การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม – ตอนที่ 249

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

บทที่ 249 – พันธสัญญาโซลของเลทิเซีย..?

หลังจากที่เลทิเซียแยกกับลาน่า เธอก็มุ่งหน้ากลับไปที่ห้องของตัวเอง พอเดินมาถึงก็นั่งลงบนเตียงแล้วก็หลับตาลง

หลังจากการต่อสู้ในครั้งนั้นเธอได้สัมผัสกับบางสิ่งบางอย่างที่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นแต่เหมือนจะตื่นขึ้นมาเฉยๆ แต่ยังไม่ได้ผูกมัดกับเธอ

ใช่.. สิ่งที่ว่าคือ… พันธสัญญาโซล…พันธสัญญาโซลเกิดขึ้นมาจากพาลาดินทั้งห้าที่สร้างกฎเกณฑ์ใหม่เพิ่มเข้ามา

มันเลยทำให้เลทิเซียรู้เกี่ยวกับมันไม่ค่อยมากเท่าไหร่ อย่างไรก็ตามจากคำบอกเล่าของลาน่าและที่เจอในหนังสือ

พันธสัญญาโซลนั้นคล้ายคลึงกับการทำสัญญากับภูต แตกต่างจากตรงที่ว่าพันธสัญญาโซลนั้นคือการผูกมัดอย่างเบ็ดเสร็จ

เหมือนกับความสัมพันธ์นายบ่าวมากกว่าความสัมพันธ์แบบภูต เพราะแบบภูตคือการที่บุคคลหนึ่งได้รับการยอมรับจากภูตบางชนิด

และสามารถหยิบยืมพลังเหล่านั้นมาใช้ได้ ยกตัวอย่างเช่นเลวี่ เธอเป็นที่รักของเหล่าภูตทำให้เธอได้รับการหยิบยืมพลังจากภูตได้นั่นเอง

นอกจากนี้ทำสัญญากับภูตนั้นยังต่างจากพันธสัญญาโซลอีกอย่างคือ ภูตนั้นคือสิ่งที่กำเนิดขึ้นมาจากต้นตอหรือต้นกำเนิดแห่งความเป็นจริง

เป็นตัวแทนของสรรพสิ่งนั้นๆ และแน่นอนว่าด้วยเหตุนั้นทำให้เหล่าภูตมีสติปัญญา ต่างจากโซล

โซล ก็ตามชื่อคือดวงวิญญาณ พันธสัญญานี้เกิดขึ้นจากดวงวิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้นมาใหม่ไปตรงกับดวงวิญญาณบางอย่างในอดีตกาล

จึงทำให้เกิดสิ่งเหนือล้ำขึ้นมา.. เช่นอาวุธของบุคคลในอดีต พลังของบุคคลในอดีต ทุกอย่างล้วนเป็นไปได้หมดไม่ว่าจะเป็นพลังในรูปแบบนามธรรมหรือรูปธรรมที่สามารถจับต้องได้

โดยประเภทของโซลจะแบ่งออกเป็นหลักๆ อยู่ราวๆ ห้าประเภท..

ประเภทแรก โจมตี

ประเภทสอง ป้องกัน

ประเภทสาม สนับสนุน

ประเภทสี่ พิเศษ

ประเภทห้า ลึกลับ

ประเภทที่หนึ่งกับสองก็ตามชื่อ โดดเด่นในเรื่องการโจมตีและป้องกันมากที่สุด ส่วนประเภทที่สามสนับสนุนก็คือการสนับสนุนในด้านพลังหรือด้านการรักษาเป็นต้น

ส่วนประเภทที่สี่คือเป็นการโจมตีในรูปแบบพิเศษอาจจะมาในรูปแบบพิษหรืออาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นการโจมตี

อาจจะมาในรูปแบบปกปิดตัวตนหรืออะไรก็เป็นไปได้ ส่วนประเภทที่ห้าก็คือลึกลับตามชื่อเลย วิญญาณโซลทุกอย่างที่ไม่จัดอยู่ในประเภทด้านบนจะถูกจัดอยู่ประเภทลึกลับทั้งหมด

แน่นอนว่าพันธสัญญาโซลไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าทักษะหรือไม่ใช่แม้แต่เวทมนตร์ แต่ว่ากันว่าพาลาดินทั้งห้าร่วมมือกันสร้างสิ่งนี้ขึ้นมาเพื่อที่จะยกระดับความสามารถของสิ่งมีชีวิตขึ้น

เพราะสิ่งที่เรียกว่าทักษะต้องได้รับการยอมรับจากเทพเสียก่อน แต่ว่าเทพไม่ใช่จะหาเจอกันได้ง่ายๆ ดังนั้นความสมดุลของสิ่งมีชีวิตจึงกลายเป็นว่าขึ้นอยู่กับเทพทั้งหมด

ไม่มีความอิสรเสรีในตัวเองเลยพวกเขาจึงสร้างสิ่งนี้มา แม้มันอาจจะไม่สามารถเทียบได้กับทักษะที่พระเจ้าจะมอบให้ก็ตาม

แต่ก็ยังนับว่ามีประโยชน์อย่างมาก.. โดยพันธสัญญาโซลจะมีวิธีเกิดขึ้นอยู่สองแบบ แบบแรกคือปลุกโซลและทำพันธะในโรงเรียนทั้งห้า

แบบที่สองคือเมื่อตรงกับเงื่อนไขบางอย่างที่พาลาดินทั้งห้าได้สร้างไว้ก็จะเกิดขึ้นมา แต่แน่นอนว่าเพราะโซลนั้นไร้ซึ่งสติดังนั้นการจะทำพันธสัญญาโซลต้องมาที่โรงเรียนเสียก่อนอยู่ดี

ไม่งั้นก็จะไม่อาจควบคุมพลังได้.. ฟังดูแปลกอยู่บ้างพาลาดินสร้างสิ่งนี้มาเพื่อให้ผู้คนมีอิสระจากการควบคุมของเทพเจ้า

แต่พลังนี้ยังต้องได้รับการยอมรับจากตัวพวกเขาเองอีกที .. แต่ก็นะพวกเขาแค่ต้องการค่าธรรมเนียมนิดหน่อยประมาณอยากได้เงินนั่นแหละ

ซึ่งก่อนหน้านี้ที่เลทิเซียมีความรู้สึกว่าต้องการความช่วยเหลือสิ่งนี้จึงเหมือนตื่นขึ้นมา แต่เลทิเซียสัมผัสได้รางๆ เท่านั้น

เหมือนกับว่าเจ้าโซลตัวนี้มันอยากจะปกปิดตัวตนจากเธอยังไงยังงั้น แต่ว่าโซลไม่มีสติวิญญาณสักหน่อยเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งที่เหลือรอดมาจากอดีตเท่านั้น

ดังนั้นเลทิเซียจึงสงสัยมากพอเธอหลับตาลงและพยายามจะสัมผัสถึงสิ่งนั้น.. สิ่งนั้นก็เหมือนจะตอบสนองต่อความรู้สึกของเลทิเซีย

“ข้าออกไปได้แล้วใช่ไหม..?”

เสียงนั้นเป็นเสียงเหมือนผู้หญิงเธอพูดแบบกล้าๆ กลัวๆ ซึ่งเป็นเสียงที่คุ้นหูเลทิเซียอยู่มากเลยทีเดียว

แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าเคยได้ยินจากที่ไหน หลังจากเลทิเซียไม่ได้ตอบเสียงนั้นเธอก็ดูร้อนใจอยู่สักพักรีบซ่อนตัวอีก

“เดี๋ยวสิ”

เลทิเซียพยายามจะห้ามเอาไว้แต่ก็ไม่ทันซะอย่างนั้น ทำให้ต้องถอนหายใจออกมา เริ่มจะค้นหาเจ้าเสียงนั้นอีกรอบ

อย่างที่รู้ว่าสิ่งที่เรียกว่าวิญญาณโซลนั้นมีมาตั้งแต่ตอนที่เราเกิดแล้วไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ราวกับว่าวิญญาณของเรากับวิญญาณโซลมีความเกี่ยวข้องกัน

ดังนั้นจุดซ่อนตัวของอีกฝ่ายที่หลบซ่อนจากเลทิเซียก็ควรจะเป็นภายในวิญญาณ แต่ประเด็นคือหลังจากที่เลทิเซียเรียกรอบแรก

อีกฝ่ายก็เหมือนจะไม่ได้ซ่อนตัวอยู่ในวิญญาณของเลทิเซียอีกแล้ว อีกทั้งอีกฝ่ายยังมีสติปัญญาอีกตั้งหาก

“อืม.. นี่มันหมายความว่าไง”

เลทิเซียได้แต่เกาหัวด้วยความงุนงง อันที่จริงเธอก็นอนไม่หลับอยู่แล้ว.. ดังนั้นเธอจึงคิดจะไล่ล่าหาเจ้าวิญญาณโซลตนนี้ให้ได้

เวลาผ่านไปเลทิเซียหาจนแทบจะผ่าร่างกายตัวเองหา แต่ก็ไม่เจอเหมือนกับว่าตัวเธอกับอีกฝ่ายไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันด้วยวิญญาณตั้งแต่แรก

“หรือว่า.. วิญญาณของผู้คนจากต่างโลกจะไม่มีวิญญาณโซลเหมือนคนในโลกนี้?”

เลทิเซียไม่เข้าใจจึงได้แต่คาดเดาดังกล่าว เพราะหากว่าวิญญาณโซลคือวิญญาณของผู้คนจากอดีตที่แปรมาเป็นพลังบางอย่างให้กับคนในสมัยนี้

ก็อาจจะเป็นไปได้ว่า วิญญาณโซลของตัวเลทิเซียไม่ใช่วิญญาณในอดีตของคนบนโลกนี้ แต่เป้นวิญญาณในอดีต

ไม่หรอกมั้ง แต่ก็ไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมอีกฝ่ายถึงหาตัวยากนัก เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงจนฟ้าเริ่มสว่างแล้ว

เลทิเซียใช้เวลาทั้งคืนในการหาในที่สุดก็เจอ.. อันที่จริงเหมือนอีกฝ่ายจะอยู่ที่เดิมแค่ปกปิดตัวตนอยู่

ถ้าหากเลทิเซียในอดีตคงสั่นกลัวต่อสิ่งนี้ว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในดวงวิญญาณตัวเองมันน่ากลัวจะตาย แต่เธอในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกถึงความเป็นศัตรูจากอีกฝ่ายเธอเลยไม่ได้คิดอะไรมาก

“เธอ…”

“อ่า.. เจอข้าอีกแล้ว ข้าขอโทษ ข้าจะซ่อนให้มิดกว่านี้”

อีกฝ่าตกใจเหมือนกำลังกลัวอะไรสักอย่าง พยายามจะซ่อนตัวอีกครั้งแต่เลทิเซียรีบพูดก่อนเพราะจำได้จากคราวที่แล้ว

“ฉันบอกว่าไม่เป็นไรไง”

“เอ้ะ …?”

เธอเอียงคออย่างสงสัย ก่อนที่จะมีเสียง “อืมมมมม” ดังขึ้นมาเหมือนกำลังพินิจพิเคราะห์เลทิเซียว่าเธอไม่เป็นไรจริงไหม

“อ่า? ท่านกลายเป็นท่านแล้วเหรอ? ค่อยยังชั่ว ข้าก็ดันถูกเรียกออกมาตอนที่ท่านไม่ปกติก็กลัวแทบแย่”

“เธอพูดเรื่องอะไร?”

“ก็แบบท่านเคยบอกกับข้าว่า ท่านในตอนนั้นมีนิสัยที่แย่มาก.. อ้ะ เรื่องนี้ข้าไม่ควรพูดนี่น่า แหะๆ ไม่นับแล้วกัน”

เธอพูดติดตลกเหมือนพยายามเล่นมุกให้เลทิเซียขำ แต่น่าเสียดายมุกเพื่อนซี้ที่พยายามทำตัวติดตลกมันไม่มีผล เพราะเลทิเซียไม่เคยรู้จักคนแบบเธอมาก่อนมันเลยแป้กไป..

เหมือนกับมีคนแปลกหน้ามาบอกว่า นี่ๆ เธอจำฉันได้ไหมที่เราเต้นด้วยกัน.. อ้ะ.. ทักผิดคนล่ะ เทะเฮะ อะไรแบบนั้นอะนะ

“…..”

เลทิเซียเองก็พูดไม่ออก.. เสียงนั้นพอรู้สึกตัวในสิ่งที่ตัวเองทำพลาดไปจึงรู้สึกอับอายและก็พูดไม่ออก..

เลทิเซียที่เห็นว่าอีกฝ่ายก็จนปัญญา ไม่รู้สรรหาอะไรมาพูดต่อ.. เธอจึงพูดแทนเมินๆ สิ่งที่พึ่งเกิดขึ้นไป

“เธอเป็นใคร”

“แฮะๆ”

อีกฝ่ายที่ได้รับกับช่วยเหลือจากเลทิเซียไม่ให้บรรยากาศของทั้งสองเงียบลงก็ได้แต่หัวเราะแก้เขิน..

ก่อนที่ในโลกแห่งความเป็นจริงตรงหน้าเลทิเซียจะมีแสงส่องประกายออกมา ซึ่งมันดึงดูดให้สายตาของเลทิเซียลืมขึ้น..

แต่ในตอนที่เธอลืมตาขึ้นเงาร่างที่อยู่ภายในแสงก็พุ่งเข้าหาเธอ..

“อ่าาาา ในที่สุดข้าก็ได้เจอ… ท่าน..ท่านจอมมาร”

เธอพุ่งเข้าใส่เลทิเซียแล้วก็กอดเลทิเซียสุดแรงเกิดจนแม้แต่เลทิเซียก็ยังหลบไม่ทัน แต่ทว่าพออีกฝ่ายสัมผัสกับเลทิเซียร่างกายของเลทิเซียก้อ่อนไหวราวกับรู้สึกเหมือนได้รับกอดจากคนสำคัญยิ่ง

ไม่อาจปฏิเสธหรือต่อต้านได้เลย แม้ยังสับสนต่อสถานการณ์พิลึกพิลั่นนี้อยู่ก็ตามที

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม

Status: Ongoing
เรน ชายหนุ่มผู้มองโลกในแง่ร้ายสุดแสน ดันเป็นบัคจึงไปเกิดใหม่ในต่างโลกพร้อมพรสามข้อได้ แต่ด้วยพรสามข้อบางอย่างในคำขอทำให้เขาเกิดใหม่เป็นผู้หญิงทั้งยังกลายเป็นจอมมารไม่พอยังถูกแม่ตัวเองทิ้งไว้กลางป่าไปเฉยเลย!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท