ตอนนี้ เธอก็ได้แต่ทดลองใช้ยาเพนิซิลลินวีที่มีอยู่เท่านั้น
เธอให้เซียวเถี่ยเฟิงต้มน้ำร้อนมาอ่างหนึ่ง จากนั้นก็ให้นำเครื่องมือทั้งหมดไปเผาไฟแล้วนำมาแช่เหล้าเพื่อฆ่าเชื้อ หลังจากจัดการล้วงเสมหะให้ทารกน้อยเสร็จ เธอก็เริ่มป้อนยาให้
เธอเอายาเพนิซิลลินมาหักเป็นสองส่วน บดเป็นผงแล้วผสมกับน้ำอุ่นป้อนให้เด็กน้อย
เธอกลัวทารกน้อยจะเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา ดังนั้นจึงคอยเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด จากนั้นก็ช่วยเช็ดตัวให้สะอาดแล้วทายาโพวิโดนไอโอดีนฆ่าเชื้อตรงสะดือให้
ประเภทของยาที่เธอมีอยู่มีไม่มาก อะไรที่ทำได้ก็ทำแล้ว ส่วนที่เหลือขึ้นอยู่กับโชคชะตา
กู้จิ้งอุ้มเด็กน้อยพาดไหล่แล้วตบหลังกล่อมเบาๆ
ท่านบรรพบุรุษถูกเธอใช้ให้ออกไปต้มน้ำข้าวมาป้อนให้ทารกน้อย
ยามนี้ฟ้ามืดแล้ว คนที่มาเซ่นไหว้ค่อยๆ ทยอยกลับไป เหลือเพียงมารดากับย่าของเด็กน้อยที่ยังเฝ้าอยู่ข้างนอก ต่อมาไม่รู้ทำไม จู่ๆ มารดาของเด็กก็เป็นลมหมดสติ ผู้เป็นย่าจึงพากลับบ้านไป
ก่อนจากไป นางยังพร่ำวิงวอนว่า “ต้าเซียน โปรดช่วยหลานของข้าด้วย! ชาติหน้าข้ายินดีเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ต้าเซียน!”
เซียวเถี่ยเฟิงมองเงาหลังที่น่าเวทนาของหญิงชราแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้า เห็นท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับฝาหม้อสีดำอันใหญ่ก็รู้ว่าฝนกำลังจะตกหนัก เขาจึงอดพึมพำไม่ได้ “พวกพรานเขาเว่ยอวิ๋นคงจะออกเดินทางกันแล้ว”
หวังว่าทุกอย่างจะราบรื่น อย่าได้มีเหตุไม่คาดฝันใดๆ เกิดขึ้น
ทำอาหารเสร็จ มุดกลับเข้าไปในถ้ำ เขาก็พบว่าท่ามกลางแสงไฟริบหรี่ในถ้ำนั้น ปีศาจสาวของเขากำลังนั่งเอนกายอยู่บนผ้าปูที่นอน ในอ้อมอกของนางกอดเด็กทารกคนหนึ่งเอาไว้ นางกำลังตบหลังแกเบาๆ พลางพึมพำเสียงอ่อนโยนเหมือนกำลังกล่อมให้หลับ
แสงไฟไหววูบสะท้อนกับใบหน้าขาวเนียนไร้ตำหนิของนาง สันจมูกเชิดรั้น หน้าผากนูน ริมฝีปากเม้มน้อยๆ รวมกันเป็นภาพที่แสนจะงดงามและอ่อนโยนเหลือเกิน
เขาไม่เคยเห็นนางในลักษณะนี้มาก่อน นางในยามนี้ไม่เหมือนกับปีศาจสาวที่เขาเคยรู้จักสักนิด
จู่ๆ เขาก็นึกถึงความคาดหวังอันแสนงดงามที่เขาเคยมีต่ออนาคตขึ้นมา
เช่น แต่งภรรยาแล้วมีลูกโขยงหนึ่ง ในค่ำคืนที่ฝนตกหนัก เขาซึ่งทำงานมาตลอดวันกลับมาถึงบ้าน หลังจากอาบน้ำชำระเหงื่อไคลเสร็จก็ปีนขึ้นไปบนเตียงเพื่อพร่ำพลอดกับภรรยา ส่วนบนอีกฟากของเตียงนั้นคือลูกๆ ที่พวกเขาให้กำเนิด
ท่าทางของปีศาจสาวในตอนนี้ก็คือท่าทางของภรรยาที่เขาเคยฝันถึง
เพียงแต่ปีศาจสาวเคยบอกแล้วว่านางมีลูกให้เขาไม่ได้ และนางก็ไม่สามารถอยู่กับเขาไปชั่วชีวิต
ช้าเร็วนางก็ต้องไปจากเขา กลับไปยังสถานที่ที่นางควรอยู่สินะ?
แต่ต่อให้ไม่จากไป สักวันเขาก็ต้องแก่ชรา ส่วนนาง… นางจะยังคงอ่อนเยาว์เหมือนตอนนี้ตลอดไปหรือเปล่า? ภายหน้า…นางจะรังเกียจที่เขาแก่หรือเปล่า?
“ทำไมนายเอาแต่จ้องฉันแบบนี้ล่ะ?”
ปีศาจสาวกล่อมเด็กหลับแล้วก็ค่อยๆ วางร่างแกลง จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมองเขา
แววตาที่มองตรงมาดูราวกับมองทะลุหัวใจของเขาได้ ทำให้เขารู้สึกลนลานขึ้นมา
เขาเบนสายตาหลบพลางกล่าวยิ้มๆ “หิวหรือยัง? ข้าทำอาหารเสร็จแล้ว”
กู้จิ้งมองเขาด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าทำไมวันนี้เขาถึงมีท่าทางแปลกๆ เธอลุกขึ้นเดินไปที่ปากถ้ำแล้วยื่นนิ้วออกไปข้างนอก พบว่ามีหยาดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วกำลังตกลงมา
“ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูใบไม้ร่วงหรือ ทำไมถึงมีฝนมากแบบนี้ล่ะ?”
“คนข้างนอกพวกนั้นไปกันหมดแล้วหรือ? แบบนี้ก็ดี จะได้สงบหูหน่อย ตอนนี้ฉันชักอยากจะให้ฝนตกบ่อยๆ แล้ว ฝนตกแล้วเงียบดี”
กู้จิ้งบ่นพึมพำก่อนจะหันหลังกลับ ทันใดนั้นเธอก็พบว่าเซียวเถี่ยเฟิงกำลังจ้องเธอตาไม่กะพริบ
“วันนี้เป็นอะไรไปหรือ?”
เธอวิ่งกลับไปหา จากนั้นจึงย่อกายลงนั่งข้างๆ แล้วเอื้อมมือไปลูบหน้าของเขา
“ไม่มีอะไร ข้าแค่คิดว่าฝนตกแบบนี้ ข้าคงต้องรออีกสองสามวันถึงจะเข้าป่าลึกไปล่าสัตว์ได้”
“ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่โตอะไรเลย อย่างมากก็ไม่ต้องไป”
ถึงอย่างไรเธอก็มีของเซ่นไหว้มากมาย ไม่มีทางอดตายอยู่แล้ว
“กู้จิ้ง เจ้าช่วยเด็กคนนี้ได้ไหม?”
กู้จิ้งได้ยินเขาถามถึงเด็กก็ถอนใจคำหนึ่ง “ไม่รู้สิ ฉันเองก็ได้แต่พยายามสุดความสามารถ ตอนนี้ฉันให้ยาไปแล้ว จริงๆ ก็ไม่เหมาะสมนัก แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่นก็ได้แต่ต้องลองดูเท่านั้น”
กู้จิ้งกล่าวต่อ “หลังจากนี้ฉันต้องคอยทำความสะอาดสะดือให้เด็กทุกหนึ่งชั่วโมง นายเองก็ต้องระวังให้ดี อย่าแตะต้องเด็กคนนี้ แล้วก็อย่าลืมเอาผ้าห่มของเขาไปลวกน้ำร้อนด้วย”
“ได้ ข้ารู้แล้ว”
ระหว่างที่พูด สายตาของเซียวเถี่ยเฟิงก็หันไปจับจ้องร่างของเด็กน้อยที่ถูกกู้จิ้งวางไว้บนเบาะ ร่างเล็กจิ๋วน่าเวทนากำลังนอนงอขาอยู่ในท่าเดียวกับคางคก มือน้อยๆ กำเป็นหมัดแน่นวางอยู่ข้างศีรษะ
เขาอดคิดไม่ได้ว่าถ้าเขากับกู้จิ้งมีลูกได้ แกจะเป็นแบบนี้หรือเปล่า?
แต่กู้จิ้งบอกแล้วว่านางมีลูกไม่ได้…
ปีศาจมีลูกไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
หรือว่าปีศาจมีลูกกับมนุษย์ไม่ได้กันแน่?
ถ้าปีศาจมีลูกกับมนุษย์จะเรียกว่าอะไร มนุษย์ปีศาจ หรือว่าปีศาจมนุษย์?
ในขณะที่เซียวเถี่ยเฟิงกำลังมองลูกของคนอื่นด้วยสายตาครุ่นคิด กู้จิ้งบังเอิญเหลือบมองไปทางเขาพอดี
เพียงมองครั้งเดียว หัวใจของเธอก็เหมือนถูกหนามแหลมทิ่มแทง
สายตาที่ผู้ชายคนนี้มองเด็กคนนั้นเต็มไปด้วยความปรารถนาอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน ใบหน้าแข็งกระด้างของเขาดูอ่อนโยนลง แววตาล้ำลึกแฝงด้วยความคาดหวัง
เขาอยากจะมีลูกจริงๆ
เมื่อก่อนเขาบอกว่าจะอยู่กับเธอ ต่อให้ไม่มีลูกก็ไม่เป็นไร
แม้คำพูดนี้จะมาจากใจจริง แต่จริงๆ แล้วในใจส่วนลึกของเขาก็ยังปรารถนาอยากจะมีลูกของตัวเอง
กู้จิ้งถอนใจเบาๆ ไม่รู้จะบรรยายความรู้สึกในใจได้อย่างไร
มีบางเรื่องที่คนเราไม่อาจขัดขวางได้ ดังนั้นจึงสมควรรู้ตัวเสียแต่เนิ่นๆ
กู้จิ้งดูแลเด็กคนนี้อยู่สามวันเต็มๆ
ในช่วงสามวันนี้ เธอแทบไม่กล้าหลับตา วันๆ ได้แต่ใช้ยาฆ่าเชื้อทำความสะอาดสะดือให้เด็ก, เช็ดตัว, นวดให้เมื่อมีอาการเกร็ง และป้อนยาเพียงชนิดเดียวที่สามารถฝากความหวังเอาไว้ได้ให้เขา
เธอยังเรียกมารดาของเด็กเข้ามาให้นมตามเวลา ทั้งยังสอนวิธีทำความสะอาดสะดือเด็กให้นางอีกด้วย
เห็นได้ชัดว่าผู้เป็นมารดาหวาดกลัวเธอ นางคอยฟังอยู่ด้านข้างด้วยอาการอกสั่นขวัญแขวน พอกู้จิ้งให้นางลองใช้คอตตอนบัดเช็ดสะดือให้เด็ก มือของนางก็ถึงกับสั่นระริก
กู้จิ้งมองออกว่าสำหรับผู้คนในสมัยโบราณแล้ว วิธีรักษาทั้งหมดที่เธอใช้เรียกได้ว่าแปลกประหลาดมาก
“บนภูเขาของเรามีเด็กที่มีอาการสี่หกเยอะไหม?” กู้จิ้งเอ่ยถามช้าๆ ชัดๆ ด้วยภาษาท้องถิ่นสมัยโบราณที่ไม่ค่อยถูกต้องนัก
มารดาของเด็กน้อยมีดวงตาแดงก่ำ ท่าทางเซื่องซึม สีหน้าเลื่อนลอย พอได้ยินคำถามนี้ก็ตะลึงงันไปครู่หนึ่งก่อนจะรีบพยักหน้า
“เยอะหรือ?” กู้จิ้งขมวดคิ้ว
สมัยโบราณ ไม่ว่าจะการทำคลอดหรือการรักษาก็ล้าหลัง ไม่อาจเปรียบกับสมัยปัจจุบันได้ อัตราการตายของทารกแรกเกิดในสมัยโบราณจึงสูงมาก แต่สูงถึงขั้นไหน กู้จิ้งก็ไม่รู้เหมือนกัน
มารดาของเด็กน้อยลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของนางฉายแววเจ็บปวด จากนั้นจึงก้มหน้าลงกล่าวว่า “นี่เป็นลูกคนที่เจ็ดของข้า หกคนก่อนหน้านี้ มีชีวิตรอดมาแค่สองคนเท่านั้น”
หกคน รอดมาแค่สองคน?
กู้จิ้งได้ยินเช่นนี้ หัวใจก็หนักอึ้งขึ้นมา
เธอขมวดคิ้วอีกรอบพลางมองดูทารกน้อยที่นอนอยู่บนเบาะ แกช่างดูตัวเล็ก น่าสงสาร ไร้ที่พึ่ง อ่อนแอราวกับลูกแมวเพิ่งเกิดใหม่ เด็กคนนี้มีพี่สาวหรือไม่ก็พี่ชายสี่คนที่ตายไปเพราะอาการสี่หกอย่างนั้นหรือ?
กู้จิ้งย้อนกลับไปคิดถึงภรรยาที่ตายไปเพราะคลอดยากของจ้าวจิ้งเทียน
อยู่ในสมัยโบราณ การคลอดสำหรับผู้หญิงและเด็กเรียกได้ว่าเป็นการก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปสู่ประตูผี และทั้งหมดนี้ก็มีสาเหตุมาจากการแพทย์และจิตสำนึกด้านสาธารณสุขที่ล้าหลังนั่นเอง
กู้จิ้งครุ่นคิดอยู่เงียบๆ นิ่งนาน
คุณยายสนับสนุนให้เธอเรียนวิชาแพทย์มาตั้งแต่เด็ก พอโตขึ้นก็ส่งไปในเมืองให้คุณพ่อคุณแม่อบรมสั่งสอน และคุณพ่อซึ่งเป็นหมอก็มอบโอกาสในการฝึกฝนซึ่งคนอื่นไม่มีทางได้รับให้เธอครั้งแล้วครั้งเล่า ตอนนี้มาคิดดู เธอสมควรต้องขอบคุณคุณยายจริงๆ ที่มีสายตายาวไกลเหมือนหยั่งรู้อนาคตล่วงหน้า
บางทีการที่เธอมายังเขาเว่ยอวิ๋นในอดีตเมื่อหนึ่งพันปีก่อน อาจเป็นเพราะโชคชะตาลิขิตเอาไว้แล้วก็เป็นได้
เธอสมควรมายังยุคสมัยที่ไม่คุ้นเคยและล้าหลังแห่งนี้เพื่อใช้วิชาแพทย์ยุคปัจจุบันช่วยเหลือผู้คนมากมาย นำพาความเจริญรุ่งเรืองมาสู่สังคม และทำให้ลูกหลาน รวมทั้งคุณยายมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
คิดได้เช่นนี้ เธอก็หันไปมองเด็กน้อยที่นอนอยู่บนเบาะเล็กๆ อีกครั้ง
ชาวบ้านบนเขาเว่ยอวิ๋นคือความรับผิดชอบของเธอ บางทีนี่อาจเป็นความหวังของคุณยายก็ได้
ระหว่างที่กู้จิ้งกำลังคิดเช่นนี้ มารดาของเด็กน้อยซึ่งบังเอิญหันมามองเธอก็ตะลึงงันไปเช่นกัน
ใครๆ บอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นปีศาจ สามารถร่ายคำสาปและใช้อาคมได้ นางทำร้ายผู้คนไปไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ แต่นางก็ช่วยผู้คนด้วย
ตอนแรกที่คนที่บ้านเสนอให้อุ้มเด็กมาขอให้ปีศาจช่วยเหลือ นางรู้สึกกลัวมากเหลือเกินว่าลูกชายของตัวเองจะถูกปีศาจทำร้าย