เสียงที่กล่าวออกมาเมืื่อนั้นเเฝงไปด้วยความกดดันอยู่ซึ่งทำให้คนธรรมดาไม่อาจต่อต้านได้เเล้วเเม้เเต่น้อย
ราวกับว่ามันเป็นคำสั่งที่สะท้อนเจตจำนงของ
สวรรค์
จ้าวเฉินที่เดินนำมาก่อนเเล้วนั้นได้มาคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าของชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่บนบัลลังก์
ส่วนพวกเจียงหงที่กำลังจะคุกเข่าตรงหน้าชายวัยกลางคนนั้นก็ได้มีมือหนึ่งมาขวางหน้านางเเล้วเจ้าของมือนั้นก็ได้กล่าวออกมาว่า
” เจ้าไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ”
เมื่อสิ้นสุดเสียงของเฟยหลงเหล่าขุนนางที่อยู่รอบๆนั้นได้ตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
” พวกเจ้าบังอาจ ”
” พวกเจ้ากำลังลบหลู่องค์จักรพรรดิอยู่ ”
” คุกเข่าลงไปซะ ”
เหล่าทหารที่เฝ้าประตูที่พวกเฟยหลงผ่านเข้ามานั้นเริ่มที่จะปิดปิดล้อมพวกเฟยหลงส่วนทางด้านจ้าวเฉินนั้นก็ได้กล่าวกับเฟยหลงโดยส่งผ่านพลังปราณ
” เจ้าคิดจะทำอะไรกันเเน่ถ้าองค์จักรพรรดิโกรธขึ้นมาละก็…………. เเม้เเต่ข้าก็ไม่รู้ว่าสามารถช่วยเจ้าได้ไหม ”
เฟยหลงไม่ได้กล่าวตอบจ้าวเฉินจึงได้มองเฟยหลงอย่างร้อนใจเเต่เเล้วตอนนั้นเองที่เฟยหลงเลือกที่จะหลับตาลง
ทางด้านซูซ่านนั้นนางเพียงเเค่ทำตามเฟยหลงเเละไม่ได้คุกเข่าลงไปเหมือนจ้าวเฉินเหล่าทหารเฝ้าประตูพวกนั้นเริ่มตีวงล้อมเข้ามาอย่างเชื่องช้าจนกระทั่งเฟยหลงเริ่มปลดปล่อยเเรงกดดันของลมปราณออกมา
” ตู้มมมมมมมมมมมมมมมม ”
เฟยหลงได้โคจรทักษะบ่มเพาะเทพจักรพรรดิสงครามอย่างรวดเร็วจนทางด้านหลังนั้นปรากฏเงาของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์สองตัว
” นี่มัน……………. ”
” สัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่พิทักษ์สี่ทิศ ”
” มังกรคราม เต่าทมิฬ ”
มีมังกรสีครามลำตัวยาวกับกรงเล็บที่เเหลมคมกำลังขดตัวเป็นวงกลมกลางอากาศเเล้วมองไปทางด้านเหล่าผู้คนรอบๆนอกจากมังกรตัวนั้นเเล้วยังมีเต่าสีดำทมิฬมีหางเป็นงูหัวเหมือนมังกรกำลังยืนอยู่ราวกับปราการที่ไม่มีวันถูกทำลาย
เหล่าผู้คนที่อยู่ในท้องพระโรงเเห่งนี้นั้นได้เเต่ตกตะลึงกับภาพของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองตัวที่ราวกับว่าพวกมันยังมีชีวิตอยู่
” พวกเจ้าถอยออกไป ”
ซึ่งเมื่อชายวัยกลางคนบนบัลลังก์นั้นได้กล่าวจบเหล่าผู้คนที้งหมดยกเว้นเฟยหลงนั้นก็รู้สึกแปลกใจโดยที่ทางด้านจ้าวเฉินได้เป็นคนกล่าวตอบชายวัยกลางคนนั้นไปว่า
” องค์จักรพรรดิข้านำพวกเขามาเข้าเฝ้าตามที่ได้รับบัญชามาเเล้วพะยะค่ะ ”
ชายวัยกลางคนมี่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้โบกมือเป็นเชิงว่าให้จ้าวเฉินถอยออกไปก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
” ตัวข้าได้เห็นรายงานที่เเม่ทัพจ้าวเขียนรายงานมาเเล้วนั้นข้าก็เลยประหลาดใจในการมีส่วนช่วยในสงครามครั้งนี้อย่างมากข้าก็เลยอยากจะพบเจอพวกเจ้าเสียหน่อย ”
” เเละดูเหมือนว่าทั้งหมดเป็นเรื่องจริงไม่มีทางผิดพลาดอย่างเเน่นอน……………….. ส่วนเรื่องเมื่อครู่ตัวข้าขออภัยด้วยที่ทหารของข้าเเสดงท่าทางเเบบนั้นออกมา ”
เหล่าขุนนางที่อยู่ในท้องพระโรงนั้นตื่นตกใจราวกับว่าสิ่งที่องค์จักรพรรดิของพวกเขากล่าวออกมานั้นเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่เชื่อว่ามันจะเกิดจึ้นที่องค์จักรพรรดิกล่าวขอโทษ
” ช่างเถอะ ”
เมื่อเฟยหลงกล่าวจบเงาร่างของสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองได้หายไปราวกับว่าพวกมันไม่เคยปรากฏตัวมาก่อน
เหล่าขุนนางในท้องพระโรงนั้นก็เริ่มระบายลมหายใจที่อัดเเน่อยู่ออกมาอย่างเงียบๆเพราะว่าเรื่อวที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ราวกับพวกเขากำลังเผชิญหน้ากับสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ตัวเป็นๆ
ทางด้านองค์จักรพรรดิของพวกเขานั้นก็ได้เริ่มกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงที่พยามข่มความสงสัยเอาไว้
” ข้าได้รับรู้เรื่องราวที่เจ้าต้องการเเล้วนั้นข้าจะให้คนนำทางท่านไปที่คลังสมบัติของราชวงศ์ ”
เมื่อจักรพรรดิเเห่งอาณาจักรสายลมกล่าวจบเเล้วนั้นันทีคนหนึ่งก็ได้นำทางเฟยหลงไปยังคลังสมบัติของราชวงศ์
เมื่อพวกเฟยหลงเเละเหล่าขุนนางออกไปเเล้วนั้นจักรพรรดิเเห่งอาณาจักรสายลมนั้นถอนหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนที่จะกล่าวออกมา
” ดูเหมือนว่าทวีปนี้นั้นจะกำเนิดหนึ่งในยอดฝีมือขึ้นมาอีกคนเเล้ว “