สวีลิ่งอี๋มีสีหน้าชื่นชม “เจ้ากับเจี้ยเกอไปจัดการเรื่องนี้ด้วยกันเถิด!” สวีซื่อจุนขานรับด้วยความเคารพ“ขอรับ”
เมื่อเห็นว่าผู้ใหญ่พูดคุยกันเสร็จแล้ว ถิงเกอก็วิ่งไปหาสืออีเหนียงด้วยรอยยิ้ม “ท่านย่า ท่านอาหกจะกลับมาเมื่อไรขอรับ”
เมื่อได้ยินเขาพูดถึงจิ่นเกอ แววตาของสืออีเหนียงก็หม่นหมอง ฝืนทำท่าทางมีชีวิตชีวา ยิ้มอย่างอ่อนโยน “ถิงเกอคิดถึงท่านอาหกหรือ”
ถิงเกอพยักหน้า ยิ้มพลางพูดว่า “ท่านอาเจ็ดบอกว่าหากท่านอาหกอยู่ที่เรือนก็คงดี พวกเขาจะได้ไปต้าถงด้วยกัน” พูดพลางดีดตัวขึ้นมาอย่างมีความสุข “ท่านย่า ท่านย่า เมื่อข้าโตแล้วจะตามท่านอาหกกับท่านอาเจ็ดไปต้าถงด้วย!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางกอดถิงเกอไว้ในอ้อมแขน “ถิงเกอของพวกเราช่างเป็นเด็กดีจริงๆ !”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน สวีซื่อเจี้ยกับอิงเหนียงก็พาจวงเกอมาพอดี
จวงเกอมองถิงเกอที่อยู่ในอ้อมแขนของสืออีเหนียงด้วยความอิจฉา
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็ยิ้มพลางกวักมือเรียกเขา
จวงเกอวิ่งไปหานางทันที พี่น้องสองคนยิ้มพลางจับมือกัน
สวีลิ่งอี๋กำชับสวีซื่อเจี้ยกับสวีซื่อจุนให้ไปปิดร้านข้าวด้วยกัน ซ้ำยังกำชับทั้งสองคนอีกว่า “…ส่งองครักษ์ไปด้วยสักสองสามคน เมื่อถึงเวลานั้นเกรงว่าจะเกิดการปล้นเสบียงอาหาร!”
สวีซื่อจุนพูดอย่างครุ่นคิดว่า “ติดประกาศดีหรือไม่ขอรับ บอกว่าเนื่องจากปิดเมืองทำให้ไม่สามารถขนย้ายข้าวเข้ามาได้ ร้านข้าวไม่มีข้าวให้ขาย เมื่อคนอื่นรู้ว่าร้านข้าวปิดด้วยเหตุผลนี้ก็จะไม่มีการปล้น เช่นนี้พวกเราก็จะได้ไม่ต้องส่งองครักษ์ไปแล้ว…” เขาพูดอย่างลังเลว่า “ข้าเกรงว่าเมื่อถึงเวลานั้นจะมีกำลังคนในเรือนไม่เพียงพอ…”
“ไม่ได้!” สวีลิ่งอี๋คัดค้านทันที “เช่นนี้จะทำให้คนตื่นตระหนกได้ง่าย ส่งคนไปจะดีกว่า! ส่วนเรื่ององครักษ์ในเรือน ข้าจะไปปรึกษากับพ่อบ้านไป๋”
สองพ่อลูกกำลังปรึกษาเรื่องในเรือน ส่วนบรรดาสตรีก็นั่งฟังเงียบๆ อยู่ข้างๆ หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้วสวีลิ่งอี๋ก็ลุกขึ้น ทุกคนตามเขาไปที่เรือนไท่ฮูหยินด้วยกัน
ไท่ฮูหยินอยู่ที่ห้องพระ ตอนที่ออกมาบนตัวนางยังมีกลิ่นไม้จันทน์จางๆ
“ท่านไปกราบไหว้พระตั้งแต่เช้าเช่นนี้เลยหรือขอรับ” สวีลิ่งอี๋ถามด้วยรอยยิ้ม
“ข้างนอกวุ่นวาย แล้วก็ยังไม่รู้ว่าเผ่าตาดมองโกลจะถูกกำจัดหมดสิ้นเมื่อไร” สีหน้าของนางไม่ค่อยดีนัก มีฮูหยินสองช่วยพยุงไปนั่งที่เตียงเตาริมหน้าต่างด้วยท่าทางเหนื่อยล้า “ข้าไปจุดธูปบูชาพระโพธิสัตว์ ขอให้พระโพธิสัตว์อวยพรให้แม่ทัพโอวหยางหมิงได้รับชัยชนะกลับมาโดยเร็ว ใต้หล้าก็จะสงบสุข!”
เมื่อรู้ว่าเมืองเซวียนถงถูกตีแตก สวีลิ่งอี๋ก็ไปรับไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ กลับมาจากซีซานทันที
“ท่านแม่อย่ากังวลจนเกินไปเลย” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางรับถ้วยชาที่สาวใช้ยกมาให้ไท่ฮูหยินด้วยตัวเอง พูดปลอบใจไท่ฮูหยินว่า “เรามีทหารสี่แสนนาย! จะได้รับข่าวดีจากต้าถงเร็วๆ นี้แน่นอน” จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เล่าความคิดเห็นของสวีซื่อจุนที่จะปิดร้านข้าวทั้งสองแห่งของตระกูลให้ไท่ฮูหยินฟัง
ไท่ฮูหยินมองสวีซื่อจุนด้วยความเอ็นดู พยักหน้าเล็กน้อย “นี่ถึงจะเป็นสิ่งที่ซื่อจื่อควรมี” จากนั้นก็เหลือบมองคนอื่นๆ ในห้อง พูดกำชับว่า “พวกเจ้าต้องจำไว้ว่าอย่าแก่งแย่งผลประโยชน์กับราษฎรเด็ดขาด จะทำให้ถูกคนเกลียดชัง!”
ทุกคนขานรับอย่างเชื่อฟัง
สวีลิ่งควนกับฮูหยินห้าพาเซินเกอกับเฉิงเกอมาหา
หลังจากคำนับไท่ฮูหยินแล้วทุกคนก็ทักทายซึ่งกันและกัน เมื่อหันกลับมาอีกครั้งพบว่าไท่ฮูหยินนั่งงีบหลับอยู่ตรงนั้นแล้ว ทุกคนรีบหยุดบทสนทนา
ฮูหยินสองเขย่าตัวไท่ฮูหยินอย่างเบามือ “ท่านแม่ หากท่านเหนื่อยแล้วก็กลับไปพักผ่อนที่ห้องก่อนเถิด!”
ไท่ฮูหยินเงยหน้าขึ้น มองทุกคนด้วยสีหน้ามึนงงเล็กน้อย “เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่คุยกันเสียแล้ว!”
สวีลิ่งอี๋ส่งสายตาให้สวีลิ่งควน ยิ้มแล้วพูดว่า “เรือนนอกยังมีเรื่องให้ต้องจัดการ พวกเรากำลังจะขอตัวกลับแล้วขอรับ!”
“อ้อ!” ไท่ฮูหยินพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเจ้าก็รีบไปเถิด!” จากนั้นก็กำชับฮูหยินสองว่า “ไปเอาวัชรปรัชญาปารมิตาสูตรออกมา พวกเรามาคัดลอกต่อจากเมื่อวานกันเถิด”
ฮูหยินสองตอบรับด้วยรอยยิ้ม ส่วนคนอื่นๆ ก็ลุกขึ้นกล่าวลา
ยังไม่ทันเดินออกจากลาน สวีลิ่งควนก็ดึงสวีลิ่งอี๋ไป “พี่สี่ ข้ามีเรื่องจะปรึกษาท่าน”
สวีลิ่งอี๋คิดอยู่ครู่หนึ่ง “พวกเราไปห้องหนังสือกันเถิด!”
สวีลิ่งควนพยักหน้า เดินเคียงไหล่ไปกับสวีลิ่งอี๋
สืออีเหนียงกับฮูหยินห้าพูดคุยกันสองสามประโยคแล้วก็แยกย้ายกันไป
เจียงซื่อพยุงสืออีเหนียง “ท่านแม่ สีหน้าท่านไม่ค่อยดีนัก ให้เชิญหมอหลวงมาตรวจดูดีหรือไม่เจ้าคะ”
อิงเหนียงพาเด็กทั้งสองคนเดินนำหน้าด้วยรอยยิ้ม เมื่อได้ยินดังนั้นก็หันกลับมามองสำรวจสืออีเหนียง “ท่านแม่ ท่านยังไม่ดีขึ้นใช่หรือไม่ พี่สะใภ้สี่พูดถูกแล้ว ไปเชิญหมอหลวงมาตรวจจะดีกว่าเจ้าค่ะ!”
“ไม่ต้องหรอก!” ไม่ได้หลับสนิทมาติดต่อกันสองคืน ทั้งยังเป็นห่วงจิ่นเกอ สีหน้าจะดูดีได้อย่างไร สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “ข้าพักผ่อนสักหน่อยก็ดีขึ้นแล้ว!” แล้วพูดกับเจียงซื่อว่า “ทางด้านห้องโถงบุปผา เจ้าไปจัดการเถิด!หากมีอะไรที่ตัดสินใจไม่ได้ค่อยมาถามข้า!”
เมื่อทั้งสองคนเห็นท่าทีที่แน่วแน่ของนางก็ไม่อาจพูดอะไรมากได้ ปรนนิบัติสืออีเหนียงพักผ่อน จากนั้นเจียงซื่อก็ไปจัดการเรื่องในเรือนที่ห้องโถงบุปผา ส่วนอิงเหนียงก็พาเด็กทั้งสองคนไปเล่นที่ลานหลัก หากสืออีเหนียงมีเรื่องอันใดก็จะไปหาได้ในทันที
ทันทีที่สืออีเหนียงหลับตาลงก็ไม่ได้ยินเสียงใดๆ เลย เห็นได้ชัดว่าอ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่กลับนอนไม่หลับ ในสมองเต็มไปด้วยภาพของจิ่นเกอ
ถ้าหากไปถึงขั้นนั้นจริงๆ กงตงหนิงจะมอบหมายตำแหน่งอะไรให้จิ่นเกอ จะให้จิ่นเกออยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัยเพื่อรักษาชีวิตของเขา หรือจะเหมือนกับยงอ๋องที่คิดว่านี่เป็นโอกาสสำหรับจิ่นเกอที่จะนำทัพทำผลงานทางทหารและได้รับยศถาบรรดาศักดิ์
แม้ว่าจะไม่เคยเห็นกงตงหนิง แต่จากที่สวีลิ่งอี๋บรรยายถึงกงตงหนิง เกรงว่ากงตงหนิงจะเป็นคนที่ทำศึกสงครามด้วยความอาจหาญ…เช่นนั้นก็แย่แล้ว…เป็นไปได้ว่าเขาจะจัดการให้จิ่นเกอออกศึกฆ่าศัตรู…
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สืออีเหนียงจะหลับลงได้อย่างไร
นางรีบหยัดกายลุกขึ้นนั่ง
หันเซี่ยวที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายรีบเข้ามาพลางถามเสียงเบาว่า “ฮูหยิน ท่านต้องการอะไรหรือเจ้าคะ”
นางต้องการให้บุตรชายปลอดภัย
สืออีเหนียงพูดในใจ นางไม่เคยอยากให้โอวหยางหมิงเอาชนะเผ่าตาดมองโกลเหล่านั้นได้มากขนาดนี้มาก่อน
นางอดพนมมือไม่ได้แล้วเอ่ยปากขอพร “พระโพธิสัตว์โปรดคุ้มครองด้วยเถิด”
สีหน้าของหันเซี่ยวเต็มไปด้วยความสงสัย พูดเสียงเบาว่า “ฮูหยิน ท่าน…ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ”
นางปรนนิบัติสืออีเหนียงได้ยังไม่นาน แต่ก็พอดูออกว่าสืออีเหนียงไม่ค่อยชอบบูชาพระโพธิสัตว์ อย่างน้อยในเรือนของสืออีเหนียงก็ไม่มีห้องพระหรือศาลเจ้าเหมือนกับสตรีคนอื่นในตระกูลที่มั่งคั่ง ยิ่งไม่มีเวลาว่างไปเรียกไต้ซือมาเทศนาพระคัมภีร์หรือสนทนาที่เรือน
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็เอาผ้าห่มออก “หันเซี่ยว เจ้าไปเรียกหู่พั่วเข้ามา!”
หันเซี่ยวไม่กล้ารอช้ารีบไปเรียกหู่พั่วมาทันที
“หู่พั่ว” สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “ข้าอยากไปจุดธูปบูชาที่วัดฉือหยวน เจ้าไปพูดกับพ่อบ้านไป๋สักหน่อยเถิด ดูว่าสะดวกหรือไม่!”
มีความสับสนปรากฏในแววตาของหู่พั่วอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แต่ไม่นานก็กลับมาสงบลงเช่นเดิม นางขานรับอย่างนอบน้อมแล้วรีบรุดไปหาพ่อบ้านไป๋
บรรยากาศด้านนอกพลันตึงเครียดเล็กน้อย เนื่องจากเป็นความตั้งใจของสืออีเหนียง พ่อบ้านไป๋จึงพยายามเตรียมการให้ดีที่สุด
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พ่อบ้านไป๋ได้ส่งองครักษ์ติดตามสืออีเหนียงไปวัดฉือหยวนด้วยตัวเอง
วัดฉือหยวนคละคลุ้งไปด้วยควันธูป บรรดาสตรีหลายคนนั่งคุกเข่าบนฟูกพลางสวดภาวนาเป็นเวลานานไม่ยอมลุก ไม่ง่ายเลยกว่าผู้ดูแลวัดฉือหยวนจะหาโอกาสต้อนรับสืออีเหนียงไปที่ตำหนักต้าสย่งเป่าได้
“ขอท่านคุ้มครองจิ่นเกอให้ปลอดภัย ขอเพียงแค่เขาปลอดภัยกลับมา ข้ายินดีที่จะเป็นผู้ศรัทธาของท่านนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป…” สืออีเหนียงหลับตาลงพลางสวดอ้อนวอนด้วยความศรัทธา
แต่สิ่งต่างๆ ยังคงดำเนินไปในทิศทางที่ไม่น่าพอใจ
ไม่กี่วันต่อมารายงานสงครามก็มาถึง กองทหารของโอวหยางหมิงแบ่งออกเป็นสามเส้นทาง เส้นทางหนึ่งเพื่อสนับสนุนต้าถง อีกเส้นทางหนึ่งเพื่อล้อมจับเผ่าตาดมองโกลที่ยึดครองเซวียนถง ส่วนอีกเส้นทางหนึ่งประจำการอยู่ในพื้นที่ที่ห่างจากเยี่ยนจิงสี่ร้อยลี้ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่สามารถล้อมเซวียนถงไว้ได้นาน กองทัพต้าถงถูกโจมตีจนต้องถอยกลับ สูญเสียกองกำลังไปสามในสิบส่วน
ฮ่องเต้เรียกสวีลิ่งอี๋เข้าวัง
ยังไม่ถึงตอนเที่ยงสืออีเหนียงก็ได้รับข่าว
กรมกลาโหมได้แต่งตั้งกงตงหนิงเป็นผู้นำกองทัพฝ่ายขวาแห่งกองทัพภาค ติงจื้อได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองเจ้ากรมกลาโหม กงตงหนิงไม่จำเป็นต้องเข้าวังมาแสดงความขอบพระทัย ให้นำกองทัพทหารฝ่ายขวาแห่งกองทัพภาคไปประจำการเมืองกานโจวทันที ส่วนติงจื้อให้เข้าเมืองหลวงมารับตำแหน่งโดยฉับพลัน
สืออีเหนียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น พูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่
ตอนกลางวันสวีลิ่งอี๋ก็กลับมา
หู่พั่วออกมาต้อนรับ
“ท่านโหว” เสียงของนางเบากว่าปกติเล็กน้อย “ฮูหยินไม่สบาย กำลังนอนอยู่ที่ห้องชั้นใน…” ยังไม่ทันพูดจบ เสียงของสืออีเหนียงก็ดังมาจากห้องชั้นใน “ท่านโหวกลับมาแล้วใช่หรือไม่” หู่พั่วมีสีหน้าลังเล
สวีลิ่งอี๋เปิดม่านแล้วเดินเข้ามา
“ข้ากลับมาแล้ว!”
สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นนั่ง ให้สาวใช้ที่ปรนนิบัติอยู่ข้างๆ ถอยออกไป
“คนที่ท่านส่งไปยังอยู่รอบตัวจิ่นเกอหรือไม่” แสงในมุ้งสลัว แต่ยิ่งขับให้เห็นผิวขาวราวหิมะของนางอย่างชัดเจน แฝงไว้ด้วยความอ่อนแรงเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋นั่งลงข้างเตียง จับมือนางไว้ “อยู่รอบตัวเขาเสมอ” แล้วพูดขึ้นมาว่า“ ข้าได้ให้คนนำจดหมายไปให้พวกเขาแล้ว ให้พวกเขาใส่ใจความปลอดภัยของจิ่นเกอให้มาก…”
“อาจารย์ผังไม่ใช่ทหาร เขาจะสามารถติดตามไปด้วยได้หรือ” สืออีเหนียงตัดบทสนทนาของเขา ทำให้ประโยคที่เขาต้องการเอ่ยปลอบนางว่า ‘เจ้าไม่ต้องกังวล’ ถูกกลืนลงไป ซ้ำยังทำให้เขาประหลาดใจจนน้ำเสียงเคร่งขรึมเล็กน้อย ใช้เวลาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ข้าได้ให้คนช่วยให้อาจารย์ผัง หวงเสี่ยวเหมา หลิวเอ้อร์อู่ได้รับสถานะทางทหารแล้ว มีพวกเขาอยู่ข้างกาย จิ่นเกอก็จะได้มีคนในมือเอาไว้ใช้”
“รู้หรือยังว่ากงตงหนิงจัดการให้จิ่นเกอทำหน้าที่อะไรเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “กงตงหนิงเป็นถึงผู้นำสามกองทัพ บางอย่างข้าก็ไม่อาจถามมากเกินไปได้”
สืออีเหนียงพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรอีก จากนั้นก็นอนลง “ข้าเหนื่อยแล้วอยากพักสักหน่อย หากท่านโหวมีเรื่องอันใดก็เรียกหู่พั่วเถิด!” พูดพลางหลับตาลง
สวีลิ่งอี๋มองดูใบหน้างดงามที่กำลังขมวดคิ้วของนางอยู่นานก่อนจะถอนหายใจยาว จากนั้นก็ลุกขึ้นออกจากห้องชั้นในอย่างเบามือเบาเท้า
มีหยาดน้ำตาใสรื้นอยู่ที่หางตาของสืออีเหนียง
******
บ้างก็ว่าเป็นกลยุทธ์ศึก บ้างก็ว่าแหวกหญ้าให้งูตื่น ยี่สิบวันต่อมามีข่าวจากกานโจว กองทัพฝ่ายขวาของกงตงหนิงถูกเผ่าตาดมองโกลซุ่มโจมตีที่บริเวณใกล้เคียงป้อมเหลียงโจวซึ่งห่างจากกานโจวห้าร้อยลี้ กองทัพฝ่ายขวาถูกฆ่าและได้รับบาดเจ็ดมากกว่าหนึ่งพันคน ฆ่าศัตรูไปได้มากกว่าห้าร้อยคน จับเฉลยเผ่าตาดมองโกลได้หนึ่งร้อยกว่าคน และยึดม้าศึกมาได้สามร้อยกว่าตัว
เมื่อข่าวมาถึง ทุกคนก็เพิกเฉยต่อการบาดเจ็บล้มตายของกองทัพฝ่ายขวา มุ่งเน้นไปที่ ‘สังหารศัตรูมากกว่าห้าร้อยคน จับเฉลยเผ่าตาดมองโกลได้หนึ่งร้อยกว่าคน และยึดม้าศึกได้สามร้อยกว่าตัว’ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบกับการที่สูญเสียการคุ้มกันต้าถง ยิ่งทำให้เรื่องนี้ยิ่งใหญ่
ฮ่องเต้เรียกสวีลิ่งอี๋เข้าวังอยู่บ่อยครั้ง
หลังจากนั้นไม่นานก็มีข่าวดีจากกานโจว
กองทัพฝ่ายขวาสังหารศัตรูสามพันคน จับเฉลยเผ่าตาดมองโกลได้สองพันกว่าคน และยึดม้าศึกได้หนึ่งพันกว่าตัว
จิตวิญญาณของทั้งเยี่ยนจิงถูกกระตุ้น ทุกถนนและตรอกซอกซอยต่างก็พูดถึงกงตงหนิง
สวีลิ่งอี๋ยิ่งยุ่งมากกว่าเดิม บางครั้งก็ถูกรั้งตัวเอาไว้ในวัง สามีภรรยาได้เจอกันเป็นครั้งคราว สืออีเหนียงมักจะถามเขาว่า “มีข่าวจิ่นเกอหรือไม่”
“เขาสบายดี” รอยยิ้มของสวีลิ่งอี๋แฝงไว้ด้วยความปลอบโยน “กงตงหนิงให้จิ่นเกออยู่ข้างกาย ตอนนี้จิ่นเกอกลายเป็นองครักษ์ประจำตัวของกงตงหนิงไปแล้ว!”