บทที่ 247 – รอยยิ้มที่หายไป
เลทิเซียได้แต่อุ้มร่างของเซเรสขึ้นมาอย่างโง่งม ราวกับวิญญาณได้หลุดออกจากร่างของเธอไปแล้ว
สเตฟานี่.. โคลเอ้..สุดท้ายก็มาถึงเซเรส.. เพื่อนของเธอสามคน.. ตายไปหมดแล้ว.. ตายไปโดยไม่ทันได้กล่าวอะไรต่อมิอะไรด้วยกัน
ยังไม่ได้คุยกับแบบปกติในรั้วโรงเรียน ยังไม่ได้ทานข้าวตอนเที่ยงด้วยกัน ยังไม่ทันได้สนุก ร้องไห้ เสียใจไปด้วยกัน..
ทุกคน..ตายหมดแล้ว..สีหน้าของเลทิเซียบิดเบี้ยว เธออยากจะเปิดปากแต่กลับไร้ซึ่งเสียงออกมา..
เธออ้าปากกว้างพยายามจะถามว่าทำไม.. ทำไมมันถึงเป็นแบบนี้อีกแล้ว.. แต่ปากของเธอกลับไม่มีเสียง
ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมาเลย..
“อ่า… อ่า”
ปากเธอเปิดออกความกลัว.. ความเสียใจ ความโดดเดี่ยว ภายใต้ความเงียบยามราตรีราวกับว่าบนโลกนี้เหลือเพียงแค่เธอกับร่างที่ไร้ชีวิตของเซเรส
“ฮ่าๆ ฮ่าๆ .. ตายหมดแล้ว..จะช่วงชิงใครไปอีก.. บอกมาสิ.. บอกมาเลย”
เลทิเซียที่ไร้ซึ่งคำพูดความรู้สึกมากมายที่ไม่อาจกล่าวออกมาจากริมฝีปากมันแปรเปลี่ยนเสียงหัวเราะของเธอ
เธอหัวเราะราวกับคนไร้สติ.. เงยหน้าตะโกนขึ้นฟ้าราวกับจะถามไถ่กับพระเจ้า.. เพื่อนเธอหายไปหมดแล้ว..
ตายหมดแล้ว.. แต่ในตอนนั้นเองในเสื้อของเซเรสก็มีกระดาษแผ่นหนึ่งร่วงลงใส่มือของเลทิเซีย
พังหมดแล้วเพื่อน..
สเตฟานี่กับเซเรสที่เดินคุยกันในยามราตรีภายในเมืองหลวงของอาณาจักรมิราลิส.. แบ่งปันของขวัญรอยยิ้มและความสนุก
เสียใจก็เสียใจไปพร้อมกัน.. อ่ามันช่างแสนสั้น.. มันสั้นมากเวลามันสั้นเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ใช่ สำหรับคนอื่นมันคงเป็นแบบนนั้น
ก็แค่คนที่เคยเที่ยวด้วยกันในระยะเวลาไม่กี่ชั่วเอง..
สำหรับคนอื่นมันอาจจะเป็นเช่นนั้น.. แต่สำหรับเลทิเซีย เธอที่เติบโตมาในโลกนี้หรือโลกก่อนไม่เคยมีเพื่อนมาก่อน
อันที่จริงตลอดเวลากว่าครึ่งชีวิตทั้งสองชาติของเธอ เธอแทบจะไม่เคยหาความสุขด้วยตัวเองอย่างการออกไปเที่ยวเลย
แต่ว่าช่วงเวลานั้น.. มันเป็นครั้งแรกที่เธอได้มีความสุขจริงๆ มีความสุขกับสิ่งที่เรียกว่า เพื่อน…
มันเป็นครั้งแรกในชีวิตของเธอเลยก็ว่าได้.. เมื่อลูกเสือได้ลองชิมเนื้อจากการล่าพวกมันก็ไม่อาจหยุดความหิวโหยที่มีต่อมันได้อีกเลย
ไม่ผิด มันเป็นครั้งแรกสำหรับเลทิเซีย คนที่ปฏิเสธสายสัมพันธ์คำว่าเพื่อนมาตลอด ยึดติดสายสัมพันธ์ของครอบครัว
เธอไม่เชื่อเรื่องเพื่อนมาก่อนจวบจนกระทั่งวันนั้น.. วันที่สเตฟานี่พูดขึ้นมาว่าเป็นเพื่อนกัน…
เซเรสบอกว่าเป็นเพื่อนกัน.. และโคลเอ้ที่คอยเป็นห่วงเป็นใยอยู่ห่างๆ .. ทุกอย่างสำหรับเลทิเซียที่ในตอนนี้.. ไม่ได้มองข้ามสิ่งเหล่านั้นเหมือนแต่ก่อน..
มันกลับกลายเป็นว่ายิ่งทำให้เธอเจ็บปวดราวกับมีมีดนับพันเล่มเสียบแทงลงที่กลางอก.. ความรู้สึกสูญเสียทั้งหมดทั้งมวล
ราวกับย้อนไปตอนนั้น.. ตอนที่เธอสูญเสียพี่สาวที่รักยิ่งของตัวเองไป…
“ฮ่าๆๆ ถ้าหาก..พระเจ้ามีอยู่จริง.. ถ้ามีคนที่คอยรังสรรค์โชคชะตาบการชีวิต.. มองดูความเป็นไปอย่างสนุกสนาน”
“มานั่งวิพากษ์วิจารณ์ฉัน.. ถ้าหากแกมีอยู่จริง..”
“พวกแกมันก็แค่พวกบัดซบที่สนุกได้จากการที่มีคนคนหนึ่งตาย.. คนคนหนึ่งที่ว่ามันคงไม่เคยสำคัญสำหรับแกเลย”
“แต่แกคงไม่เคยรู้ว่าคนคนหนึ่งที่ว่าก็มีคนที่รักเขาอย่างยิ่ง ใช่แก มันเป็นพระเจ้าที่รังสรรค์ทุกอย่าง”
“ถ้าหากแกมีอยู่จริง.. ฉันจะลากคอแกลงมาฆ่าทิ้งให้ได้เลย”
เลทิเซียตะโกนราวกับคนบ้าคลั่ง เธอโกรธ เธอเกลียด.. ทุกอย่าง พระเจ้า โลกใบนี้ โชคชะตา.. หรือแม้แต่ตัวเธอเอง
เธอเกลียดทุกอย่างที่ไม่เคยไขว่คว้าอะไรสักอย่างมาได้.. ไม่ว่าจะเติบโตเท่าไหร่ แข็งแกร่งแค่ไหน.. แต่สิ่งที่อยู่ภายในอกกลับไม่สามารถรักษาได้ด้วยสิ่งเหล่านั้น
หากโลกใบนี้มีสิ่งที่เธอเกลียดที่สุด.. สิ่งแรกที่เธอเกลียดคงเป็นตัวของตัวเองนั่นแหละ…
เลทิเซียในตอนนี้อยากจะหยิบมีดขึ้นมาแล้วก็แทงตัวเองให้มันรู้แล้วรู้รอด.. ให้มันตายลงไปซะได้ก็ดี..
แต่เธอก็ยังไม่อยากตาย…. อ่า.. ความรู้สึกมากมายทั้งรู้สึกว่าควรตายและไม่อยากตายเธอจึงเกลียดตัวเอง
เกลียด.. เกลียด..แล้วก็เกลียด
ความรู้สึกมากมายมันทำให้เธอแทบจะเป็นบ้า เสียงกรีดร้อง เสียงความโกรธของเธอมันดังขึ้นอย่างยาวนาน..
จนท้ายที่สุดเรี่ยวแรงที่แม้แต่จะเสียใจก็ยังไม่มี คอของเธอตกลงได้แต่นั่งกอดซากศพของเซเรสไว้ทั้งแบบนั้น
เวลาไหลผ่านไปนานแค่ไหนแล้วไม่มีใครรู้ เลทิเซียก้มมองเซเรสอย่างใกล้ชิด..
“ฉันน่ะ.. ทำร้ายพวกเธอมาตลอด”
“ฉันรู้อยู่แล้วล่ะ ไม่ว่าจะสเตฟานี่ โตคลเอ้หรือแม้แต่เธอเซเรส.. ฉันน่ะทำร้ายพวกเธอตลอดมา ทำให้พวกเธอต้องเจ็บปวด”
“ทำให้พวกเธอต้องเสียใจ สุดท้ายแล้วก็บอกปัดว่าไม่ใช่เพราะตัวฉันเองแต่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ที่ฉันทำไปก้เพราะกลัวว่าจะมีอะไรมาทำร้ายฉัน”
“มันไม่ใช่เรื่องของพลังหรืออะไรทั้งสิ้น.. ฉันแค่ไม่กล้ายอมรับสิ่งที่เรียกว่าความใจดีที่ไม่รู้จักเท่านั้น… ใช่ ฉันมันขี้ขลาด”
“เพราะความขี้ขลาดของฉันมันทำให้พวกเธอต้องเจออะไรต่อมิอะไร แต่กลับไม่มีสักครั้งเลยที่พวกเธอรู้ความจริงว่าทุกอย่างเป็นเพราะฉัน”
“ที่พวกเธอต้องเจออะไรแบบนี้ ทุกอย่างล้วนเป็นเพราะฉัน แม้แต่ถึงตอนที่พวกเธอจากไปแล้วก็ตามพวกเธอก็ยังไม่รู้เรื่อง”
เลทิเซียกัดริมฝีปาก.. เธอผ่านประสบการณ์สูญเสียมามากมาย.. ในตอนนี้หัวใจขอองเธอรู้สึกว่างเปล่า
แต่ทว่าจู่ๆ .. ความสิ้นหวังทั้งหมดมันก็ทำให้เธอหวนนึกถึงทุกอย่างในอดีต.. ไม่ว่าจะเป็นคำพูดของที่เป็นห่วงเธอ คำพูดสอนสั่ง คำแนะนำ
ทุกอย่างที่เธอพบเจอมามันย้อนทวนเป็นฉากๆ .. ใช่.. ตั้งแต่ที่เธอลืมตาดูโลกจริงๆ .. มันผ่านมานานแล้วล่ะ..
ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือชาตินี้เธอกอลับไม่เคยมองย้อนกลับไปเลย.. แต่ภายใต้ความเจ็บปวดจนสิ้นหวังมันทำให้เธอได้หลุดพ้นเข้าไปในช่วงอดีตของชีวิต
มันทำให้เธอได้พบสิ่งต่างๆ คำพูดของพี่… คำพูดของน้อง.. คำพูดของเลวี่ คำพูดของทุกๆ คน..
เธอในตอนนี้จะไม่ถามว่าตัวเองเป็นผู้ใหญ่หรือยัง ใช่แล้ว เธอน่ะรู้ตั้งแต่แรรกแล้วไม่ใช่เหรอว่า.. เธอไม่ควรจะเป็นแบบนี้
“บางทีหากพวกเธอรู้อาจจะโกรธเกลียด หรือชิงชังต่อฉัน.. หรือไม่ว่าจะยังไงก็ตามแต่.. แต่ว่าฉันจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”
“ไม่ใช่เพื่อคนที่ตาย ไม่ใช่เพื่อใครสักคน.. แต่เพื่อตัวฉันเองมีชีวิตในแบบที่ตัวเองเลือก มีความสุขในแบบที่ตัวเองต้องการ”
“สักวัน.. ในสักวันเมื่อวันนั้นมาถึง.. ฉันก็คงต้องไปเจอกับพวกเธอ.. และจะบอกทุกอย่างกับพวกเธอเอง..”
“ดังนั้น.. ทุกอย่าง.. ที่พวกเธอสอนให้ฉันรู้จักโลกใบนี้.. เป็นเพราะพวกเธอฉันถึงสามารถที่จะยอมรับสิ่งที่ตัวเองไม่เข้าใจ”
“ฉันจะเก็บมันเอาไว้..และก้าวเดินต่อไป”
“เพื่อที่จะซัดหน้าคนที่ทำให้โคลเอ้ต้องตาย”
“และจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกเด็ดขาด …ฉันสัญญา”
เลทิเซียกล่าวขึ้น ความเกร็ง ความโกรธ ความสับสน.. ทุกอย่างถูกคลายออกมา แต่ทว่าแววตาของเธอกลับเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน
ราวกับว่าเธอในตอนนี้.. ไม่ใช่..แล้ว.. สิ่งที่อยู่ในสายตาของเธอตอนนี้มีเพียงสีหน้าที่เหมือนคนอมทุกข์อยู่ตลอดเวลา
บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนแปลงไป.. ว่ากันว่า.. ชีวิตของคนเราเปรียบเสมือเรือเล็กในทะเลอันกว้างใหญ่ล่องลอยไปทางไหนล้วนอยู่ที่โชคชะตาและทางเลือกของตัวเอง
แต่ว่าไม่ว่าจะเรือลำไหนล้วนต้องเจอกับสิ่งที่เรียกว่าพายุ.. พายุนั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงตราบใดที่ล่องลอยอยู่ในทะเลจะต้องเจอในสักวัน
และใครที่รอดผ่านพายุเหล่านั้นมาได้ก็จะกลายเป็นคนใหม่ที่ไม่ใช่คนเดิม.. ใช่ มันคือช่วงเวลาแห่งการเติบโต
แต่ไม่ว่าจะเติบโตหรือไม่เลทิเซียในตอนนี้ไม่ได้สนใจอะไรแล้ว.. ดวงตาของเธอดูเฉยชาและเรียบนิ่ง…
“ใช่แล้วล่ะ.. ถ้าหากฉันในอดีตที่กลัวว่ามีใครจะมาทำร้ายตัวเองหรือครอบครัวเลยต้องระแวงไว้ก่อน ตอนนี้ฉันแค่เปลี่ยนแปลงตัวเองก็พอแล้วล่ะ”
“ใช่.. แค่ฉันกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดก็พอแล้วล่ะ..”
“อะไรกันก็แค่แข็งแกร่งที่สุดไม่ใช่หรือไง.. ในเมื่อโลกมันไม่เป็นตามที่ต้องการ.. ก็ทำให้มันเป็นไปตามที่ต้องการซะก็สิ้นเรื่อง”
“ฉันน่ะมีอยู่แล้วล่ะ.. สิ่งที่เรียกว่าพลังน่ะ”
เลทิเซียพึมพำ.. น้ำเสียงไร้ซึ่งความยินดียินร้ายมีเพียงความรู้สึกที่แตกต่างกันออกไปที่หลุดออกมาจากคำพูดของเธอ
บางทีนับตั้งแต่นี้.. ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป… รอยยิ้มบนใบหน้าของเลทิเซียคงจะหายากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทร
เลทิเซียค่อยๆ เก็บร่างกายของเซเรสเข้าไปในมิติเฉพาะก่อนที่จะนั่งลงบนเก้าอี้ของลาน่า..และยกมือขึ้นเท้าค้าง
“ลาน่า”
เลทิเซียพูดขึ้นเบาๆ เท่านั้น แต่ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้นลาน่าก็ปรากกขึ้นตรงหน้า… เธออยู่มานานพอสมควรแล้วแต่เธอไม่กล้าที่จะโผล่ออกมา
อันที่จริงเธอแค่ไม่อยากไปขัดอารมณ์อันมากมายของเลทิเซีย..
“ข้าอยู่นี่ องค์หญิง”
เลทิเซียไม่ได้ตกใจหรือแปลกใจอะไรเพราะเธอก็รู้แต่แรกแล้วเช่นกัน.. ปัจจัยในการที่จะปกป้องตัวเอง.. ปกป้องครอบครัว… ปกป้องชาร์ล็อต
คือ..
“บอกฉันเกี่ยวกับทุกอย่างบนโลกนี้ในปัจจุบัน”