ที่เฟยหลงเงียบไปนั้นเพราะว่าตัวเขาไม่คิดว่าจะพบเจอกับผู้บ่มเพาะขอบเขตปฐพีในที่เเห่งนี้เเละคาดว่าอาจจะเป็นถึงขอบเขตปฐพีขั้นสูงสุดอยู่ห่างจากขอบเขตต่อไปอีกเพียงเเค่ครึ่งก้าว
เเน่นั้นจะจริงหรือไม่เฟยหลงก็ไม่สามารถรับรู้ได้เพราะตอนนี้นั้นมันเป็นเพียงเเค่เศษเสี้ยวจิตวิญญาณที่อยู่มานานเเล้ว
เฟยหลงที่เห็นดังนั้นก็ได้กล่าวถามชายชราคนนั้นออกมาว่า
” ผู้อาวุโสไม่ทราบว่าท่านมีชื่อว่าอะไรอย่างนั้นเหรอ ”
ชายชราที่ได้ยินเช่นนั้นก็ได้ใช้มือลูบเคราสีขาวของตนเองอย่างช้าก่อนที่จะกล่าวออกมา
” ชื่อของข้างั้นเหรอ……… เจ้าเรียกข้าว่าผู้เฒ่าลู่ก็พอเเล้วละ ”
” อีกอย่างหนึ่งข้าเป็นปรมาจารย์ค่ายกลจากที่เจ้าสามารถปลดค่ายกลนี้ได้อย่างน้อยเจ้าต้องเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับสีเหลืองขั้นสูงสุดสินะ ”
เฟยหลงที่ได้ยินดังนั้นก็ได้กล่าวตอบกลับไปว่า
” ตามที่ท่านผู้เฒ่าลู่กล่าว…………… ข้าเป็นปรมาจารย์ค่ายกลระดับสีเหลืองขั้นสูงสุด ”
ชายชราที่บอกให้เฟยหลงเรียกตนว่าผู้เฒ่าลู่นั้นก็ได้กล่าวถามต่อไปอีกว่า
” ดูเหมือนว่าจะมีคนเข้ารับการทดสอบอีกซินะ…………….. เเล้วจำนวนมากไหม ”
เฟยหลงได้กล่าวตอบผู้เฒ่าลู่คนนั้นกลับไปว่า
” จำนวนนั้นถ้านับรวมข้าเข้าไปก็คงมีเพียงสามคนเท่านั้นในตอนนี้…………. ”
ผู้เฒ๋าลู่ที่ได้ยินดังนั้นก็ได้กล่าวออกมาว่า
” ในตอนนี้อย่างนั้นเหรอ…….. เเปลว่าจะมีคนมาอีกใข่หรือไม่ ”
เฟยหลงที่ได้ยินผู้เฒ่าลู่กล่าวถามออกมาเเบบนั้นจึงตอบกลับไปว่า
” ใช่เเล้วขอรับท่านผู้เฒ่าลู่คาดว่าอีกไม่นานคงจะมาถึงหอคอยขั้นบันไดเเห่งนี้…………. ถ้าพวกเขาฝ่าค่ายกลนั้นออกมาได้ ”
ผู้เฒ่าลู่ที่ได้ยินดังนั้นจึงกล่าวถามออกมาด้วยความเเปลกใจ
” โอ้………….. ดูเหมือว่าเจ้าจะรู้เรื่องเกี่ยวกับหอคอยนี้ด้วยอย่างนั้นเหรอ ”
เฟยหลงที่ได้ยินดังนั้นจึงกช่าวตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
” ข้าเป็นคนชอบที่จะศึกษาเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของโลกใบนี้จึงชอบที่จะค้นคว้าหาตำรามากมายจึงทำให้มีความรู้มากกว่าคนอื่นก็เท่านั้น ”
ผู้เฒ่าลู่มี่ได้ยินเช่นนั้นก็กล่าวตอบเฟยหลงกลับไป
” งั้นเจ้าก็คงรู้ความหมายที่เเท้จริงของหอคอยนี้สินะ ”
เฟยหลงได้กล่าวตอบกลับไปว่า
” รู้ขอรับ ”
ผู้เฒ่าลู่ที่ได้ยินดังนั้นเเล้วจึงกล่าวออกมาด้วยท่าทางที่กำลังลูบเคราสีขาวของเขาเเละมองเฟยหลงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
” ดูจากที่เจ้าผ่านบดทดสอบก่อนหน้านี้อย่างง่ายดายเเล้วข้าก็คงไม่ต้องมีเรื่องอะไรให้ต้องกล่าวอีกต่อไป ”
” เจ้าผ่านการทดสอบเเล้วละ………. เจ้าคือคนที่ข้าต้องการให้สืบทอดค่ายกลที่ข้าสร้างขึ้นต่อไป………. อัฉริยะนั้นหาง่ายเเต่อัจฉริยะที่รู้จักวิเคราะห์สิ่งต่างเเถมยังมีความใฝ่รู้นั้นหายากยิ่งนัก ”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ผู้เฒ่าลู่คนนั้นร่างกายของเขาก็เปร่งประกายออกมาพร้อมกับกล่าวประโยคบางอย่างทิ้งท้ายเอาไว้
” ข้าจะถ่ายทอดความรู้ทั้งหมดของข้าเกี่ยวกับค่ายกลพิเศษที่ข้าสร้างขึ้นมาโดยใช้ความพยามตลอดชีวิตเเม้สุดท้ายจะไม่สมบูรณ์ก็ตามเเต่ข้าเชื่อว่าเจ้าจะทำสำเร็จ………………..เจ้าคิดว่าข้ามีความคิดที่ประหลาดหรือไม่ ”
” จริงด้วยอีกอย่างถ้าเจ้าไปที่ขุมพลังที่มีชื่อว่าหอค่ายกลละก็อย่าลืมเเสดงตรานี้ไปถ้าเจ้ามีเรื่องเดือดร้อน ”
เมื่อผู้เฒ่าลู่กล่าวจบก็ได้มีตราหยกที่สลักเอาไว้ว่า ‘ ลู่เซี่ยว ‘เอาไว้
เฟยหลงที่รับตรานั้นมาเเล้วจึงเก็บกลับไปในถุงมิติกอ่นที่จะกล่าวถามคำถามสุดท้ายออกไป
” ผู้เฒ่าลู่ข้าขอถามเรื่องราวอย่างหนึ่งได้ไหม ”
ผู้เฒ่าลู่ที่ได้ยินดัวนั้นจึงพยักหน้าเป็นการยอมรับ
เฟยหลงจึงกล่าวถามออกไป
” ข้าจะได้พบกับท่านอีกครั้งหรือไม่ ”
ผู้เฒ่าลู่ที่ได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกแปลกใจอย่างใจจนเเสดงออกมาทางสีหน้าก่อนที่จะกล่าวถามเฟยหลงออกมา
” ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน ”
เฟยหลงไม่ได้ตอบเพียงเเค่ยิ้มออกมาผู้เฒ่าลู่ที่เห็นดังนั้นจึงกล่าวทิ้งท้ายเอาไว้ว่า
” เจ้าหนูเจ้าเป็นคนที่น่าสนใจจริงๆ………. ใช่เเล้วข้ายังไม่เคยถามชื่อเจ้าเลย ”
เฟยหลงเพียงเเค่ตอบกลับไปสั้นๆว่า
” ชื่อของข้าคือเฟยหลง………. “