จ้าวเฉินที่ได้ยินดังนั้นก็ได้รู้สึกปวดหัวเพราะหลานสาวของตนเเล้วกล่าวตอบกลับไปว่า
” งั้นเจ้าก็มาเลือกไปเเล้วกัน ”
เมื่อจ้าวเฉินกล่าวจบก็ได้นำของที่อยู่ในถุงมิติออกมาวางไว้บนโต๊ะตัวหนึ่งเเล้วกล่าวออกมา
” เจ้าจะอยากได้ชิ้นไหนเอาไปเลย ”
เจียงหงที่ได้ยินดังนั้นก็ได้กล่าวตอบกลับไปว่า
” งั้นพวกข้าก็ไม่เกรงใจท่านลุงใหญ่ที่มีความใจกว้างละกัน ”
ซูซ่านได้เจอกระบี่เล่มหนึ่งที่มีรูปร่างเรียวบางเเละสีของตัวมันนั้นเป็นสีเขียวอ่อนซึ่งนางก็ได้จ้องมองมันด้วยความสนใจ
อาวุธเหล่านี้ล้วนเเล้วเเต่เป็นอาวุธระดับวิญญาณเพราะกระทั่งตัวของจ้าวเฉินก็มีอาวุธระดับหลอมรวมชิ้นเดียวเท่านั้น
เจียงหงที่เห็นดังนั้นจึงกล่าวออกมาว่า
” น้องสาวซูเจ้าสนใจกระบี่เล่มนี้หรือ ”
ซูซ่านที่ได้ยินดังนั้นก็ได้กล่าวตอบเจียงหงกลับไปด้วยเสียวที่เบา
” ข้าชอบรูปร่างมันที่ดูสวยงามเเละสีเขียวอ่อนของตัวกระบี่เล่มนั้น ”
เจียงหงที่ได้ยินซูซ่านกล่าวออกมาเเบบนั้นก็ได้หยิบกระบี่เล่มนั้นขึ้นมาก่อนจะส่งให้กับซูซ่านพร้อมกับกล่าวออกมา
” งั้นก็รับมันไปเถอะ ”
ซูซ่านที่ได้รับกระบี่มาก็ได้มองมันอย่างละเอียดรอบคอบซึ่งนอกจาตัวกระบี่จะมีรูปร่างเรียวบางเเละสีเขียวอ่อนเเล้ว
ซึ่งเมื่อดูไปเเล้วคล้ายกับปีกของจั๊กจั่นตัวหนึ่ง
จ้าวเฉินที่เห็นว่าซูซ่านได้เลือกอาวุธของตนเเล้วก็ได้กล่าวกับเจียงหงว่า
” เเล้วเจ้าละหงเอ๋อจะเลือกอันไหน ”
เจียงหงไม่ได้มองดูอาวูะต่างๆที่เรียงรายอยู่ตรงหน้าของนางก็อยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจหยิบเเส้เส้นหนึ่งที่มีสีเเดงราวกับเปลวเพลิง
เเล้วสำรวจดูอย่างสนใจก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า
” ข้าขอเลือกเเส้เส้นนี้ละกัน ”
เมื่อกล่าวจเจียงหงก็ได้เก็บเเส้เส้นนั้นเข้าไปในถุงมิติของนางก่อนกล่าวกับจ้าวเฉินว่า
” ท่านลุงใหญ่พวกข้าเลือกเสร็จเเล้วท่านเก็บของที่เหลืออยู่กลับไปได้เลย ”
จ้าวเฉินที่ได้เยินดังนั้นก็ได้กล่าวเอาอาวุธต่างๆเก็บกลับเจ้าไปในถุงมิติของตนเเล้วเดินต่อไปพร้อมกับกล่าวบอกทั้งสองคนว่า
” พวกเจ้าก็รีบตามมาเถอะสงครามได้กำลังจะเริ่มเเล้วข้ามีเรื่องต้องไปทำอีกมากมาย ”
เจียงหงเเละซูซ่านที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้รีบเดินตามจ้าวเฉินออกไป
ทางด้านกำแพงเมืองชายเเดนตอนนี้ได้มีทหารจำนวนมากมาประจำการบนกำแพงซึ่งมีทั้งพลธนู พลหอก ต่างๆได้เข้าประจำตำแหน่งขอวตนเอง
โดยที่ด้านหน้าห่างออกไปจากกำแพงเมืองชายเเดนได้มีเหล่าทหารซากศพจำนวนมหาศาลกำลังมุ่งหน้ามาพร้อมกับบรรยากาศที่หนาวเย็น
ท้อวฟ้าเริ่มที่จะมืดลงเสียงเท้ากระทบกับพื้นดินดังก้อวไปทั่วสนามรบ
” ตึง ตึง ตึง ”
ทหารที่อยู่บนกำแพงเมืองได้กำอาวุธในมือเเน่นเพราะว่าการต่อสู้ครั้งนี้นั้นอาจจะเป็นการต่อสู้ครั้งสุดท้ายของพวกเขาก็เป็นได้
พลธนูบนกำแพงเมืองค่อยๆง้าวสายธนูอย่างเป็นระเบียบเหล่าทหารรู้สึกได้ถึงเเรงกดดันที่เเผ่มาจากทางด้านทหารซากศพ
เเม้ว่าในตอนนี้พวกมันนั้นจะยังไม่ได้เข้ามาประชิดกำแพงเมืองก็ตามที
เหล่าเเม่ทัพเเละรองเเม่ทัพทั้งหลายได้มองสนามรบเเลทหารซากศพก่อนจะกล่าวออกมาว่า
” สงครามครั้งนี้นั้นถ้าพวกเราไม่สามารถที่จะได้รับชัยชนะ…………… ”
” พวกเรานั้นเคยผ่านสงครามมามากมายเเต่นี้เป็นครั้งเเรกที่ข้ารู้สึกว่าผลลัพธ์ของสงครามนั้น”
” เอาเถอะทางเราก็มีไพ่อยู่ในมือจำนวนหนึ่งซึ่งสามารถใช้ต่อกรพวกมันได้อย่างเเน่นอน ”
ทหารซาพทั้งหลายที่เดินอยู่นั้นอนู่ๆก็ได้หยุดเดินก่อนจะคำรามออกมากัน
” โฮกกกกกกกกกกกกก ”
” โฮกกกกกกกกกกกกก ”
เสียงคำรามได้ดังก้องทั่วสนามรบทหารซากศพที่หยุดเดินในตอนเเรกนั้นเปลี่ยนจากการเดินมาอย่างเชื่องช้าเป็นการวิ่งอย่างบ้าคลั่ง
พลธนูทั้งหลายที่ได้ง้าวสายธนูอยู่ก็ได้รอรับคำสั่งยิงโดยพวกเขานั้นมองดูทหารซากศพด้วยความสงบ
” ยิงได้ ”
เมื่อสิ้นสุดคำสั่งลูกธนูมากมายได้ปกคลุมทั่วท้องฟ้าราวกับสายฝนที่ตกลงมา