตาของเซเลียเปล่งประกาย เธอรู้ว่าทสึรุน่ะแข็งแกร่ง เพราะงั้นหากบอกเธอไป เซเลียคิดว่าโอกาสที่พวกเธอจะได้อาร์ติแฟ็คชิ้นนั้นน้อยลงไปเยอะมากแน่ๆ
แต่เธอก็ไม่คิดจะยอมแพ้ เธอกำลังจะท้าทายตัวเอง! อันที่จริงทุกอย่างที่กล่าวมาเธอแค่หาข้ออ้างที่มีเหตุผลสุดแสนจะเพียบพร้อมมาเพื่อ..
..อยากจะช่วยอะไรสักอย่างดกับทสึรุเท่านั้น เพราะเธอรู้สึกว่าทสึรุน่าสงสาร และเมื่อทสึรุอยากออกไป เธอก็จะบอกทสึรุ
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผลประโยชน์ที่พูดก่อนหน้านี้เลย เรียกได้ว่ามีแต่ได้กับได้ ข้อเสียคงมีแค่คู่แข่งเพิ่ม
เซเลียลุกขึ้นยืนทันที การลุกขึ้นยืนของเธอทำให้ทสึรุหันไปมองพร้อมๆ กับแอนนี่ เธอใช้มือสยายผมตัวเองออกก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงของคุณหนูขุนนางผู้สูงศักดิ์
“ฟังข้านะ เจ้าสามัญชน!”
“…?”
“จงมาร่วมมือกับข้า ถ้าหากอยากออกไปจากโลกนี้”
“เอ๋ หมายความว่าไงงั้นเหรอ?”
ทสึรุที่สับสนก็ถามออกมาอย่างงงๆ ก็อีกฝ่ายบอกวิธีออกมาแล้วนี่ จะร่วมมืออะไรอีก ทำให้ทสึรุสับสนและมองอย่างสงสัย
“อันที่จริง ทางออกที่ข้าพึ่งบอกไปเป็นแค่หนึ่งวิธี ส่วนอีกทางก็คือ…”
สายตาเธอค่อยๆ หันไปยังทิศทางของใจกลางเกาะ ก่อนจะชี้นิ้วเข้าไปทางนั้นด้วยสีหน้ามั่นใจ
“ไปใจกลางของเกาะแห่งนี้เพื่อเอาอาร์ติแฟ็คที่ทำให้เกิดมิตินี้ขึ้นมา เท่านั้นเราก็จะสามารถกลับสู่โลกเดิมของเราได้ในทันที!”
“เอ๊ะ.. แต่ว่าที่นั่น.. ข้าเห็นพื้นดินเป็นสีดำแล้วก็มีสายฟ้าวิ่งไปทั่วด้วยนะ.. จะเข้าไปยังไงล่ะ?”
“นั่นอาจจะเป็นบททดสอบหรืออะไรสักอย่างนั่นแหละ! แต่ว่าข้ามั่นใจได้เลยว่า หากเอาอาร์ติแฟ็คในนั้นออกมาได้จะสามารถออกไปจากโลกนี้! เอายังไงล่ะ เจ้าสามัญชนจะร่วมมือกับตัวข้าคนนี้หรือไม่?!”
“…”
ทสึรุลังเล.. มองไปที่เซเลียกับแอนนี่สักพัก ก่อนจะหันมามองเลทิเซีย บางทีหากพาเลทิเซียกลับไปโลกด้านนอกแล้วจะมีวิธีช่วยเลทิเซีย
ช่วยเลทิเซียตื่นจากฝัน อย่างน้อยมันก็ดีกว่าอยู่กับทสึรุที่รักษาอะไรไม่เป็นไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่าแหละ ดังนั้น…
ยิ่งรีบออกไปด้านนอกเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งหาสาเหตุที่เลทิเซียหลับไม่ยอมตื่นได้เร็วยิ่งขึ้น
ทสึรุเลยเห็นสายฟ้ามาก่อนแล้ว เธอรู้ว่ามันรุนแรงขนาดไหน ซึ่งถ้าเซเลียเห็นคงลังเลไม่ต่างจากทสึรุเท่าไหร่นัก
ทว่าเมื่อผลลัพธ์ของมันช่วยเลทิเซียได้ เธอจึงไม่ลังเลอีกต่อไป เธอหันหน้าไปมองเซเลียก่อนจะพยักหน้าตอบ
“เข้าใจแล้ว!!”
………..