บทที่ 180 – บุกรังศัตรูเพื่อเพื่อน
“นังเด็กนี่…”
ชายคนนั้นเหมือนตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า บัดนี้ในสายตาเขาที่จ้องไปยังเลทิเซียเหมือนมองเห็นปีศาจร้าย
แม้ยากที่จะเชื่อแต่ว่าดูเหมือนเพื่อนเขาจะถูกเด็กที่อายุไม่ถึงสิบห้าปีนี้ฆ่าไปแล้ว แต่เขาก็ทำงานในแวดวงนี้มานานเลยมีประสบการณ์มาบ้าง
เมื่ออยู่ในสถานการณ์แบบนี้เขาเลือกจะเชื่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ก้าวถอยหลังไปหลายก้าวพร้อมกับพูดขึ้น
“กำจัด!”
พอพูดออกไปแบบนั้น คนอื่นเหมือนจะได้สติขึ้นมา พร้อมกับกำลังจะเคลื่อนไหวนั้นเอง ไม่รู้ว่าบังเอิญหรืออะไร
เพราะในพริบตานั้นไฟในโกดังดับวูบลงก่อนที่จะติดกลับมา นอกจากชายคนนั้นแล้วทุกคนล้วนกลายเป็นเศษเนื้อกองบนพื้นอย่างน่าสยดสยอง
บางที นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เลทิเซียเคยเห็นภาพโศกนาฏกรรมที่รุนแรงแบบนี้ แถมนี่ยังเป็นฝีมือของตัวเธอเองอีกต่างหาก
หากเป็นเธอในตอนปกติ บางทีเธอคงตกใจและอ้วกเพราะความคลื่นไส้เป็นแน่ แต่เธอในตอนนี้มองว่าสิ่งที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ต่างจากศัตรูที่ต้องกลายเป็นเศษขยะ
หากให้เปรียบเทียบระดับที่เลทิเซียมองว่าเป็นศัตรูคงมีอยู่หลากหลายระดับ แต่ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆ คือแบ่งเป็นสามระยะ
ระยะแรกคือไม่มั่นใจว่าเป็นศัตรูหรือไม่ จึงต้องมองว่าเป็นศัตรูไว้ก่อนเผื่อกรณีที่เลวร้ายที่สุดจะได้ไม่ต้องลำบาก และไหลตามน้ำตามกระแสไป
ระยะที่สองคือเป็นศัตรูอย่างแท้จริง แต่ศัตรูไม่จำเป็นต้องกำจัดทิ้งแต่ระวังตัวไว้มากและไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆ ตัวเองให้อีกฝ่ายรู้
ระยะนี้นั้นเลทิเซียเคยแสดงให้เห็นแค่ครั้งเดียวนั่นคือตอนสู้กับหมึกยักษ์ หากปล่อยไว้มันจะอันตรายต่อคนรอบข้างจึงต้องกำจัด.. เหล่านี้ล้วนเป็นระยะสอง
ระยะสาม.. ระยะสุดท้าย ศัตรูที่เลทิเซียตัดสินใจว่าต้องฆ่า ถ้าไม่ฆ่าก็เราเองที่จะไม่รอด.. และเป็นศัตรูที่เป็นภัยต่อเลทิเซีย
ไม่ใช่ทางกายภาพ แต่เป็นจิตใจ ใช่.. ตอนนี้เพื่อนเธอถูกลักพาตัว ไม่มีอะไรที่จะทำให้เธอโกรธไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว
ดังนั้น สำหรับเธอคนทุกคนที่ขัดขวางและมายืนอยู่ตรงหน้าคือศัตรูที่สมควรถูกกำจัด.. ฆ่าเท่านั้น
ในอดีตชาติเธอคงไม่ใช่แบบนี้.. แต่หากน้องสาวเธอในชาติก่อนโดนลักพาตัว บางทีหากมีตัวเลือกให้ฆ่าเพื่อช่วย เธอเองก็คงหยิบมีดขึ้นมาอย่างไม่ลังเล
“นี่…มัน…อะไร..”
ชายคนนั้นถอยหลังไปด้วยความตกใจและหวาดกลัว เขาอาจจะมีประสบการณ์มากก็จริงแต่ทว่าภาพตรงหน้าที่ทั้งแขน ขา นิ้ว อวัยวะภายใน
ถูกแยกเป็นชิ้นๆ ด้วยด้าย แม้แต่ลูกตาของใครสักคนก็ยังหลุดและกลิ้งมาอยู่ที่ใต้เท้าเขา มันเป็นภาพที่เกินความเข้าใจเขา
ความรู้สึกคลื่นไส้ตีขึ้นมาจากในท้องก่อนจะทรุดลงกับพื้นและอ้วกออกมาอย่างน่าเวทนา เลทิเซียเดินไปจับผมอีกฝ่าย
“ขอโทษ.. ข้า..ขอโทษ.. อย่าฆ่าข้า.. เลย”
เขาพูดขึ้น เลทิเซียเพียงแค่พูดขึ้นว่า..
“หุบปาก!”
เธอจับผมของมันลากไปกับพื้นเดินลงไปชั้นใต้ดิน ผ่านซากศพของคนอื่นๆ ที่ถูกตัด ยิ่งทำให้มันรู้สึกคลื่นไส้อาเจียน
เลทิเซียที่พยายามสงบสติอารมณ์เธอคิดว่าหากใต้ดินนี้มีพื้นที่กว้างใหญ่ หากมีคนรู้จักทางจะช่วยได้เยอะ อย่างน้อยในพื้นที่ที่ไม่เปิดกว้างแบบนี้
การใช้เวทมนตร์รับรู้พื้นที่ผ่านคลื่นความถี่ ก็ไม่มีประโยชน์เท่า แน่นอนว่าใต้ดินก็มีพื้นที่ขรุขระ โขดหิน ตลอดทาง
พอชายคนนั้นถูกลากตามทางก็ไถมาโดนพื้นโดนหินจนเป็นแผลทั่วทั้งร่าง ถลอกปอกเปิกไปจนน่าเกลียดน่ากลัว
เขาพยายามดิ้นหลบหนี กลับพบว่าแขนเล็กๆ ของเด็กคนนี้กลับแข็งแรงยิ่งกว่าอะไรที่เขาเจอมา ความเจ็บปวดที่เหมือนจะตายก็ไม่ตายนี้
มันทำให้เขาหวนนึกถึงคนที่ตายอยู่ในโกดัง ตายยังไม่รู้สึกเจ็บหรือส่งเสียงร้องด้วยซ้ำ.. พอเดินมาถึงทางแยกเลทิเซียโยนชายคนนั้นไปข้างหน้า
“รังพวกแกไปทางไหน!”
“…ซ้าย…”
มันยกนิ้วชี้ไปด้านซ้ายอย่างสุดความสามารถ เลทิเซียไม่ตอบก่อนจะเดินไปจับนิ้วอีกฝ่ายและหักกลับไปด้านขวา
“กร็อบ”
“อ๊ากกกกกกก”
“ด้านขวาสินะ ก็ซ้ายมันทางตันนี่”
ถึงเลทิเซียไม่รู้ว่าต้องเดินไปอีกกี่โค้ง เลี้ยวทางไหนแต่เธอก็รู้ว่าทางไหนมันทางตันผ่านคลื่นความถี่สูงของเธอ
รู้แล้วจะมาถามทำไม! นั่นคือสิ่งที่ชายคนนั้นคิดในตอนนั้นนิ้วเขาหักไม่เป็นรูปร่าง ความเจ็บปวดที่ทำเอาน้ำตาเล็ดนี้ยังไม่จบ
เลทิเซียดึงผมชายคนนั้นลากไปทางขวาตามทางเดิน ซักพักเจอทางแยกและทางแยกทั้งสองทางไม่ใช่ทางตัน ดังนั้นเลทิเซียถึงถามออกไปอีกรอบ
ชายคนนั้นไม่กล้าโกหกอีกรอบ กลัวนิ้วตัวเองจะหักจนไม่เหลือสักนิ้ว แน่นอนว่าเลทิเซียไม่มีทางเลือกนอกจากเดินตามคำพูดของชายคนนี้
เดินสักพักเลทิเซียก็มองเห็นประตูหินขนาดไม่ใหญ่มากตั้งอยู่ปลายทาง มีตนสองคนยืนเฝ้าประตูอยู่
“นั่นแหละ.. ปล่อยข้าได้แล้ว ที่นั่นแหละคือที่ที่เด็กพวกนั้นถูกส่งมา”
เลทิเซียมองไปก่อนจะปล่อยมือจากอีกฝ่ายลงกับพื้นพร้อมกับทำให้ทางเดินตรงนี้ถูกปิด และฝังร่างชายคนนั้นไปพร้อมกับปิดทาง
แม้จะยังเหลือหัวไว้หายใจ แต่ความอึดอัดขยับไม่ได้ก็ทำให้เขาทรมานไม่ต่างกัน
เลทิเซียก้าวเดินไป ยามสองคนนั้นพอมองเห็นเลทิเซียพวกเขายังไม่ทันได้ตั้งตัวหัวก็หลุดออกจากบ่าไปซะแล้ว
“สเตฟานี่.. เซเรส..”
เลทิเซียพึมพำแล้วก็รีบวิ่งไปเตะประตูจนปลิวเหมือนกับเตะกระดาษ ด้านในนั้นมีเป็นห้องใต้ดินขนาดใหญ่ ด้านซ้ายและขวามืดมีกรงอยู่
ภายในนั้นมีทั้งคน ทั้งปีศาจ ทั้งกึ่งมนุษย์ เด็ก ผู้ใหญ่.. คนแก่ก็ไม่เว้นทุกคนอยู่ในสภาพปางตายกันหมด และตามทางเดินก็มีผู้เฝ้าคุกอยู่
ปลายทางตรงข้ามเลทิเซียห่างไปราวๆ ห้าสิบกว่าเมตรมีเตาหลอมขนาดใหญ่อยู่ เลทิเซียแค่มองครั้งเดียวก็รู้ว่ามันคือเตาปฏิกรณ์เวทมนตร์ขนาดใหญ่
และการมาถึงของเลทิเซียไม่ได้เงียบอะไรพอประตูถูกเตะทุกคนก็หันเหมาสนใจ.. ตามมาด้วยเสียง
“มีหนูลอบเข้ามา ฆ่าเลยอย่าให้รอดออกไปได้!”
“ฆ่ามัน!”
ทุกคนในนี้มีอาวุธติดไม้ติดมือเคลื่อนไหวเข้ามาอย่างรวดเร็ว แต่เลทิเซียไม่มีอารมณ์มาสนใจเพราะเธอกำลังรีบร้อน
“อย่ามาขวางฉัน!!”
เธอตะโกนออกมา อารมณ์ต่างๆ ระเบิดออกมา เลทิเซียวิ่งไปพร้อมกับจังหวะเดียวกันเวทมนตร์ลึกลับถูกร่ายออกมา
อากาศบิดเบี้ยวราวกับเหมือนเป็นมือโปร่งใสก่อนที่จะบดขยี้ผู้คุมทุกคนจนตัวแตกกลางอากาศ ไม่ต่างอะไรจากมดปลวก
เลทิเซียรีบวิ่งไปถึงใต้เตาปฏิกรณ์และใต้เตาปฏิกรณ์ที่เหมือนกำลังเร่งการทำงานนั้นมีเด็กผู้หญิงสองคนนอนอยู่
เลทิเซียไม่ใช่จอมเวทมือใหม่อะไร เธอมองแวบเดียวก็รู้ว่านอกจากพลังเวทที่ทั้งสองถูกดูดออกไปยังมีเวทมนตร์ต่างๆ ที่เคยเรียนรู้มาด้วย
ว่าง่ายๆ คือสูตรเวทมนตร์นั่นแหละ
“สเตฟานี่! เซเรส!!”
เลทิเซียพุ่งไปหาอย่างรวดเร็ว พอไปถึงก็รีบแตะหน้าทั้งสอคนด้วยความสับสน ร่างกายเริ่มซูบลงและร้อนขึ้นนอกจากนี้สูตรเวทก็ถูกช่วงชิง
“ฉันต้องทำอะไรสักอย่าง… ไม่งั้นทั้งสองคนเป็นซากศพมีชีวิตแน่”
เลทิเซียกัดฟัน ทั้งคู่ยังสลบไม่ได้สติ เหงื่อทั้งคู่ไหลท่วมตัว เลทิเซียเองก็ยิ่งกังวลขึ้นมากกว่าเดิม
“แต่จะทำยังไงล่ะ… ถ้าทำลายเจ้าเครื่องนี่…”
“ไม่สิถ้าทำแบบนั้นพลังงานทั้งหมดอาจจะกระจัดกระจายหายไปจนหมด…”
“แต่ ฉันยังไม่รู้เลยว่าเครื่องนี้มีไว้ทำอะไร หากมันระเบิดขึ้นมาละก็….”
แต่ในตอนนั้นเอง เสียงปรบมือก็ดังมาจากด้านหลังเธอพร้อมกับเสียงพูดที่เต็มไปด้วยประสบการณ์
“ยอดเยี่ยมจริงๆ ให้ข้าเดา.. เจ้าคงเป็นพวก ‘ผู้ย้ายร่าง’ สินะ ถึงได้มีความแข็งแกร่งผิดปกติและเด็ดขาดถึงขนาดนี้”