“พี่ชาย พวกเรากินมากเช่นนี้ ท่านแน่ใจหรือว่าร่างกายของท่านแม่จะรับไหว” ทารกที่ตัวเล็กกว่าขยับฝ่ามือที่เพิ่งก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง
ทารกที่โตกว่ากางแขนกอดมัน แล้วเอ่ยขึ้นหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่ต้องห่วง ท่านพ่ออยู่ที่นี่ และเขาจะต้องมีทางออกอย่างแน่นอน ถ้าปัญหาเล็กน้อยแค่นี้เขายังแก้ไม่ได้ เขาจะเป็นท่านพ่อของพวกเราได้อย่างไร คืนนี้ข้าจะออกไปจับวิญญาณคนตายกลับมาให้เจ้ากิน”
“ข้าไม่อยากกินแล้ว พี่ชาย พี่กินเองเถิด ท่านต่างหากที่จำเป็นต้องใช้ความแข็งแกร่งนั้น” ทารกที่ตัวเล็กกว่าพูดช้าๆ แต่หนักแน่น
ทารกที่โตกว่าไม่ได้ตอบ เขามองร่างอันอ่อนแอของทารกที่ตัวเล็กกว่า แล้วยื่นแขนเล็กๆ ของมันออกไปดึงมันเข้ามากอดอีกครั้ง ในดวงตาสีแดงเลือดคู่นั้นมีแสงสว่างวาบขึ้น…
แม้จะไม่มีพลังวิญญาณ แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังเป็นตัวของนางเอง นางยังกินอิ่มและนอนหลับเหมือนปกติ
แต่รอบตัวนางกลับมีทหารรับจ้างเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งสุนัขล่าเนื้อตัวใหญ่ที่เดินตามอยู่ด้านหลังของนางก็ไม่เคยห่างนางอีกเลยตั้งแต่วันนั้น
หมอหลวงหลิวรู้สึกกังวลอย่างมาก เพราะเขากลัวว่าองค์ชายสามจะถามอะไรขึ้นมาทุกครั้งที่เขามาที่นี่เพื่อตรวจร่างกายนาง
แต่วันนี้ก็มาถึงจนได้
องค์ชายสามเรียกตัวเขาเข้าไปพบที่ห้องทรงอักษรทางทิศใต้ เขาถือราชโองการที่ข้ารับใช้นำมาส่งให้ไว้ในมือ เสื้อคลุมตัวยาวที่สวมทับร่างของเขาทำมาจากผ้าปักลายก้อนเมฆและผ้าไหม ชุดผ้าไหมส่องแสงจางๆ ออกมาเมื่ออยู่ภายใต้แสงสลัวราวกับถูกปกคลุมด้วยสายลมและสายหมอกในยามค่ำคืน
สายตาขององค์ชายสามจับจ้องอยู่ที่หนังสือในมือสวยของตัวเอง นัยน์ตาสีดำขลับเต็มไปด้วยความเย็นชาห่างเหินขณะที่เขาถามว่า “บอกมาว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับนางกันแน่”
หมอหลวงหลิวคาดไม่ถึงว่าองค์ชายสามจะตรงไปตรงมาถึงเพียงนี้
ตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายจะเริ่มต้นด้วยคำถามเกี่ยวกับอาหารการกินหรือไม่ก็ชีพจรของนาง
แต่เห็นได้ชัดว่าองค์ชายสามดูเหมือนจะรู้อะไรอยู่ก่อนแล้ว
หมอหลวงหลิวไม่กล้าปิดบังความจริง เขาคุกเข่าลงกับพื้นด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา แล้วตอบตามความสัตย์จริงว่า “เด็กในท้องของนางไม่ปกติพ่ะย่ะค่ะ เขาโตเร็วเกินไป”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยฟังเรื่องทั้งหมดด้วยสีหน้าเฉยเมย เขาถือราชโองการฉบับหนึ่งไว้ในมือและไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ แต่คนที่รู้จักองค์ชายสามดีย่อมรู้ว่าอารมณ์ของเขายากจะคาดเดาที่สุดในเวลาเช่นนี้
“หมอหลวงหลิว เจ้าอยู่ในวังหลวงมานานเพียงใดแล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามพร้อมกับเอี้ยวตัวไปด้านข้าง แล้วโยนราชโองการฉบับนั้นลง ชายเสื้อคลุมของเขายาวระพื้น จากนั้นจึงใช้ดวงตาดำขลับราวกับขนกามองหมอหลวงหลิว ท่าทางของเขาดูหล่อเหลาอย่างมากราวกับเทพบุตรที่ยืนอยู่เหนือก้อนเมฆ
หมอหลวงหลิวไม่เข้าใจจุดประสงค์ของคำถามนี้ หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาจึงตอบออกมา บนหน้าผากของเขามีเหงื่อเย็นๆ ผุดพราย “ทูลองค์ชาย กระหม่อมอยู่ที่นี่มามากกว่าสามสิบปีแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ค่อนข้างนานทีเดียว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหมุนแหวนหยกสีดำที่นิ้วหัวแม่มือ แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงคงเดิมว่า “ในเมื่อนางอยากให้เจ้าอยู่ต่อ เช่นนั้นข้าก็จะไม่ทำอะไรเจ้า แต่หมอหลวงหลิว เจ้าต้องจำสิ่งที่นางพูดใส่กะโหลกเอาไว้ให้ดี ไม่อย่างนั้นละก็…”
ขณะที่พูดเช่นนั้น ริมฝีปากของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็กระตุกขึ้นเป็นรอยยิ้ม ความสง่างามราวกับหยกของเขาไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด
แต่หมอหลวงหลิวกลับเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ในประโยคนั้นได้อย่างชัดเจน
เขารู้จักวิธีการขององค์ชายดี
คนตายเก็บความลับได้ดีที่สุด
หากว่ากันตามธรรมเนียมแล้ว หมอหลวงเช่นเขาคงได้ตายไปแล้ว
หมอหลวงหลิวถอนหายใจยาวด้วยความโล่งอกทันทีที่ออกมาจากห้องทรงอักษรทางทิศใต้
พระชายาสามเป็นคนที่ช่วยชีวิตเขาเอาไว้
เขารู้สึกขอบคุณตัวเองยิ่งนักที่ไม่ได้เล่าเรื่องทารกในครรภ์ให้ใครฟัง
เพราะในวังหลวงแห่งนี้ ไม่มีใครสามารถปิดบังความลับจากองค์ชายได้
แต่ดูเหมือนว่าองค์ชายสามจะกังวลเรื่องบทสนทนาระหว่างเขากับพระชายาสามมากกว่าเรื่องเด็กในท้อง
หมอหลวงหลิวบอกไม่ได้ว่าผู้เป็นนายของเขาหมายความว่าอย่างไรกันแน่ แต่เขารู้ว่าเขาไม่ควรเอ่ยคำว่า ’ลูกของปีศาจ’ ขึ้นมาอีก โดยเฉพาะเมื่ออยู่กับอดีตฮ่องเต้ เพราะสำหรับเขาแล้ว เหลนของเขานั้นเป็นเพียงเด็กธรรมดาคนหนึ่ง…
“นายท่าน” ชิงหลงและกิเลนอัคคีปรากฏตัวขึ้นทันทีได้ยินไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเรียก ปราณมงคลกระจายไปทั่วห้องทรงอักษรทางทิศใต้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอ่ยอย่างใจเย็นว่า “ไปที่ยมโลกแล้วนำวิญญาณคนตายจำนวนหนึ่งมาให้ข้า”
“เอ๋? พวกเราจะตั้งตัวเป็นปรปักษ์กับยมโลกอีกแล้วหรือขอรับ!” น้ำเสียงของชิงหลงเต็มไปด้วยความตื่นเต้นอย่างปิดไม่มิด
กิเลนอัคคีเพียงมองมันอย่างเงียบๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยสั่งการต่อ “อย่าให้ยมทูตสองตนในยมโลกรู้เรื่องนี้”
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือพวกเขาต้องไปขโมยวิญญาณคนตายนั่นเอง
ชิงหลงกับกิเลนอัคคีมองตากัน พวกเขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีกับเรื่องนี้นัก…
“มีอะไร พวกเจ้ามีปัญหาหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งรอยยิ้มสว่างจ้าจนแสบตาให้กับสัตว์พาหนะทั้งสอง
กิเลนอัคคีส่ายศีรษะขนาดใหญ่ของมันอย่างรวดเร็วพร้อมกับส่งเสียงออกมาว่า “ไม่มีปัญหาขอรับ!” พวกเขาจะกล้าพูดออกมาได้อย่างไร
“เช่นนั้นก็ไปได้แล้ว” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนขึ้น ร่างของเขาทั้งสูงและผอมเพรียว จากนั้นเขาจึงเอ่ยช้าๆ ว่า “พาบุตรแห่งราชานรกกลับมาด้วย ข้ามีเรื่องจะถามเขา”
ไม่ใช่แค่ขโมยของ แต่เขายังอยากให้พวกเขาลักพาตัวลูกชายคนอื่นมาอีกด้วย!
นายท่าน ท่านไม่กลัวราชาแห่งนรกจริงๆ หรือขอรับ
ต่อให้ท่านไม่กลัว แต่ท่านเคยคิดว่าพวกเขาจะถูกอัดจนตายหรือไม่ขอรับ
คนคนนั้นเห็นท่านเป็นศัตรูหัวใจตลอดชีวิตนะ! และพวกข้าก็พลอยติดร่างแหไปด้วยเหตุผลบางประการ มิหนำซ้ำเขาก็ยังพยายามตามล่าพวกข้ามาหลายปีแล้วด้วยนะขอรับ!
อย่างไรก็ตาม ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกลับยังคงมองโลกในแง่ดี และพูดเพียงว่า “ถ้าเจ้าเจอราชาแห่งนรก ก็ใช้บุตรชายเขาขู่ซะ”
กิเลนอัคคีกับชิงหลง : … เป็นความคิดที่ดีทีเดียว! แต่พวกเขาก็ยังจำเป็นต้องไปถึงยมโลกให้ได้โดยปลอดภัยเสียก่อน! เพราะสุนัขสองหัวของยมโลกมีประสาทการรับกลิ่นที่เฉียบคมยิ่งกว่าสุนัขบนโลกมนุษย์!
ราชาแห่งนรกเกลียดชังนายท่านอย่างมาก
สมัยก่อนเขาเคยเอาเสื้อที่นายท่านไม่ใส่แล้วไปให้สุนัขสองหัวดม ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่มันเห็นเขา ดวงตาของมันจะเป็นประกายด้วยความอาฆาตราวกับเห็นเขาเป็นอาหารของมัน!
“เจ้าไปล่อเจ้าหมาหน้าโง่นั่น ส่วนข้าจะรับหน้าที่ลักพาตัวบุตรแห่งราชานรก” กิเลนอัคคีเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน
ชิงหลงเยาะขึ้นว่า “แล้วใครจะรับผิดชอบจับวิญญาณคนตายหรือ”
กิเลนอัคคี : …
“พาอสูรกลืนเวหาไปด้วย”
ชิงหลงเยาะขึ้นอีกครั้งว่า “ถ้าพวกเราให้มันไปด้วย มันคงได้กลืนทุกอย่างในยมโลกเข้าไปพอดี”
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเราควรทำอย่างไร” กิเลนอัคคีชักมีน้ำโห
ชิงหลงคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบว่า “พามันไปด้วยก็แล้วกัน”
“เจ้าไม่กลัวว่ามันจะกลืนทุกอย่างในยมโลกแล้วหรือ” คราวนี้กิเลนอัคคีเป็นฝ่ายเยาะขึ้นบ้าง
ชิงหลงตอบอย่างช้าๆ ว่า “ให้เขาไปกับเราในร่างมนุษย์ เมื่อวิญญาณคนตายเห็นเขา พวกมันจะต้องเข้ามารุมใกล้ๆ เขาแน่ จากนั้นเขาย่อมสามารถมัดวิญญาณคนตายเหล่านั้นกลับมาให้องค์ชายน้อยได้”
ดวงตาของกิเลนอัคคีหม่นแสงลงเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถึงองค์ชายน้อย มันดูเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ จากนั้นมันจึงพูดขึ้นมาว่า “หากว่ากันตามหลักการแล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์ธรรมดาจะตั้งท้องลูกปีศาจ ปีศาจพวกนั้นจะมีชีวิตและเติบโตขึ้นได้ด้วยการกินร่างของผู้เป็นมารดา แต่พระชายาสามกลับแตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด”
“เจ้าอยากจะพูดอะไรกันแน่” ชิงหลงขมวดคิ้ว
กิเลนอัคคีก้าวออกไปข้างหน้าพร้อมกับตอบว่า “ข้าคิดว่าในร่างของพระชายาสามอาจจะมีพระบรมสารีริกธาตุอยู่”
ชิงหลงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “เจ้าต้องคิดให้รอบคอบก่อนจะบอกเรื่องนี้กับนายท่าน”
พระบรมสารีริกธาตุ
มันไม่ใช่สิ่งที่ใครๆ ก็สามารถมีได้…
“อืม” กิเลนอัคคีเดินวนไปมาราวกับจมอยู่ในภวังค์ ที่จริงแล้วนี่ไม่ใช่สิ่งที่มันอยากจะบอก ที่มันอยากบอกจริงๆ ก็คือมันกลัวว่าทันทีที่เด็กคนนั้นเกิดมา ความเชื่อมโยงระหว่างพระชายาสามและโลกใบนี้จะหายไป ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ พวกเขาได้สร้างช่องโหว่ขึ้นในประวัติศาสตร์เพียงเพื่อตามหาเศษชิ้นส่วนวิญญาณทั้งสามดวงของนายท่าน ช่องโหว่นี้เองที่ทำให้กิเลนอัคคีรู้สึกกังวล แต่มันก็คิดไม่ออกว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น แต่มันรู้สึกว่าวันหนึ่งพระชายาสามอาจจะต้องกลับไปในที่ที่เป็นของนางจริงๆ และสาเหตุเดียวที่นางยังไม่หายไปก็คือเด็กในท้องของนางที่เป็นสายเลือดของนายท่านนั่นเอง…