การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 135

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 135 – คุยคนละเรื่องเดียวกัน

ทั้งทสึรุจู่ๆ ก็มีท่าทางปลื้มปิดติและดีใจ ดูแปลกๆ ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ฉันรู้ว่าวิธีการของฉันยังได้ผล เพราะอันที่จริงถ้าไม่มีท่าทางแบบนี้น่ะสิควรที่จะแปลก

ก็เพราะว่าเวลาตกอยู่ในสถานการณ์คล้ายกันตลอดชีวิตที่ผ่านมาของฉัน พอฉันใช้วิธีการที่คิดขึ้นทุกคนก็จะมีท่าทางแบบนี้

เหมือนตอนเจอกับทสึรุในคืนนั้นเป็นยุทธการสมบูรณ์แบบของฉัน ที่ได้ผลมากที่สุดเลยล่ะ ดังนั้นฉันจึงมองว่ารีแอคชั่นของพวกเธอนั้น

เป็นเรื่องปกติสามัญ..

แต่ปัญหาคือหลังจากนี้ต่างหาก ถึงฉันจะไม่คิดว่าต่อให้ความจริงที่ว่าฉันหลงทางถูกเปิดเผยทำให้ความสัมพันธ์ของฉันกับทสึรุแตกหักได้ก็เถอะ

แต่ในเมื่อพวกเธอเชื่อใจฉัน ฉันก็ไม่คิดจะทำลายความเชื่อใจนั้น ดังนั้นฉันต้องหาทางออกให้ได้

หากทางที่กำลังมุ่งหน้าไปตอนนี้คือทางออกกลับสู่โรงเรียนก็ดีอยู่ แต่ถ้าไม่ใช่ฉันก็ต้องไม่ทำให้ความเชื่อใจของพวกเธอพังทลาย

ก็แบบว่าไหนตอนแรกบอกไม่ต้องห่วง แต่ตัวเองกลับหลงทางจนพาคนอื่นๆ กลับบ้านไม่ได้

อะไรทำนองนั้น ดังนั้นฉันต้องเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวังให้มาก ก่อนอื่นต้องมุ่งหน้าไปตรวจสอบให้รู้แน่ชัดก่อนว่าทางนี้คือทางที่ถูกต้อง

ฉันวางแผนในหัวตัวเอง ก่อนที่จะเดินทางให้ช้าลงกว่าเดิม อันที่จริงแทบกลายเป็นการเที่ยวป่าไปแล้ว

แต่ว่าทุกคืนฉันจะแอบมุ่งหน้านำไปก่อน ถ้าหากว่าทางข้างหน้าไม่ใช่ทางออกฉันก็จะค่อยหาวิธีรับมือและเปลี่ยนทิศทางอย่างแนบเนียน

หากความแตกทุกคนจะเป็นกังวลกันละนะ.. แต่ถ้าหากใช่ฉันก็แค่เดินหน้าต่อไปตามปกติแค่นั้นเอง นี่คือวิธีที่ดีที่สุด

แต่ไม่รู้ทำไมพอฉันพาเดิน พาพัก พากิน ทั้งไวท์ทั้งทสึรุเองก็ต่างพากันอารมณ์ดีผิดปกติ

ให้ตายสินะ พวกเราอยู่กลางป่ากลางดงที่มีแต่สัตว์ประหลาดนะ! ต่อให้ไม่รู้ว่ากำลังหลงทางอย่างน้อยก็ช่วยระมัดระวังไม่ได้หรือไง

ทสึรุนี่ตัวดีเลย ถ้าหากฉันไม่อยู่ด้วยนี่จะเป็นยังไงบ้างเนี่ย ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกว่าฉันในฐานะพี่ต้องสอนน้อง ถึงในโลกเดิมเองก็เคยสอนลูเซียแต่เธอไม่สนใจก็เถอะ

ถามว่าทำไมฉันถึงเป็นพี่น่ะเหรอ? ก็เพราะว่าฉันอายุเยอะกว่าไง ภายในน่ะนะ ดังนั้นฉันต้องดูแลเธอนั่นแหละ

พวกเราเดินทางกันแบบนี้อยู่หลายวันจนกระทั่งวันคืนหนึ่งพวกเรากำลังนั่งทานอาหารที่ฉันทำ เพราะไวท์กินอาหารไม่ได้ในตอนนี้เลยมีแค่ฉันกับทสึรุกิน

“อร่อยเหมือนเดิมเลยแฮะ”

“อร่อยก็ดีแล้ว”

“ทำไมเลทิเซียถึงมีท่าทางเหมือนคุณแม่เฉยเลยอ่ะ?”

จู่ๆ ทสึรุที่กำลังทำความสะอาดนิ้วด้วยปากของตัวเอง อร่อยจนดูดนิ้วเลยเหรอเนี่ย..

เธอพูดขึ้นด้วยสีหน้าคลางแคลงใจ คุณแม่เหรอ ฉันเองก็ไม่เคยมีแม่จริงๆ สักคนด้วยสิ ถึงจะมีแม่เลี้ยงก็เถอะนะ

“คิดงั้นเหรอ?”

“ถึงข้าจะไม่เคยเจอแม่ก็เถอะ แต่คิดว่าคงประมาณนี้แหละมั้ง?”

“แบบนั้นก็ดีแล้วล่ะมั้ง?”

ฉันตอบออกไป แต่ก็นะที่ถูกคือเหมือนพี่มากกว่านะ แต่ยังไงก็ตามแต่ทสึรุเองก็ไม่เคยมีครอบครัวคงไม่เคยสัมผัสความอบอุ่นมาก่อน

แต่ตอนนี้พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว ในสายตาของคนอื่นพ่อหรือแม่คือคนที่พระคุณที่สุดนี่นะ เธอจะคิดงั้นคงปกติละมั้ง

ดังนั้นเลยคิดว่าในตอนนี้สำหรับทสึรุก็คงดีแล้ว แต่เหมือนเจ้าตัวจะทำหน้าจริงจังแล้วก็พูดขึ้น

“มันดีที่ไหนล่ะ ข้าไม่ได้อยากเป็นลูกเลทิเซียสักหน่อยนะ!”

เธอพูดขึ้น ฉันเองก็เห็นด้วยกับเธอนะ จู่ๆ มีคนมาแสดงตัวเป็นพ่อแม่แบบนี้ เป็นใครก็คงไม่ชอบสินะ ก็พ่อแม่คือคนที่ทิ้งลูกได้ลงคอนี่น่า

(ก็ถูก..แต่คนละความหมายที่เธอเข้าใจนะ เลทิเซีย)

แต่ว่าฉันเองก็ไม่เก่งเรื่องพวกนี้ซะด้วยสิ เพราะประสบการณ์ที่มีก็มีแต่กับครอบครัวจริงๆ แถมเป็นพี่น้องด้วยสิ

แล้วฉันก็คิดว่าทสึรุเป็นน้องนี่ ไม่ได้คิดว่าเป็นลูกสักหน่อยนะ! แต่ถ้าทสึรุว่างั้นก็คงจะเป็นแบบนั้น แล้วฉันจะต้องทำยังไงถึงจะไม่ดูเหมือนแม่ล่ะ

เพราะตอนฉันอยู่กับน้องสาวก็ทำแบบนี้ตลอดนะ แต่ก็ไม่มีคนบอกแบบนั้นเลยนะ อืม ปวดหัวจริงๆ เลย

แต่ว่าในกรณีที่เธอคิดแบบนี้ ตามธรรมชาติของมนุษย์หรือตามหลักจิตวิทยาที่ฉันเคยเรียนมา

บางทีให้เธอตอบคำถามเองก็อาจจะทำให้เธอเปลี่ยนแนวคิดมุมมองภายในหัวว่า ความรู้สึกแบบนี้ไม่ใช่พ่อแม่จะดีกว่าสินะ

ก็แบบว่าความนึกคิดของมนุษย์เราจะขึ้นอยู่กับตัวแปรในสมองที่เรียกว่ามุมมองหรืออคติ บางทีทสึรุอาจจะสนใจแต่พ่อแม่

ในมุมมองของเธอเลยให้ความรู้สึกแบบนั้นแหละนะ ดังนั้นต้องเปลี่ยนมุมมองแนวคิด แต่การจะเปลี่ยนมุมมองคนไม่ใช่เรื่องง่าย เหมือนพยายามเปลี่ยนคนชั่วให้เป็นคนดีด้วยคำพูดมันยากมาก

แต่ในกรณีนี้ยังไม่ใช่นิสัย แต่เป็นแค่มุมมองดังนั้นทางเลือกที่ดีที่สุดคือให้เธอตอบคำถามเอง พอตระหนักถึงคำตอบมุมมองของเธอจะเปลี่ยนไปเอง

ก็มันมีอยู่บ่อยๆ ไม่ใช่เหรอ ที่ว่าลืมตัวเองในอดีตไปอะไรแบบนั้น ฉันเลยจะให้เธอทบทวนดูและให้เธอตอบคำถามตัวเอง

“แล้วทสึรุอยากเป็นอะไรล่ะ?”

ฉันถามออกไปแบบไม่คิดอะไรมาก แน่นอนว่าที่ฉันให้เธอทบทวนคือตอนที่เธอกัดเลือดฉันไปและบอกว่ามีเลือดฉันอยู่ในตัวเธอแล้ว

ถ้าเธอตระหนักถึงเรื่องนั้นได้ คำตอบก็มีเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ ‘พี่น้อง’ นั่นเอง มุมมองเธอก็จะเปลี่ยนไปเช่นกัน!

นี่คือการสอนให้ทสึรุเติบโตมากขึ้นด้วยสิเนี่ย ฉันเป็นพี่ที่ดีจริงๆ สินะ แน่นอนว่าคำตอบของทสึรุฉันรู้อยู่แล้ว

พอฉันตั้งคำถามคำนี้ ตามทั่วไปของมนุษย์ก็จะนึกหาคำตอบและคำตอบที่โผล่มาก็จะเป็นของที่อยู่ในความทรงจำล่าสุดซึ่งเกี่ยวกับคำถามนั้น

ก็ต้องหมายความว่า คำถามนั้นเชื่อมถึงความสัมพันธ์ครอบครัว ความสัมพันธ์ล่าสุดก็คือตอนที่กัดเลือดฉัน ดังนั้นคำตอบต้องเป็น … อยากเป็นพี่น้องแน่นอนอยู่แล้ว!

“เอ๊ะ เอ่อ…คือ…”

แล้วฉันพูดแบบนั้นเธอก็หน้าแดงขึ้นทันที นั่นไง นึกออกแล้วสินะว่าพวกเราตอนนี้เป็นพี่น้องกันไปแล้ว

คงจะกำลังเขินที่ตัวเองดันลืมเรื่องสำคัญแบบนั้นไป แต่ว่าฉันไม่คิดมากหรอกนะ เพราะบางครั้งมุมมองของคนเราก็ถูกอคติบดบังกันได้

เธอที่มีอคติว่าพ่อแม่ดีที่สุดอาจจะโดนอคตินี้บดบังจนฉันที่เป็นพี่สาวกลายเป็นแม่ไป.. ปกติมากเลยล่ะ

ด้วยความคิดแบบนั้นฉันจึงพูดขึ้นด้วยว่า

“ไม่เป็นไรหรอก ฉันเองก็มีแบบนั้นบ่อยๆ แต่ในตอนนี้ฉันเชื่อว่าความรู้สึกของพวกเราต้องเหมือนกันอย่างแน่นอน คำตอบนั้นไม่ต้องพูดมาก็ได้ เพียงแค่เธอรู้ว่านั่นคือคำตอบก็เพียงพอแล้วล่ะ”

“งะ…งั้นเหรอ เธอเองก็…. เรื่องจริงสินะ ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม เลทิเซีย?”

ฉันยิ้มออกมา ก็นะเธอที่ไม่เคยมีครอบครัวก็คงแบบนี้เหมือนกับฉันที่ขาดที่พักพิงเลย ฉันเลยยิ้มและตอบไปว่า “แน่นอน..”

(และในมุมมองของทสึรุคือ สิ่งแรกที่เธอคิดไม่ใช่พี่น้อง.. แต่เป็นความรัก ทุกอย่างเป็นอย่างที่เลทิเซียกล่าวไว้จริงว่า

คำตอบนั้นจะเชื่อมถึงความสัมพันธ์ที่พึ่งเกิดขึ้นล่าสุดในความทรงจำ.. ใช่ความสัมพันธ์ที่ทสึรุนึกถึงคือเมื่อหลายวันก่อนและตลอดหลายวันที่ผ่านมาที่…

เลทิเซียพาเดท และใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย แน่นอนว่าสิ่งที่เธอนึกถึงต้องเป็นเรื่องความรัก ดังนั้นถ้าจะบอกว่าอยากเป็นคนรักมันก็น่าอายเกินไป

เธอจึงหน้าแดงขึ้นมา แถมพวกเธอยังเป็นผู้หญิงด้วยกันอีก ในขณะที่ทสึรุสับสนและเขินอยู่นั่นเอง เลทิเซียก็ยังพูดต่อว่า

ไม่เป็นไรหรอก.. ราวกับจะบอกว่าไม่ต้องกังวลขนาดนั้นก็ได้ และ ฉันเองก็มีแบบนั้นบ่อยๆ .. ก็เหมือนเธอบอกว่ามีความรู้สึกอยากเป็นคนรักแบบทสึรุบ่อยๆ

และคำพูด ‘แต่ในตอนนี้ฉันเชื่อว่าความรู้สึกของพวกเราต้องเหมือนกันอย่างแน่นอน คำตอบนั้นไม่ต้องพูดมาก็ได้ เพียงแค่เธอรู้ว่านั่นคือคำตอบก็เพียงพอแล้วล่ะ’

คือประโยคที่ชี้ความเชื่อหรือความเข้าใจของทสึรุทั้งหมดว่า เลทิเซียเธอรู้ เธอเข้าใจ แต่ไม่ต้องพูดก็ได้พวกเราแค่รู้ว่าพวกเรารักกันก็พอ

เพราะยังไงซะพวกเราก็เป็นผู้หญิง.. ดังนั้นเราสองคนรู้กันดี ความสัมพันธ์ของพวกเราน่ะมันมากกว่าคำพูดทุกประการ…

นี่คือสิ่งที่ทสึรุได้เข้าใจ!

แน่นอนว่ามันไม่ได้ผิดที่ว่า ความสัมพันธ์ของพวกเธอน่ะมากกว่าคำพูดไปจริงๆ แต่มันคนละความหมายน่ะนะ…)

………

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท