เฟยหลงที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้ถอนหายใจเเผ่วเบาเเล้วกล่าวกับตัวเอง
ในระหว่างที่รถม้าที่ถูกลากโดยสัตว์อสูรได้เคลื่อนตัวไปจนเริ่มที่จะเห็นเมืองชายเเดนเล็กลงเรื่อยๆ
” เเม่ทัพจ้าวท่าน………………. ชั่งเถอะในเมื่อข้าจะออกจากเมืองชายเเดนเเห่งนี้เเล้วนั้นคงไม่มีปัญหาอะไรมากถ้าพวกเขารู้เเล้ว ”
ที่เฟยหลงกล่าวออกมาเเบบนั้นเพราะว่าตัวเฟยหลงนั้นไม่ค่อยชอบเหตุการณ์เเบบนี้เท่าไหร่ที่เหล่าผู้คนมายกย่องเเละกล่าวขอบคุณเขา
ไม่ว่าจะชีวิตนี้หรือชีวิตที่เเล้วตัวเฟยหลงชอบที่จะใช้ชีวิตอย่างเงียบๆเล้วท่องเที่ยวไปทั่วมุกสถานที่ไม่ว่าตะเป็นโบราณสถานหรือสิ่งที่หลงเหลือจากประวัติศาสตร์
เพราะมันคือหนทางหนึ่งในหนทางที่จะทำให้เฟยหลงได้พบเจอกับเศษเสี้ยวประวัติศาสตร์ที่ถูกทำลายเเละหายไปเพราะอะไรกัน
ทำมเหล่าผู้บ่มเพาะขอบเขตเซียนขั้นสูงสุดถึงไม่สามารถตัดผ่านมิติเพื่อเปิดประตูสู่อาณาจักรพระเจ้าได้ทั้งที่ในอดีตหลายเเสนปีที่เเล้วถึงสามาารถทำได้กัน
นั้นก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่เฟนหลงเดินทางสำรวจสถานที่ต่างๆ
” ในเรื่องเหล่านี้ข้าต้องรู้ให้ได้เเต่ก่อนอื่น…………… เสียงเรียกเเละบอลเเสงสีดำกับสีขาวในตอนนั้นที่ข้าเข้าอยู่ในเมืองหลวงข้ามีความรู้สึกว่ามาจากใจกลางเมืองคราวนี้ข้าต้องไปพิสูจน์ให้ได้ว่ามันคืออะไรกันเเน่ ”
ในการเดินทางกลับครั้งนี้นั้นเป็นเพราะสัตว์อสูรที่ลากรถม้านั้นเป็นถึงขอบเจตวิญญาณขั้สูงสุดทำให้พวกเฟยหลงกลับมาถึงเมืองหลวงเร็วยิ่งกว่าครั้งเดินทางไปเมืองชายเเดน
จ้าวเฉินกับพวกเฟยหลงได้ไปหยุดอยู่ที่หน้าพระราชวังเเห่งหนึ่งที่มีความใหญ่โตเเละให้ความรู้สึกกดดันทับลงมาใส่เจียงหง
ทางด้านเสี่ยวไป๋นั้นไม่รู้สึกกดดันมากมายเเค่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยเพราะสายเลือดของเสี่ยวไป๋ยังคงไม่ตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ไม่งั้นเสี่ยวไป๋สามารถเดินอย่างสบายใจราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้
ทางด้านซูซ่านนั้นรู้สึกอึดอัดน้อยกว่าเสี่ยวไป๋เพราะว่ากายศักดิ์สิทธิ์ของนางนั้นกำลังตื่นขึ้นมาเเม้จะเล็กน้อยก็ตาม
จ้าวเฉินที่ลงมาจากรถม้าที่ถูกลากโดยสัตว์อสูรนั้นยืนรออยู่ข้างพวกเฟยหลงก่อนที่จะกล่าวออกมาว่า
” จากนี้ไปพวกเราต้องเดินเข้าไปเอง ”
ทั้งสามได้ที่กำลังมองพระราชวังอย่างเเปลกใจนั้นได้สติกลับมาทันทีก่อนที่จะครุ่นคิดบางอย่าง
” ความกดดันนี้มาจากขอบเขตพลังปราณที่เหลือกว่าหรือค่ายกลกันเเน่ ”
เมื่อเฟยหลงเห็นใบหน้าที่สงสัยของทั้งสามนั้นก็รู้ได้ว่ากำลังสงสัยเรื่องอะไรอยู่กันเเน่ดังนั้นตัวเขาจึงตอบคำถามมห้ทั้งสามได้หายสงสัย
” รอบๆพระราชวังมีค่ายกลปกคลุมอยู่เป็นค่ายกลที่ดึงดูดพลังวิญญาณเเละยังมีค่ายกลป้องกันกับค่ายกลสังหารอยู่อีกด้วยซึ่งค่ายกลนี้อยู่ในระดับสีเหลืองขั้นสูงสุด ”
เมื่อทั้งสามได้ยินมาว่าเป็นค่ายกลระดับนั้นก็รู้สึกแปลกใจอย่างมากเพราะทั้งสามเคยถายในเรื่องค่ายกลการหลอมอาวุธเเละการปรุงยามาว่าเป็นสิ่งที่ยากอย่างมากเเละต้องมีพรสวรรค์ในระดับหนึ่ง
รวมถึงโชคอีกด้วยเพราะว่ามรดกที่ตกทอดกันมานั้นเริ่มที่จะเลือนหายไปจนหมดเพราะการเวลาเเละเหตุผลบางอย่างในอดีต
ทางด้านพวกเฟยหลงได้ถูกจ้าวเฉินเดินนำเข้าไปในพระราชวังเเล้วมาหยุดอยู่หน้าประตูก่อนที่จะกล่าวออกมา
” พวกเจ้าพร้อมเเล้วใช่ไหม ”
ซูซ่านที่ได้ยินดังนั้นก็ได้กล่าวตอบจ้าวเฉินไปว่า
” พวกเราพร้อมเเล้ว ”
จ้าวเฉินจึงสั่งให้ทหารที่มีหน้าที่ปกป้องประตูบานนั้นเปิดตระตูอย่างรวดเร็ว
” พวกเจ้าเปิดประตู ”
เมื่อประตูถูกเปิดพวกเฟยหลงได้เดินเข้าไปด้านมนเเละพบกับผู้คนมากหน้าหลายตาที่กำลังยืนอยู่ซึ่งทางเฟยหลงพอจะคาดเดาได้ว่าคนเหล่านั้นคงจะเป็นขุนนางของอาณาจักรสายลมนี้
ทางด้านบนบัลลังก์สีทองได้มีชายวัยกลางคนนั่งอยู่อย่างสง่างามรอบตัวเขานั้นมีเเรงกดดันที่มองไม่เห็นปล่อยออกมาเมื่อชายคนนั้นเห็นจ้าวเฉินก็กล่าวออกมาว่า
” มาเเเล้วงั้นเหรอ ”