เขาจ้องจ้าวจิ้งเทียนด้วยสายตามีความหมายพลางกล่าวเสียงเรียบ “ช่างเถิด ออกมาแล้วจะกลับไปทำไม แถมจะว่าไป คนในหมู่บ้านก็คงทำใจยอมรับเมียของข้าไม่ได้”
จ้าวจิ้งเทียนได้ยินเช่นนี้ก็แอบถอนใจอยู่เงียบๆ ถูกปีศาจครอบงำจิตใจไปแล้วจริงๆ!
เขากัดฟันตัดสินใจพูดว่า “พาเมียเจ้ากลับไปด้วย เรื่องคนในหมู่บ้าน ข้าจะคิดหาวิธีเอง รับรองว่าพวกเขาไม่กล้าพูดว่าแม้แต่ครึ่งคำแน่”
แต่เมื่อคำพูดนี้เข้าสู่หูของเซียวเถี่ยเฟิง ความหมายกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“นิสัยของนางไม่เหมือนคนอื่น เข้าไปอยู่ในหมู่บ้านก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะก่อเรื่องอะไรขึ้นบ้าง แถมจะว่าไป ข้าเองก็กลัวว่านางอยู่ในหมู่บ้านแล้วจะไม่สบายใจด้วย”
“จะ…จะก่อเรื่องอะไรได้ เจ้าพานางกลับมาเถอะ” จ้าวจิ้งเทียนพยายามเกลี้ยกล่อม หวังว่าเซียวเถี่ยเฟิงจะพาภรรยากลับมา
เซียวเถี่ยเฟิงหลุบตาลง มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย รอยยิ้มนั้นจะว่าเย็นชาก็ไม่เย็นชา จะว่าอบอุ่นก็ไม่อบอุ่น
“ข้าบอกแล้วว่าไม่กลับไป”
ในขณะที่ผู้ชายเปลือยแขนทั้งสองกำลังถกเถียงกันเรื่องที่จะกลับหรือไม่กลับไปนั้น กู้จิ้งซึ่งยืนอยู่ข้างๆ รถลากสองล้อกำลังตื่นตะลึง
เธอปรายตามองชายหนุ่มทั้งสองพลางแอบครุ่นคิดอยู่ในใจ
ผู้ชายสองคนมีเรื่องอะไรที่พูดต่อหน้าคนอื่นไม่ได้ ต้องทำท่าลับๆ ล่อๆ แอบไปพูดกันตามลำพัง? ซ้ำยังแอบปรายตามองเธออีกด้วย?
พวกเขาปรึกษาอะไรกันนะ ทำไมต้องปิดบังไม่ให้เธอรู้?
หรือว่า…กู้จิ้งนึกถึงภาพเหตุการณ์ที่บรรพบุรุษแซ่เซียวตำหนิเธอเพราะอันธพาลจ้าวจิ้งเทียน ทันใดนั้นเธอก็ต้องหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ หัวใจเย็นวาบเหมือนตกลงไปในถ้ำน้ำแข็ง ทั้งที่ยามนี้เป็นฤดูร้อน
เธอมองชายหนุ่มทั้งคู่ด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ผู้ชายซึ่งมีรูปร่างบึกบึนแข็งแรง ผู้ชายซึ่งกำลังเอาแก้มแนบแก้ม ผู้ชายซึ่งกำลังพูดจาซุบซิบกัน!
แต่…แต่…แต่เป็นไปได้ยังไง? หากบรรพบุรุษแซ่เซียวเป็นคนแบบนี้ ทำไมเขาถึงได้น่าเกรงขามบนเตียงถึงขนาดนั้น ทำไมถึงได้มีทายาทรุ่นหลังอย่างคุณยาย?
แต่ไม่นานนักเธอก็เข้าใจ หรือเขาจะเป็นพวกไบ?
คิดได้เช่นนี้ ความโศกเศร้าก็ผุดขึ้นในใจ
เธออุตส่าห์เป็นห่วงเป็นใยหยางไป๋เหลา แต่ที่แท้เขากลับรักหวงซื่อเหริน?
นี่…เป็นไปได้ยังไง?!
ในที่สุดพวกเขาก็แยกย้ายกัน แต่ทั้งสามต่างก็มีความในใจ ดังนั้นจึงรู้สึกหนักอึ้งอยู่ในอก
เซียวเถี่ยเฟิงลากรถนำหน้าไปด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก กู้จิ้งคอยช่วยผลักอยู่ด้านหลัง เส้นทางบนภูเขาขรุขระ รถลากสองล้อจึงแล่นไปข้างหน้าด้วยความยากลำบาก
ความคิดนับพันนับหมื่นผุดขึ้นในใจของกู้จิ้ง ความคิดสุดท้ายคือ…
จริงๆ ตอนนี้มาคิดดู ยัยคนที่มีใบหน้ารูปผลท้อนั่นก็มีน้ำมีนวล หน้าตาก็น่ารักไม่เลว ยังมียัยแม่ม่ายท่าทางยั่วยวน ถ้าตัดอคติออกไปก็นับได้ว่ามีหน้าตาสะสวย ที่ควรเว้าก็เว้าที่ควรโค้งก็โค้ง สมเป็นภรรยาที่ควรมีเอาไว้ในบ้าน ต้องมีลูกได้หลายคนแน่!
สองคนนี้ ไม่ว่าเลือกคนไหนก็ดีกว่าจ้าวจิ้งเทียนอะไรนั่นทั้งนั้น!
บรรพบุรุษเอ๊ยบรรพบุรุษ จะตาบอดมองไม่เห็นพวกเธอไม่ได้นะ
กู้จิ้งเดินไปพลางคิดไปพลาง กำลังจะไปถึงถ้ำ หม้อใบที่ใหญ่ที่สุดก็ร่วงลงมาจากรถลาก
หม้อที่ทำขึ้นจากเหล็กเนื้อดีกลิ้งลงไปตามเนินเขาดังเคร้งๆ ก่อนจะตกลงไปในน้ำดังตูม
กู้จิ้งเสียดายมาก “หม้อ! หม้อ!”
นั่นมันหม้อของบรรพบุรุษของยายเธอนะ ไม่แน่ว่าหม้อที่คุณยายใช้เคี่ยวโจ๊กให้เธอสมัยเด็กอาจเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษก็ได้!
เซียวเถี่ยเฟิงหน้าเครียด เขาไม่ได้มองหม้อ แต่กำลังมองเธอ
กู้จิ้งกระทืบเท้าพลางตั้งท่าจะวิ่งตามไปเก็บ
เซียวเถี่ยเฟิงคว้าเอวเธอไว้แล้วอุ้มขึ้นไปกอด
เธอดิ้นรน “นายบ้าไปแล้วหรือ? กอดฉันทำไม ตามไปเก็บหม้อสิ!”
เซียวเถี่ยเฟิงขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ไม่เคยเห็นปีศาจโง่เง่าแบบเจ้ามาก่อน คนอื่นล้อเจ้าเล่น เจ้าก็ถือเป็นจริงเป็นจังงั้นรึ!”
กู้จิ้งงง แต่ไม่นานนักก็เข้าใจ เธอเตะเขาแรงๆ ด้วยความโมโห “ล้อบ้าน่ะสิ! นายรีบไปเก็บหม้อมาเดี๋ยวนี้ หม้อของฉัน!”
“ยังจะคิดถึงหม้ออีก?”
เซียวเถี่ยเฟิงพูดไม่ออก เขาแบกปีศาจสาวเอาไว้บนบ่าแล้วสาวเท้ากลับไปที่ถ้ำอย่างรวดเร็ว
เขาอยากเข้าถ้ำเต็มทีแล้ว!
กู้จิ้งซึ่งถูกแบกไว้บนบ่าของชายหนุ่มได้แต่เบิกตามองหม้อของบรรพบุรุษห่างจากเธอออกไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมองไม่เห็นในท้ายที่สุด เธอร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด “หม้อกลิ้งหนีไปแล้ว หม้อหายไปแล้ว!”
ตะโกนเสร็จก็รู้สึกไม่ถูกต้องนัก นี่มันแค่หม้อหายเสียที่ไหน เขาทิ้งรถลากไว้ที่เชิงเขา ถ้ามีคนผ่านมาคว้าข้าวของที่พวกเขาเพิ่งซื้อมาใหม่เต็มคันรถไปจนหมดล่ะ?
“รถ…รถของฉัน! ยังมีเสื้อผ้าของฉัน! พลั่วของฉัน! อ่างล้างหน้าของฉัน! ผ้าเช็ดหน้าของฉัน!”
กู้จิ้งผู้น่าสงสารทั้งร้องตะโกนทั้งดิ้นรนแต่ก็ไม่ได้ผล สุดท้ายก็ถูกแบกกลับมาโยนลงบนกองหญ้าในถ้ำ
กู้จิ้งไม่เข้าใจจริงๆ ว่าบรรพบุรุษผู้นี้กำลังคิดอะไรกันแน่ นี่มันโรคจิตชัดๆ! เธอโมโหมาก ดังนั้นจึงตัดสินใจงัดความกล้าหาญที่ใช้เผชิญหน้ากับหมาป่าออกมาสู้ตาย
เธอใช้ขาเตะ ใช้มือข่วน ใช้ฟันกัด กัดไปก็ร้องตะโกนไป ไม่นานนักน้ำเสียงก็เริ่มเปลี่ยน สุดท้ายนิ้วทั้งสิบก็จิกลงบนแผ่นหลังของเขา ปากร้องตะโกนว่า “ตาย! ตาย! ฉันจะตายแล้ว!”
จนกระทั่งพระอาทิตย์ตกดิน เธอถึงได้ตะเกียกตะกายลุกขึ้นพลางแค่นเสียงฮึอย่างอารมณ์ไม่ดี ตาก็มองบรรพบุรุษแซ่เซียวซึ่งก่อกองไฟขึ้นตรงปากถ้ำเรียบร้อยแล้วจัดการเก็บข้าวของเครื่องใช้ให้เข้าที่
“หม้อนั่นตั้งไว้ทางด้านนี้…”
“วันหลังเราต้องก่อเตาด้วย…”
“ใช่ๆๆ ต่อไปเราต้องทำรั้วล้อมอาณาเขต”
“ที่นี่เลี้ยงไก่ได้ พรุ่งนี้นายไปจับไก่ป่ามาหลายๆ ตัวนะ! ต้องเอาตัวที่มีลายสวยๆ ด้วย! พวกมันจะได้ออกไข่ให้ฉันกิน!”
กินไข่ไปมากขนาดนั้น กินไปกินมาเธอก็เริ่มชิน ราวกับว่าเธอเกิดมาก็สมควรต้องกินไข่อยู่แล้ว
“ไม่ได้ๆ เราจะทิ้งรถไว้ตรงนี้ไม่ได้ ถ้าฝนตกก็เปียกหมดน่ะสิ พรุ่งนี้นายอย่างลืมก่อเพิงด้วย”
“เอาล่ะ ท่านบรรพบุรุษ เก็บของเสร็จก็รีบย่างเนื้อได้แล้ว ไม่อย่างนั้นปีศาจน้อยต้องหิวตายแน่!”
กู้จิ้งซึ่งนอนกระดิกเท้าอยู่ตรงนั้นใช้ภาษาท้องถิ่นโบราณซึ่งเจือด้วยสำเนียงยุคปัจจุบันตะกุกตะกักสั่งให้บรรพบุรุษของตัวเองทำนั่นทำนี่
เซียวเถี่ยเฟิงผู้น่าสงสารต้องปีนกลับลงไปที่เชิงเขาแล้วลุยน้ำไปเก็บหม้อตามคำสั่งของเธอ จากนั้นก็ต้องไปเข็นรถสองล้อที่ทิ้งเอาไว้กลับมาที่ถ้ำแล้วจัดการขนข้าวของเครื่องใช้ลงมา อะไรที่ควรจัดเก็บก็เก็บให้เข้าที่ อะไรที่ควรทำความสะอาดก็ทำความสะอาด
จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย เขาก็เริ่มลงมือทำคันธนู
คันธนูที่วางขายอยู่ในตลาด ราคาแพงไม่มีปัญญาซื้อ ราคาถูกก็ไม่ถูกใจ ไม่สู้ลงมือทำเองจะดีกว่า ดังนั้นตอนที่เข้าเมือง เขาจึงซื้อเอ็นวัวกับเขาวัวชั้นดีมาด้วย พอกลับมาก็หาไม้ชั้นดีในภูเขามาเริ่มลงมือเหลา
ธนูดีๆ ใช่ว่าจะทำเสร็จได้ในชั่วพริบตา ก่อนอื่นต้องเหลาคันธนูก่อน เสร็จแล้วต้องติดด้ามจับ ติดเขาวัว เคี่ยวกาว ติดสาย ฯลฯ
โชคดีที่เซียวเถี่ยเฟิงเคยทำมาก่อน แม้อาจจะทำได้ไม่ดีมาก แต่อย่างน้อยก็ดีกว่าของราคาถูกที่ขายอยู่ข้างนอก
เขากำลังนั่งเหลาไม้ทำคันธนูอยู่บนก้อนหิน พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นภรรยากำลังนั่งอยู่ตรงปากถ้ำ มือหนึ่งถือสิ่งที่เรียกว่ากระจก ส่วนอีกมือหนึ่งถือ…กรรไกร?
กำลังตัดผมหน้าม้า?
เขาเดินไปดูถึงได้พบว่าที่แท้กู้จิ้งปล่อยผมยาวสยาย ไม่เคยหวีมาตลอด ตอนนี้ผมหน้าม้าก็เลยยาวปรกตาไปแล้ว
กระจกในมือของนางเล็กกะทัดรัด รูปทรงแปลกตา ซ้ำยังทำจากวัสดุที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน กรรไกรเล็กๆ นั่นก็ดูแปลกประหลาดไม่น้อย
คงเป็นของที่ปีศาจใช้กันสินะ?
เขาใช้เท้าข้างหนึ่งเขี่ยตอไม้มานั่งลง มองดูเธอค่อยๆ เล็มผมอยู่ตรงข้างกองไฟ
ผมของเธอสวยมากราวกับผ้าต่วน พอใช้นิ้วสางดูก็ให้ความรู้สึกเรียบลื่นนุ่มนวลเย็นสบาย เซียวเถี่ยเฟิงชอบผมของเธอมาก
“เจ้าปล่อยผมแบบนี้สวยก็จริง แต่คนอื่นเห็นแล้วคงไม่คุ้นนัก สมควรต้องเกล้าเป็นมวย” เขาเอื้อมมือไปจับผมเธอพลางทำท่าหวี เพื่อให้เธอเข้าใจความหมายของเขาได้ดียิ่งขึ้น
“หวีอย่างไรหรือ?”
เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม กู้จิ้งเองก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เหมือนกับผู้คนรอบด้าน ทำให้มีคนมองเธอด้วยสายตาแปลกๆ อยู่บ่อยๆ เธอสมควรต้องเกล้าผมเป็นมวยเหมือนกับผู้หญิงเหล่านั้นใช่ไหม?
แต่เรื่องนี้ต้องอาศัยฝีมือ เธอทำเป็นเสียที่ไหน
พอเธอย้อนถาม เซียวเถี่ยเฟิงก็ถึงกับพูดไม่ออก
เขาหวีผมของผู้ชายเป็น เพราะเป็นแค่ทรงผมง่ายๆ แต่ผมมวยของผู้หญิงย่อมต้องหวีให้ดูดีหน่อย จะทำอย่างไรดี? เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก็กล่าวว่า “ข้าจะทำปิ่นไม้ให้เจ้าใช้ตรึงผมเอาไว้ดีหรือไม่?”
กล่าวพลางชี้ไปที่ท่อนไม้ซึ่งวางอยู่บนตอไม้ด้านข้างแล้วก็ชี้ปิ่นไม้บนศีรษะของตัวเอง
ถึงจะไม่เหมือนกับผู้หญิงคนอื่น แต่อย่างน้อยก็ไม่ดูแปลกมากนัก
“ตกลง เอาแบบนี้ล่ะ!” จริงๆ กู้จิ้งเองก็รู้สึกว่ายุ่งยากมาก อยู่กลางป่ากลางเขาแบบนี้ เธอเองก็กลายเป็นมนุษย์ถ้ำไปแล้ว ยังต้องมาคอยสระผมเกล้าผม แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว
เซียวเถี่ยเฟิงเห็นเธอตอบรับง่ายๆ เหมือนไม่ใส่ใจก็ยิ้มออกมา เขาเอื้อมมือไปลูบผมเธออย่างอดไม่ได้ “ปีศาจน้อย รอให้ข้าหาเงินได้ก่อนจะซื้อปิ่นเงินให้เจ้า ถ้ามีเงินมากๆ เมื่อไหร่ก็จะซื้อปิ่นทองปิ่นหยกให้ด้วย เจ้าชอบไหม?”