บทที่ 147 – บทเรียน
เลทิเซียลืมตาขึ้นดวงตาของเธอไม่เหมือนตอนที่เป็นเธอในตอนปกติเลย แถมตอนนี้เธอกำลังยิ้มอยู่รอยยิ้มนี้เป็นรอยยิ้มที่หาได้ยากบนใบหน้าของเลทิเซีย
“อืม”
เลทิเซียมองตัวเองแล้วครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ที่เตียงของชาร์ล็อตไม่มีใครนอนอยู่ ในห้องนี้มีแค่เลทิเซียอยู่คนเดียว
“ก็แน่นอนสินะ เธอก็คงไม่กล้ามองหน้าฉันเหมือนกันแหละ”
เลทิเซียพูดแบบนั้นก็รีบทำธุระส่วนตัวให้เสร็จ แต่พอเปิดประตูออกไปก็เจอคนคนหนึ่งกำลังจะเคาะประตู
คนคนนั้นคือทสึรุที่มาพร้อมกับโคลเอ้ เลทิเซียเหมือนไม่ได้แปลกใจอะไร แต่ยกมือขึ้นทักทาย
“ว่าไงทั้งสองคน ตื่นเช้าดีนี่”
“เอ่อ.. คือนี่มันจะเริ่มเรียนแล้วนะคะ เช้าอะไร..”
โคลเอ้พูดขึ้น แต่แม้จะพูดแบบนั้นพวกเธอก็มองเลทิเซียด้วยสีหน้าแปลกๆ แม้แต่ทสึรุเองก็ยังสับสนว่านี่เกิดอะไรขึ้นกับเลทิเซีย
ถ้าถามว่าทสึรุกับโคลเอ้สนิทกันตอนไหน จริงๆ ก็ไม่ได้สนิทหรอกแค่บังเอิญมาเรียกเลทิเซียพร้อมกันเท่านั้น
“จะว่าไปข้ายังไม่รู้เลยว่าห้องเรียนพิเศษอยู่ที่ไหน? พาไปหน่อยสิ”
“เอ่อ..คือ เลทิเซียไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าคะ?”
ทสึรุเหมือนอดใจไม่ไหวถามขึ้น เลทิเซียแปลกใจเล็กน้อยก่อนจะยกกำปั้นชูขึ้นพร้อมกับทำท่าเบ่งกล้าม
“ทสึรุพูดอะไรน่ะ ข้าก็แข็งแรงดีนะ ฮ่าๆ เจ้านี่ก็ยิงมุกเป็นนะเนี่ย ว่าแต่โคลเอ้ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ ข้าคิดถึงเจ้าจริงๆ”
“….”
ทั้งสองคนไม่ได้สนิทกัน แต่ตอนนี้ทั้งสองมองหน้ากันเหมือนเข้าใจความคิดของกันและกันได้… ว่าเลทิเซียกินอะไรผิดแผกเข้าไปหรือเปล่า
ด้วยความสงสัยโคลเอ้กำลังจะถามคำถามแต่ในตอนนั้นเองดวงตาของเธอก็เบิกกว้างขึ้นสีหน้าเปลี่ยนสี แต่สิ่งนี้ถูกคำถามของเลทิเซียบดบัง
“ว่าแต่ข้าต้องไปห้องเรียนไหนนะ”
แม้ว่าตัวของทสึรุเห็นท่าทางแบบนี้ของเลทิเซียเธอก็รู้สึกแปลกๆ เพราะเมื่อคืนเลทิเซียพึ่งทำเรื่องแบบนั้นลงไป..
ทสึรุรู้ว่าเลทิเซียในบางครั้งหากมีคนไปแตะจุดอ่อนไหวอะไรสักอย่างของเธอ เธอแทบจะควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้เลย
ดังนั้นทสึรุจึงพอเข้าใจเลทิเซียอยู่ไม่มากก็น้อย แต่ว่าการที่เธอทำเรื่องโหดร้ายแบบนั้นลงไป เลทิเซียต้องรู้สึกเสียใจอยู่มากแน่นอน
ทำไมพอวันรุ่งขึ้นเธอทำแบบนี้ได้.. แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนความจริงที่เกิดขึ้นก็ไม่เปลี่ยนแปลง ทสึรุส่ายหน้าและถอนหายใจ
“อาจารย์ซิลเวียบอกข้าแล้วมาทางนี้สิ”
“โอ้ ขอบคุณนะ”
เลทิเซียพูดแบบนั้นก็เดินตามทสึรุไป ในขณะที่โคลเอ้ก็พูดขึ้นว่า “งั้นข้าขอตัวไปห้องเรียนปกติก่อนนะ”
เลทิเซียพยักหน้าให้ โคลเอ้เลยรีบเดินออกมา.. พอเธอเดินออกมาได้ไกลหน่อยแล้วก็ยกมือขึ้นปิดปากและเซซ้ายเซขวา
ก่อนที่จะวิ่งเข้าไปในห้องน้ำและอ้วกออกๆ มา สีหน้าของเธอซีดเผือกลง หากยังมีใครจำได้ตัวของโคลเอ้มีพลังที่ค่อนข้างที่จะแปลกประหลาด
พรสวรรค์ของเธอเหมือนทักษะมากกว่า เพราะมันใช่พรสวรรค์ทางด้านนักรบแต่เธอยังเป็นนักรบอยู่ดี
และตามที่บอกว่ายิ่งฝึกพรสวรรค์จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ โคลเอ้เป็นคนที่ไม่ค่อยได้ใช้พลังของเธอเลยเพราะมันไม่จำเป็นขนาดนั้น
จนกระทั่งเลทิเซียหายตัวไป เธอได้ใช้พลังนี้บ่อยครั้ง… ตามที่บอกพลังของเธอไม่ใช่การ ‘รับรู้อนาคต’
แต่เป็นการมองเห็น ‘ความเป็นไปได้อื่น’ ที่มีมากมายนับอนันต์ และความเป็นไปได้นี้ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นในอีกความเป็นไปได้หรือโลกที่คู่ขนานกัน
และสิ่งที่เธอเห็นในความเป็นไปได้นั้น เลทิเซียที่ ‘ตาย’ จากการหายตัวไปครั้งนี้มีเยอะมาก แต่ตอนที่เธอรอดก็มีเยอะมากเช่นกัน
ทำให้โคลเอ้แยกแยะไม่ได้ว่าในครั้งนี้เลทิเซียจะรอดหรือจะตาย ทำให้เธอต้องมองอยู่ทุกวันว่าในแต่ละโลกคู่ขนานจะมีเลทิเซียรอดเพิ่มมากขึ้นหรือเปล่า
ถ้ามากขึ้นโอกาสก็จะมากขึ้น… แม้ตัวเธอจะทนไม่ได้กับการที่ได้ยินเลทิเซียตายก็ตาม แต่เธอก็ยังมองดูต่อไป
อาจจะมีไม่กี่คนบนโลกที่รู้ว่าเลทิเซียนั้นได้ต่อสู้กับไอ้หมึกยักษ์นั่น เพราะนั่นก็คือหนึ่งความเป็นไปได้เช่นกัน
พอเธอตระหนักว่าพลังของตัวเองมันคือการล่วงเกินคนอื่นเธอเลยพยายามที่จะเลี่ยงการใช้ แต่ว่าก่อนหน้านี้เธอก็ใช้มันบ่อยจนพลังเริ่มแข็งแกร่งขึ้น
ใช่แล้ว จนบางครั้งมันจะใช้เองอัตโนมัติทันทีที่ตัวของเธอตกอยู่ในสถานการณ์บางอย่างเช่นหากถูกลอบโจมตีพลังนี้มันจะเตือนทันที
ว่ากันบางระดับเธอเหมือนคนที่ไม่มีทางตายได้จากการถูกลอบโจมตีเลยแหละ.. แต่ว่าภายใต้สถานการณ์บางอย่างนั้นไม่ได้หมายถึงแค่ ‘ด้านที่บวก’ เสมอไป
เพราะเมื่อครู่นี้มันก็พึ่งทำงานไปแถมมันยังมองไปยังความเป็นไปได้อื่นที่ไกลเกินไป มันทำให้เธอถึงกับเกือบที่จะอ้วกแตก
อย่างไรก็ตามเธอเช็ดริมฝีปากเบาๆ ก่อนที่จะเปิดดวงตาขึ้น
“องค์หญิง… นั่นมันอะไรกันคะ…”
เธอพึมพำด้วยความสับสนความเป็นไปได้ที่เธอเห็นน่ะ.. มันคือ…
…….
“ที่นี่แหละค่ะ”
ทสึรุกับเลทิเซียเดินมาถึงห้องเรียนพิเศษ ในห้องนั้นมีคนอยู่ไม่กี่คนเอง เลทิเซียกับทสึรุเดินเข้าไปนั่งที่นั่ง
ประตูห้องเรียนก็ถูกเปิดออกและมีครูเดินเข้ามา ครูคนนี้สวมชุดสีดำกระโปรงสั้น เป็นผู้หญิงผมสีดำ
มัดผมรวบขึ้นข้างบนหน้าดูเป็นคนจริงจัง สวมแว่นตาอีกด้วย เธอถือเอกสารเรียนบางอย่างมาด้วยก่อนที่เธอจะมาหยุดที่โต๊ะของเธอแล้วพูดขึ้น
“เอาล่ะ ฉันมีชื่อว่า เวโรเน่ ตั้งแต่วันนี้จึงถึงสิ้นเดือน ฉันจะเป็นครูประจำชั้นของพวกเธอ ฉันไม่สนว่าพวกเธอจะเป็นลูกขุนนางหรือคนจากสลัม หน้าที่ของฉันคือสอนพวกเธอ หากมีใครไม่ฟังจะได้รีบบทลงโทษอย่างสาสม ทุกคนในห้องเรียนนี้ฉันสามารถตัดสินใจทำอะไรกับพวกเธอก็ได้ แน่นอนว่าสิทธิ์ในการไล่ออกก็เช่นกัน เอาล่ะมาเริ่มบทเรียนกันเถอะ!”
เธอพูดแบบนั้นเสร็จก็เริ่มสอนแบบไม่พูดพร่ำอะไรต่อ แม้แต่นักเรียนบางคนยังสับสน แต่ทสึรุที่เคยเรียนมาหลายวันแล้วเธอไม่แปลกใจอะไรมากนัก
“ฉันมั่นใจว่าพวกเธอคงยังไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่า ศาสตร์แห่งเวทมนตร์ และวันนี้ฉันจะมาพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้”
“อย่างที่พวกเธอรู้จักว่า ทวีปแห่งนี้จะมีเวทมนตร์หลักแบ่งเป็นสี่ประเภทใหญ่ๆ นั่นคือ เวทปีศาจ, เวทมนุษย์และเวทของกึ่งมนุษย์”
“นอกจากนี้ยังมีเวทมนตร์ของผู้วิเศษที่ไม่จำแนกของเผ่าใดๆ เพราะมีเพียงผู้ที่ถูกเลือกเท่านั้นถึงจะใช้มันได้ นั่นคือเวทแฟร์รี่”
เลทิเซียมองไปที่กระดานที่ครูกำลังเขียน เธอรู้จักหมดแล้วนะ จากข้อมูลที่เทพธิดาให้มาน่ะนะ
“ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะถูกเรียกว่า ‘ประเภทของเวทมนตร์’ และประเภทที่ว่านี้ไม่สามารถเปลี่ยนได้ตามอำเภอใจ”
“พวกเธออาจจะเคยลองใช้เวทต่างเผ่าเพราะรู้สึกว่ามันอาจจะเจ๋ง แต่มันก็ไม่สำเร็จ สาเหตุนั่นเป็นเพราะว่าแต่ละเผ่านั้นถูกแยกออกด้วยสปีชีส์”
“ในการศึกษาเจาะลึกถึงพันธุกรรมของศาสตราจารย์คนหนึ่งได้ระบุไว้ว่า พันธุกรรมนี้จะสืบต่อผ่านสายเลือดจากรุ่นสู่รุ่น”
“มนุษย์เป็นเผ่าพันธุ์จากสปีชีส์หนึ่งในขณะที่ปีศาจเป็นเผ่าจากสปีชีส์หนึ่ง..กล่าวคือบนโลกนี้จะไม่มีลูกครึ่งระหว่างปีศาจหรือมนุษย์เลยเพราะคนละสปีชีส์นั่นเอง”
“นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าถึงไม่มีการสืบต่อพันธุกรรมที่แปดเปื้อน”
“แต่ว่านั่นในกรณีของร่างกายเท่านั้น เพราะเวทมนตร์ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นจากร่างกายเท่านั้นแต่เป็นจิตวิญญาณ หากความรู้ของเราก้าวหน้าไปมากกว่านี้ละก็..”
“นอกจากนี้ที่กล่าวไปมันแค่ในกรณีของมนุษย์กับปีศาจ จากการศึกษาของทางศาสตราจารย์ท่านหนึ่งได้ค้นพบเรื่องที่น่าแปลกใจอย่างหนึ่งว่า”
“ปีศาจกับเทพมีความใกล้เคียงกันมาก มีเพียงดวงวิญญาณที่แตกต่างแต่เราไม่สามารถจับเทพมาทดลองได้ ก็ช่างมันเถอะ”
เลทิเซียแปลกใจ เหมือนว่าครูคนนี้มีความคิดที่อยากจะจับเทพมาทดลองด้วยซ้ำนะเนี่ย
“พูดถึงเทพ ฉันเคยได้ยินมาว่า ‘โลกนี้มีกฎเกณฑ์ที่จำกัดประเภทรูปแบบของเวทมนตร์ไว้ด้วย’ นี่ไม่เกี่ยวกับบทเรียน แต่บางทีเพราะกฎเกณฑ์เหล่านี้ทำให้เทพเองก็ไม่สามารถใช้เวทมนตร์ได้บนโลกใบนี้”
……..