บทที่ 197 – จุดเริ่มต้นของทุกอย่าง
สเตฟานี่นั้นรู้สึกผิดมาก สำหรับเธอแล้วเงินก้อนนี้มันคือเงินที่เหมือนเป็นเครื่องพิสูจน์ความสัมพันธ์ของเลทิเซียกับเธอ
ถ้าจะพูดให้เข้าใจๆ ง่ายๆ เลยคือ เธอนะคิดว่าเงินก้อนนี้หากใช้มันละก็มันก็จะเหมือนกับว่าเธอหวังผลประโยชน์จากเลทิเซีย
แล้วเธอจะไปต่างอะไรจากพวกเพื่อนที่เห็นแก่ได้กันล่ะ ดังนั้นการที่เธอไม่ใช้เงินก้อนนี้เลย มันก็เหมือนจะพิสูจน์ว่า
ตัวเธอนั้นไม่ได้หวังจะเอาเงินทองจากเลทิเซีย ไม่ใช่เพื่อนแบบนั้น แต่ทว่าเมื่อมามองเห็นครอบครัวตัวเองที่สภาพความเป็นอยู่ในตอนนี้
เธอก็กัดริมฝีปากๆ ได้แต่หาทางเลือกที่ดีที่สุด เธอไม่อาจจะทนมองครอบครัวเป็นแบบนี้ได้ แต่ทว่าเธอก็คงกลับไปสู้หน้าเลทิเซียไม่ได้
พอนึกถึงใบหน้าที่ใสซื่อบริสุทธิ์ของเลทิเซียที่บอกกับตัวเธอเองว่า
“เชื่อสิ เพราะเป็นเพื่อนนี่น่า”
มันทำให้สีหน้าของเธอบิดเบี้ยว พอเลโอน่ามองเห็นใบหน้าของลูกสาวตัวเอง เธอก็ยิ้มแล้วก็ส่ายหน้า
มีหรือ คนเป็นแม่อย่างเธอจะไม่เข้าใจลูกสาว เธอเข้าใจลูกสาวคนนี้ดียิ่งกว่าใครๆ เพราะงั้นเด็กคนนี้ถึงได้ถือครองคัมภีร์แห่งรูนของพ่อของเลโอน่าได้
สำหรับเลโอน่าเธอมองว่า คนแก่คนหนึ่ง กับคนป่วยที่ไร้ทางรักษานั้นไม่อาจจะมาพรากอนาคตที่สดใสของลูกสาวพวกเธอได้
ที่ส่งไปโรงเรียนนั้น เลโอน่ารู้ดีว่าสภาพทางการเมืองของพวกเธอในตอนนี้ ต่อให้สเตฟานี่เรียนจบขึ้นมาก็จริง
บางทีทั้งตัวเธอและรุยอัสเองก็คงไม่รอดถึงวันนั้นหรอก และต่อให้ดิ้นรนมีชีวิตจนถึงวันนั้นจริง แต่ศัตรูของพวกเธอคืออาณาจักรหนึ่ง
อีกทั้งยังมีขุนนางที่ชั่วร้ายอยู่ข้างๆ ต่อให้มียศถาบรรดาศักดิ์ขึ้นมาก็ไม่มีทางที่จะสู้ไหวอยู่ดี
สิ่งที่เลโอน่าต้องการคือ ส่งสเตฟานี่ไปเรียนพอเรียนจบจะได้ไม่มีปัญหาในการเอาชีวิตรอด อีกทั้งหากไปโรงเรียนระดับนั้น
โรงเรียนที่ไร้ซึ่งการแบ่งแยกชนชั้น เผ่าพันธุ์ เธอเชื่อว่าลูกสาวตัวน้อยคนนี้ของเธอต้องมีเพื่อนมากมายอย่างแน่นอน
เมื่อเห็นท่าทางที่แสนเจ็บปวดของลูกสาวสุดที่รักของเธอ มีหรือเธอจะบอกว่า เอามาสิทุกอย่างจะง่ายดายขึ้นอย่างแน่นอน
“ลูกเก็บเงินนั้นไว้เถอะ มันคงเป็นของชิ้นสำคัญของลูกไม่ใช่หรือไง”
“ตะ… แต่ว่า….”
เลโอน่ายิ้มออกมาเบาๆ เธอเขกหัวสเตฟานี่อย่างเบามือ ก่อนที่จะลูบหัวลูกสาวอย่างอ่อนโยน
“แม่ของลูกไม่ได้อ่อนแอขนาดต้องขอเงินจากลูกสาวใช้หรอกนะ”
“……”
สเตฟานี่พูดไม่ออก อาจจะเป็นเพราะเลทิเซียเป็นบุคคลที่สามที่ดูอยู่ มันเลยทำให้เธอเหมือนเข้าใจทั้งเลโอน่าและสเตฟานี่
บางทีนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เลทิเซียได้สัมผัสถึงความอบอุ่นจากสิ่งที่เรียกว่าพ่อแม่ ไม่สิ มันไม่ใช่ความรู้สึกขอองเธอหรอก
แต่เป็นความรู้สึกของสเตฟานี่ต่างหาก เลโอน่าคิดอยู่พักหนึ่ง ตอนแรกเธอคิดว่าจะไปทำงานต่อ
แต่พอเห็นลูกสาวตัวเองก็เปลี่ยนใจพลางคิดในใจว่า “พรุ่งนี้กินผักเปล่าๆ แทนก็แล้วกัน” เธอเลือกที่จะไม่ทำงาน
แม้ว่าพรุ่งนี้อาจจะไม่มีเงินซื้อข้าวกินก็ตามที เธอเลือกที่จะอยู่กับลูกสาวตัวน้อยของเธอในคืนนั้นพลางฟังสิ่งที่สเตฟานี่เจอมา
พอสเตฟานี่ได้เล่า เธอก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ก่อนอื่นเธอได้แนะนำเลทิเซียให้รู้จัก
“เลทิเซียน่ะนะ ตอนที่ข้าเดินทางไปโรงเรียนลิเบอร์แล้วถูกโจรเข้าทำร้าย คนที่ช่วยข้าไว้ก็คือเลทิเซียนี่แหละ”
“เธอน่ะแข็งแกร่งมาก แม้จะดูอายุน้อยกว่าข้าก็จริง แต่เธอน่ะต่อยพวกคนชั่วตายในหมัดเดียวเลยล่ะ”
“แล้วก็เซเรสเธอเป็นเพื่อนคนแรกของเข้าในโรงเรียนด้วยล่ะ เธอน่ะฉลาดมากเลยล่ะท่านแม่ เธอใจดีมากคอยช่วยสอนข้าทุกอย่างเลย”
“อ๊ะ แต่เธอเป็นเหมือนท่านพ่อเลย อาจจะไม่หนักเท่าแต่เหมือนว่าพักหลังๆ จะเริ่มรุนแรงขึ้น แต่ข้าจะไม่ยอมให้เธอเป็นอะไรแน่นอน”
“อะ แล้วก็เลทิเซียน่ะเหมือนว่าจะเรียนที่เดียวกันด้วย แถมข้าพึ่งมารู้ทีหลังว่าเธอคือองค์หญิงเลยนะ ท่านแม่!!”
“ถึงเธอจะเป็นองค์หญิงแต่เธอก็ไม่ทำตัวเหมือนพวกองค์หญิงคนอื่นเลยที่ดูน่ากลัวๆ เธอทั้งใจดีแล้วก็อ่อนโยน พวกเรากลายเป็นเพื่อนกันด้วยล่ะ”
สเตฟานี่พูดอย่างออกรส จะยังไงซะเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อแม่ เธอก็ยังเป็นแค่เด็กอายุ สิบสามขวบเพียงเท่านั้น
เลโอน่าที่ฟังอยู่ก็มีทั้งยิ้ม ทั้งหัวเราะ ทั้งลูบหัวสเตฟานี่ เธอมองลูกสาวตัวเองด้วยความรักเอ็นดู
“ดีแล้ว.. ดีแล้วๆ”
เธอพึมพำแบบนั้น จู่ๆ น้ำตาแห่งความสุขก็ไหลออกมาจากดวงตาของเธอ บางทีในตอนนี้เธอคงกำลังมีความสุขที่สุดในโลกแล้ว
“คุณคะ คุณรู้หรือเปล่าคะ ว่าลูกสาวเราน่ะกำลังสนุกล่ะ… เธอไม่ต้องมาคิดพะวงถึงแค่เราแล้ว หลังจากนี้ชีวิตเธอคงไม่ต้องจมปลักอยู่แค่กับพวกเราแล้ว”
เธอไม่ได้พูดออกมา แต่เธอคิดอยู่ในใจ ทุกอย่างล้วนอยู่ในสายตาของเลทิเซียทั้งหมด “พ่อแม่..งั้นเหรอ”
“ท่านแม่…?”
ในตอนนั้นสเตฟานี่ก็เอียงคออย่างสงสัย ทำให้เลโอน่ารีบเช็ดน้ำตาแล้วก็ยิ้มออกมารีบพูดกลบเกลื่อน
“อ๊ะ ว่าแต่เจ้ากลับมาคราวนี้มีอะไรเร่งด่วนอย่างนั้นเหรอ”
เลโอน่าถาม อันที่จริงเธอไม่ได้อยากให้ลูกสาวเธอกลับมาในตอนนี้เลย เพราะสถานการณ์ทางบ้านตอนนี้มันแย่มาก
แต่แน่นอนคนเป็นแม่คงไม่สามารถไล่ลูกสาวของตัวเองว่าไม่ต้องกลับมาได้ลงดังนั้นเธอได้แต่ตั้งคำถามถึงเหตุผลที่ลูกสาวกลับมา
“ข้าได้ยินว่า โกดังลับของเราถูกโจรปล้น…”
“เจ้ารู้เรื่องนั้นได้ยังไง?”
เลโอน่าผุดลุกขึ้น เธอไม่คิดจะบอกเรื่องนี้กับลูกสาวเธอ โกดังลับคือสมบัติของคุณปู่ของสเตฟานี่ชิ้นสุดท้ายที่หลงเหลืออยู่
เป็นโกดังที่คุณปู่ของเธอได้ศึกษาวิเคราะห์เพื่อสร้างคัมภีร์รูนเล่มที่สองขึ้นมา ภายในนั้นมีข้อมูลความสำคัญอยู่เยอะมาก
หากเผยแพร่สู่สาธารณะละก็ ทุกคนที่โหยหาคัมภีร์รูนต่างก็คงบ้าคลั่งและทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มันมาแน่ๆ
แต่เลโอน่าไม่ได้กลัวว่าของเหล่านั้นจะไปอยู่ในมือใคร เธอกลัวว่าหากมีคนโลภยิ่งกว่า พวกมันพอได้ทราบถึงคัมภีร์เล่มสองที่ปู่ของสเตฟานี่กำลังวิจัย
สิ่งที่พวกมันต้องการต่อมาคงเป็นคัมภีร์ที่อยู่สเตฟานี่ลูกสาวของเธอ และคัมภีร์เล่มนี้ได้ตกเป็นของสเตฟานี่แล้วไม่มีทางแย่งชิงได้
นั่นหมายความว่า ชีวิตของสเตฟานี่ก็คงไม่สงบสุขอีกต่อไป นั่นเป็นเหตุผลที่เลโอน่ากลัว ยิ่งตอนนี้ลูกสาวเธอมาอยู่ที่นี่ด้วยแล้ว
“เป็นเรื่องจริงสินะคะ… พวกมันรู้ได้ไงว่าตระกูลขุนนางตกอับอย่างพวกเรามีของล้ำค่าแบบนั้น ทั้งที่ข่าวการตายของท่านปู่ก็นานมาแล้ว”
“แถมการวิจัยของท่านปู่ก็เป็นความลับสุดยอดด้วย”
สเตฟานี่ถามด้วยความสงสัย เลโอน่าจ้องมองลุกสาวตัวเองที่ดูเฉียบแหลมไม่สมวัยเอาซะเลย เธอก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ลูกเองก็มีสิทธิ์จะได้รู้เรื่องนี้…”
“ท่านแม่?”
ในตอนนั้นเอง เลโอน่าก็ได้เปิดปากเล่าถึงความจริงอันไม่น่าเชื่อ ซึ่งสเตฟานี่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน
ย้อนกลับไปสมัยก่อน คนที่ช่วยคุณปู่ของสเตฟานี่ไว้ตอนจนปัญญาคือชายคนหนึ่งที่อ้างตัวว่าเป็นผู้กล้า
กับผู้หญิงคนหนึ่งที่บอกว่าตัวเองเป็นจอมเวทที่แข็งแกร่งที่สุดโลก และนั่นเองก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นหุ่นเชิดของพวกราชวงศ์
หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ราชาของอาณาจักรแห่งนี้
สองพี่น้องผู้กล้าที่ว่ากันว่ามีอายุยืนนานกว่าร้อยปีและเป็นผู้ย้ายร่างมาแล้วมากกว่าเจ็ดครั้ง