การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 122

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 122 – สึนามิสีดำ

เลทิเซียใช้ทั้งหมัดทั้งดาบหรือแม้แต่เท้า ทุกส่วนในร่างกายล้วนโจมตีออกไปได้ทั้งหมดเมื่อมีโอกาสเธอก็จะโจมตีปลิดชีพอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล

ในขณะที่อีกฝ่ายแม้จะดูแล้วไม่มีสัญชาตญาณ หรือแม้แต่สติปัญญามากนักก็ตาม แต่ไม่ว่าจะเป็นเวทมนตร์หรือทักษะก็ล้วนแล้วต่างก็แข็งแกร่งทั้งสิ้น

เหมือนอีกฝ่ายจะรู้จักวิชาการต่อสู้หลากหลาย แต่เพราะเลทิเซียไม่ได้มีวิชาต่อสู้อะไรดังนั้นจึงแทบไม่มีผล

แต่ที่น่ากลัวสำหรับเลทิเซียคือแขนที่มีเกล็ดมังกรนั่น พอมันต่อยออกมามวลอากาศบิดเบี้ยวแทบจะฉีกร่างเลทิเซียไปโดยตรง

แค่พลังโจมตีเยอะยังพอว่า แต่ดูเหมือนว่าพลังป้องกันยังสู้จนเลทิเซียต่อยออกไปทีไรก็เหมือนเป็นคนธรรมดาชกหินทำให้ตนเองเจ็บเอง

ที่น่ากลัวไปกว่านั้นคือพอเลทิเซียฟันโดนอีกฝ่ายก็จะฟื้นฟูทันที ว่ากันง่ายๆ เลย ทั้งคู่ต่างมีพลังฟื้นฟูที่โดนสับแยกเป็นเศษเนื้อก็ไม่ตาย

ดังนั้นการต่อสู้ครั้งนี้จึงเป็นการต่อสู้ที่กินกันไม่ลง แต่เลทิเซียจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบเมื่อแบกรับภาระจากอนุภาคเวทมนตร์ไม่ไหว

แม้จะด้วยพลังฟื้นฟูทำให้บาดแผลฟื้นฟูทันทีได้เลยก็ตาม แต่ความเจ็บปวดก็ทรมานอย่างมากเหมือนมีคนกัดแทะกล้ามเนื้อเลทิเซียตลอดเวลา

โชคยังดีที่เลทิเซียอดทนได้ ทำให้อาการบาดเจ็บจึงไม่มีปัญหา รักษาความสมดุลในการต่อสู้ไว้ได้

ทุกก้าวที่ก้าวออกไปเต็มไปด้วยความอันตรายที่หากเป็นคนอื่นอาจจะถึงแก่ความตาย แต่พอสองคนนี้สู้กันความตายก็กลายเป็นเหมือนนิทานหลอกเด็ก

แต่ทว่าสุดท้ายแล้วเลทิเซียต้องทนไม่ไหวก่อนแน่ๆ เพราะอีกฝ่ายไม่มีความรู้สึกนี่น่า ต่อให้เจ็บแค่ไหนก็เฉยชาได้

ตรงกันข้ามกับเลทิเซียที่เจ็บปวดทรมานทุกย่างก้าว เรื่องนี้ทำให้เลทิเซียไม่อาจยืดเยื้อการต่อสู้นี้ได้อีกต่อไป

ร่างของทั้งสองถอยกรูดออกจากกัน การปะทะเมื่อครู่นี้ไม่มีใครทราบว่าปะทะกันไปกี่หน แต่ดูเหมือนว่าอีกฝั่งก็จะไม่อยู่เฉยเหมือนกัน

อีกฝ่ายยืนกลางอากาศ จีบดาบสองมือในท่าที่เท้าสองข้างแนบชิดติดกันลำตัวตรงนิ่ง มีเพียงดาบคาตานะที่ถือสองมือเฉียงไปข้างหน้า

“วิชาดาวไร้ลักษณ์ .. เหนือจิต”

สิ้นเสียงดาบในมือก็ยกขึ้นและฟันใส่อากาศอย่างรวดเร็ว ยังดีที่เลทิเซียเพิ่มการรับรู้ของตัวเองทำให้เลทิเซียมองออกถึงการฟันของอีกฝ่าย

สีหน้าเลทิเซียเปลี่ยนสีฉับพลันถอยหลังหลบออก ตรงที่เลทิเซียเคยอยู่พลันมีเสียงตัดเฉือนอย่างไร้รูปร่าง ราวกับว่าจู่ๆ ก็ขาดไปเลย

แต่นี่ยังไม่หมดเพราะแทบจะในชั่วพริบตาต่อมา เลทิเซียก็สัมผัสถึงอันตรายได้อีกครั้ง เธอก็รีบหลบออกไปและเกิดเหตุการณ์ซ้ำสองขึ้นอีกครั้ง

แต่แค่สองรอบยังพอว่า แต่พอรอบที่สองสิ้นสุดลงรอบที่สามก็ตามมา.. และพอหลบออกไปก็เกิดซ้ำเหมือนเดิมราวกับว่าหากเลทิเซียไม่ตาย.. มันจะไม่หายไป

แน่นอนว่าอีกฝ่ายพึ่งฟันไปแค่ครั้งเดียว ทว่าแม้เลทิเซียจะไม่เข้าใจหลักการ แต่พอเธอถอยออกไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่ไม่มีคนทราบนอกจากเธอที่เหมือนจะตั้งใจรับมาก

จนท้ายที่สุดมือขวาก็กำหมัดและชกออกไปจุดที่เกิดรอยตัด มิตินั้นก็พังทลายเพราะการใช้พลังเวทระเบิดโครงสร้างมิติเหมือนที่เลทิเซียเคยทำ

แต่โชคร้ายหน่อยที่นี่ไม่ใช่เวทมนตร์แทรกแซง พอมิติยุบตัวและระเบิดแม้คลื่นตัดเฉือนไร้ลักษณ์จะหายไป แต่เลทิเซียก็โดนพายุมิติซัดจนกระอักเลือด

ทว่าเลทิเซียไม่ยอมให้อีกฝ่ายได้โจมตีต่อ ตอนนี้เลทิเซียมองเห็นจุดอ่อนของอีกฝ่ายแล้ว เลทิเซียมองออกเพราะพยายามคุมเชิงหลบการโจมตีอยู่เมื่อครู่นี้

และจุดอ่อนที่ว่าคือ เวลาอีกฝ่ายทำอะไรบางอยู่อีกฝ่ายจะไม่ขยับเลย เช่นการโจมตีเมื่อครู่นี้ทันทีที่เริ่มโจมตีจนถึงตอนนี้อีกฝ่ายไม่ขยับเลย

แถมก่อนหน้าที่ยกดาบมาป้องกันอยู่ กลับไม่ป้องกันเท้าเลทิเซียที่ถีบออกมาทำให้เลทิเซียพิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายไม่สามารถทำอะไรพร้อมๆ กันได้

นี่คือข้อได้เปรียบของเลทิเซีย เป็นข้อได้เปรียบที่มากมหาศาล.. นั่นหมายความว่าในตอนนี้เลทิเซียชนะเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเอง..

หากถามว่าทำไม ภาพต่อไปนี้จะอธิบายทุกอย่างได้ดีที่สุด..

เลทิเซียชี้นิ้วไปที่เงาร่างพร่าเลือน ในชั่วพริบตานั้นเองร่างนั้นพลันหยุดกึกลงทันที มันไม่ใช่การอยู่เฉยๆ

แต่เป็นการบังคับให้หยุดโดยเลทิเซียต่างหาก ซึ่งแม้แต่ทสึรุยังมองออกในแวบเดียวเท่านั้น..

“นั่นมันอะไรน่ะ ..?”

ทสึรุอึกอักอยู่ในลำคออย่างงงวย จะงงก็ไม่แปลกเพราะเงาร่างนั้นก็ไม่ทราบเช่นกัน หากจะให้อธิบายนี่คือการเดิมพันของเลทิเซีย

แต่ถึงจะว่าเดิมพันก็เถอะ แต่โอกาสสำเร็จมันคือร้อยเปอร์เซ็นต์.. เพราะสิ่งที่เลทิเซียทำคือระเบิดพลังเวทออกจากรอบตัวทุกๆ การปะทะกับอีกฝ่าย

และพลังเวทนั่นไม่ใช่การรั่วไหลของพลังเวท หรือใช้พลังเวทเข้าปะทะจนพลังแตกกระจายแต่อย่างใด นั่นคือพลังเวทที่เลทิเซียตั้งใจปล่อยออกมา

เพื่อดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายเพื่อปล่อยเวทมนตร์จำนวนหนึ่งเข้าไปในร่างของอีกฝ่าย อย่างที่ทราบว่าโลกใบนี้ทุกอย่างล้วนมีอนุภาคเวทมนตร์อยู่ในตัว

หากเปรียบเทียบมันก็คล้ายอะตอมที่ทุกคนรู้จักดี ทุกอย่างล้วนประกอบขึ้นมาจากอะตอม และในโลกนี้นอกจากอะตอมยังมีอนุภาคเวทมนตร์!

แม้เลทิเซียไม่แน่ใจว่าร่างกายคนจะมีอนุภาคเวทมนตร์มากน้อยขนาดไหนยังไงแต่ร่างอีกฝ่ายที่สู้อยู่เลทิเซียมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามันต้องประกอบขึ้นจากอนุภาคเวทมนตร์

และพลังของดาบ.. นั่นก็คืออีกฝ่ายมีสภาพไม่ต่างจากอนุภาคเวทมนตร์ตามอากาศเลย เพียงแต่ว่าร่างของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก

และยังสามารถต้านทานการควบคุมจากภายนอกได้ ดังนั้นจึงไม่มีทางควบคุมได้อย่างแน่นอน.. อีกทั้งเมื่อพลังเวทถูกส่งเข้าไปในร่างอีกฝ่ายมันก็ยากที่จะควบคุม

ราวกับจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเงาพร่าเลือน ดังนั้นเลทิเซียถึงได้ปล่อยพลังเวทกระจายออกด้านนอกให้มากกว่าจำนวนที่ส่งเข้าไปในร่างเพื่อดึงดูดความสนใจ

แต่ถ้าหากส่งเข้าไปน้อยเกินไปก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของเงาร่างพร่าเลือนนั่นอีก ส่งผลให้จำเป็นต้องระเบิดพลังเวทออกด้านนอกให้มากกว่าด้านใน

โดยที่ด้านในก็ต้องมาก สำหรับคนอื่นแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่สำหรับเลทิเซียแล้วพลังเวทมนตร์ของเธอเรียกได้ว่าไร้จุดสิ้นสุด

นี่จึงไม่เป็นปัญหา และภายใต้การปะทะอย่างบ้าคลั่ง พลังเวทก็ไหลสู่ร่างอีกฝ่ายมากยิ่งขึ้น.. จนถึงจุดอิ่มตัวและเป็นเวลาเดียวกับที่อีกฝ่ายใช้ท่าเหนือจิต

แต่ที่เลทิเซียกลัวคืออีกฝ่ายจะจับได้และขจัดเวทมนตร์ในร่างออกไป ตอนเลทิเซียหลบการโจมตีอยู่เพราะการดึงดูดความสนใจหายไปแล้ว

แต่ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถขยับได้.. จากการหลบท่าของอีกฝ่ายพลางสังเกตการณ์และนับทุกครั้งที่ตัวเองหลบว่า.. อีกฝ่ายขยับไม่ได้จริงไหม

ว่าง่ายๆ เลยก็คือ เมื่อกี้เลทิเซียกำลังพยายามจะคุมเกมอยู่ ดังนั้นเมื่อระบุความจริงได้เลทิเซียจึงเริ่มตอบโต้กลับและควบคุมร่างอีกฝ่ายโดยไม่ให้ป้องกันทันที

และพอมารู้ตอนนี้ก็สายไปแล้ว.. เมื่ออนุภาคเวทมนตร์ในร่างถูกควบคุมจนถึงระดับหนึ่งแล้วก็ยากจะดิ้นรนหากเลทิเซียไม่ต้องการที่จะเลิกควบคุม

กล่าวกันตามตรงเลยก็คือ เลทิเซียในยามนี้นั้นสามารถเปลี่ยนอีกฝ่ายกลายเป็นอะไรก็ได้ในฐานะเป็น ‘เวทมนตร์!’ ซึ่งถูกเลทิเซียควบคุม

นี่คือแผนการของเลทิเซีย ในเมื่อชนะไม่ได้โดยตรงเลทิเซียก็ไม่จำเป็นต้องไปปะทะกันจนกว่าจะตายกันไปข้าง โคถึกวิ่งมาเลทิเซียไม่มีทางวิ่งไปชนโคถึกกลับแน่ๆ

แต่เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ เพราะในวินาทีเดียวกันเกาะที่แรกเริ่มเดินทีสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยก็สั่นเหมือนกับถึงวันล่มสลายของโลก

“เลทิเซียระวัง!!”

เสียงร้องของทสึรุดังขึ้นฉับพลัน ด้านหลังของเลทิเซียพลันมีคลื่นสึนามิขนาดใหญ่.. แต่คลื่นสึนามินี้ค่อนข้างประหลาด

เพราะท้องทะเลเป็นสีคราม..ในขณะที่สึนามิขนาดใหญ่ยักษ์นี้เป็นสีดำสนิท.. และแน่นอนว่าเลทิเซียรู้ทันทีว่านี่ไม่ใช่พลังแห่งความมืดแน่ๆ

เพราะว่า.. ทุกอย่างที่สึนามินี้กวาดผ่านจะกลายเป็นสีดำสนิทและแห้งเหี่ยวราวกับอายุขัยถูกเร่งให้ไหลเร็วขึ้น

หากจะบอกว่าทุกอย่างในกรอบสายตาคือวิวที่ถูกวาดขึ้นละก็ สึนามินี้ก็มีพลังราวกับว่ามันกำลังย้อมภาพวิวทิวทัศน์นี้เป็นสีดำ

นี่ไม่ใช่เพราะมันคือพลังประเภทสีแต่อย่างใด แต่พลังมันคือเปลี่ยนให้ทุกอย่างเป็นสีดำสนิทอย่างแท้จริง แม้แต่อากาศท้องฟ้า แผ่นดิน ทะเล

กลายเป็นสีดำเหมือนภาพนี้ถูกวาดขึ้นมาเป็นสีดำตั้งแต่แรก! หากโลกนี้คือโลกสองมิติที่เป็นภาพวาด ไอ้สึนามิสีดำนี่คงเป็น..

หมึกสีดำที่อาบย้อมภาพวาดให้กลายเป็นสีดำ! แถมยังมีพลังที่สูบเอาอายุขัยของทุกสิ่งอย่างไม่เลือกด้วย

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท