อย่าว่าแต่ยามนี้ บางทีคนที่กำลังเดินทางจากไปบนถนนหลวง อาจเป็นคนที่เขาเฝ้าคำนึงหามาตลอดสี่ปี!
บางทีอาจเป็นนาง บางทีอาจจะไม่ใช่ แต่เขาจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสใดๆ ที่จะได้พบนางหลุดมือไป
ต่อให้มีความหวังเพียงเล็กน้อย เขาก็จะไม่ยอมให้ตัวเองพลาดเด็ดขาด
เสียงลมพัดผ่านข้างหู กีบเท้าม้ากระทบพื้นถนนเก่าแก่จนทำให้ฝุ่นละอองฟุ้งกระจาย เซียวเถี่ยเฟิงโน้มตัวลงต่ำ สองขาหนีบท้องม้าแน่น ดวงตาหรี่มองไปข้างหน้า
คนอื่นบอกว่ากู้จิ้งเรียนอาคมมาจากแดนเซียน และมายังโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือผู้คน
เขาไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วเขาจะไร้วาสนากับกู้จิ้งหรือไม่?
ความผิดพลาดบนเขาเว่ยอวิ๋นครั้งนั้น เป็นเพราะน้ำมือมนุษย์หรือลิขิตสวรรค์กันแน่?
หากลิขิตสวรรค์ขวางอยู่ตรงหน้า ทำให้นางต้องพรากจากเขาไป ไม่มีวันได้พบกันอีกตลอดกาล เขาควรจะยอมรับโชคชะตาหรือไม่?
ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่พัดผ่านไป หยาดเหงื่อเม็ดโตเท่าเม็ดถั่วไหลผ่านหน้าผากลงมาที่ดวงตาของเขา ทำให้ภาพตรงหน้าพร่าเลือน
เขาอยู่ท่ามกลางกลิ่นคาวเลือดมาครึ่งค่อนชีวิต ชีวิตนี้ไม่ปรารถนาอะไรอีกนอกจากอยากอยู่กับนางไปชั่วชีวิตเท่านั้น แต่ทำไมถึงได้ยากเย็นเช่นนี้
ระหว่างที่คิด ในที่สุดเขาก็เห็นฝุ่นละอองที่ฟุ้งกระจายอยู่เหนือถนนด้านหน้า เขาพบขบวนรถแล้ว
กู้จิ้งนั่งกินผลไม้แห้งอยู่ในรถม้าอย่างสบายอารมณ์
ลวี่ฮูหยินช่างใส่ใจยิ่งนัก จัดเตรียมของอร่อยให้เธอมากมายเช่นนี้ ทำให้เธอหายเบื่อไปได้มาก
กำลังกินอยู่ จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นที่ด้านหลัง
คุณชายลั่วซึ่งนั่งอยู่ในรถม้าเหมือนกันขมวดคิ้วพลางเหลียวไปมองข้างหลัง จากนั้นจึงสั่งองครักษ์ว่า “ไปดูซิ”
ที่นี่เป็นถนนหลวงซึ่งมุ่งหน้าไปยังปิ้งโจว เสียงฝีเท้าม้าเร่งร้อนเช่นนี้ เกรงว่าจะเป็นรายงานด่วนทางทหารสินะ?
กู้จิ้งเองก็ประหลาดใจ เธอแหวกม่านออกแล้วโผล่หน้าออกไปดูบ้าง แต่พอได้เห็นก็ต้องตะลึงงันไปทันที
ท่ามกลางฝุ่นละอองคละคลุ้งนั้น ม้าตัวใหญ่พ่วงพีกำลังยกขาหน้าสูง ชายเสื้อสีดำของชายหนุ่มกับขนหางของม้าปลิวสะบัดไปตามสายลม ใบหน้าเบื้องหลังเส้นผมสีดำที่เห็นไม่ชัดนั้นเป็นใบหน้าที่แสนคุ้นเคย
ดวงตาล้ำลึกที่อ่านความหมายไม่ออกกำลังจ้องเขม็งมาที่เธอ ราวกับกำลังจ้องเหยื่อที่ตามหามานานถึงเจ็ดชาติภพ
เซียวเถี่ยเฟิง…
เขามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
กู้จิ้งตกใจมาก นี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่เธอรู้สึกตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกเช่นนี้
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าชีวิตนี้ยังจะได้พบเซียวเถี่ยเฟิงอีก ยิ่งไม่เคยคิดว่าหากได้พบเขาอีกครั้ง เธอควรจะพูดอะไร?
ถามเขาว่า นายกับลูกเมียของนายสบายดีไหมงั้นหรือ?
ระหว่างที่กู้จิ้งกำลังสับสนนั้นเอง เงาดำนั้นก็ทะยานขึ้นจากหลังม้าแล้วโผมาหากู้จิ้งราวกับพญาเหยี่ยว
เส้นผมดำขลับปัดผ่านมุมปาก กระแสลมกระโชกแรงพัดผ่านข้างหู กู้จิ้งรู้สึกว่าฟ้าดินกำลังหมุนวนไปรอบๆ
กว่าจะตั้งสติได้ เธอก็พบว่าตัวเองกำลังอยู่ในอ้อมกอดของผู้ชายคนหนึ่ง
แขนแข็งแรงของเขาโอบเอวเธอเอาไว้แน่น แผงอกแข็งแกร่งแนบชิดกับร่างของเธอจนเรียกได้ว่าไม่มีช่องว่างใดๆ ลมหายใจร้อนผ่าวลอยวนอยู่เหนือเส้นผม
“เสี่ยวจิ้งเอ๋อ ในที่สุดข้าก็หาเจ้าพบ”
เสียงแหบพร่าของชายหนุ่มเอ่ยขึ้นช้าๆ ทีละคำๆ
เสียงทุ้มแหบต่ำแฝงด้วยความอ่อนล้าราวกับคนที่เดินทางไกลมาเป็นหมื่นลี้ของชายหนุ่มดังขึ้นที่ข้างหูของเธอ
ถึงตอนนี้กู้จิ้งค่อยตั้งสติได้
เธอเจอเซียวเถี่ยเฟิง เธอถูกเซียวเถี่ยเฟิงกอดเอาไว้ เธอเงยหน้าขึ้นมองเขาด้วยความงุนงง
เขาผอมลงมาก ผอมจนเรียกได้ว่าเห็นกระดูก ปลายคางมีหนวดเคราครึ้ม ดูคล้ายกับอู่อ๋องอยู่บ้าง
เขาเปลี่ยนไปมากเหลือเกิน
ตอนแรกยังรู้สึกว่าผ่านไปไม่ถึงปี ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ แต่ชั่ววินาทีต่อมาเธอก็คิดได้ สำหรับเธอเป็นเวลาแค่หนึ่งปี แต่สำหรับเขากลับผ่านไปสี่ปีแล้ว
ไม่ได้พบกันสี่ปีแล้วสินะ
“นาย…นาย…” เธอตะกุกตะกัก เพราะไม่รู้จริงๆ ว่าควรพูดอะไรดี
ถามถึงเมียเขา ถามถึงลูกเขา ถามว่ามีลูกกี่คนแล้วงั้นรึ?
เซียวเถี่ยเฟิงไม่รู้ว่ากู้จิ้งกำลังคิดอะไร แขนแข็งแรงปานเหล็กกล้าของเขากอดหญิงสาวในอ้อมอกแน่นพลางก้มลงมองเธอ เห็นเธอกำลังเผยอปากเล็กน้อย ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความงุนงงราวกับไม่รู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นิ้วของเขาปัดผ่านริมฝีปากของเธอเบาๆ น้ำเสียงแหบพร่าแฝงด้วยแววสั่นเครือ “ขอโทษด้วย เมื่อก่อนข้าเป็นฝ่ายผิดเอง”
ก่อนจะพบนาง เขาไม่เคยชอบผู้หญิงคนไหนมาก่อน ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าในใจผู้หญิงคิดอะไร เขาคิดแค่ว่าอยู่ด้วยกันก็คืออยู่ด้วยกัน ในเมื่ออยู่ด้วยกันแล้ว นางก็คือภรรยาของเขา
แต่เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า การอยู่กับเขาทำให้นางต้องลำบากใจสักเพียงใด
เห็นได้ชัดว่าสมองของกู้จิ้งไม่ได้คิดเรื่องเดียวกับชายหนุ่มที่กำลังทั้งรู้สึกผิด ทั้งยังปลาบปลื้มยินดีที่ได้กลับมาพบสตรีที่รักอีกครั้ง พอได้ยินคำว่าขอโทษ เธอก็ตั้งสติได้
กู้จิ้งซึ่งคิดว่าตัวเองตั้งสติได้แล้วผลักอกชายหนุ่มเบาๆ แต่ผลักหลายครั้งเขาก็ยังไม่ขยับ
กู้จิ้งจนใจ สุดท้ายก็ได้แต่กัดริมฝีปากพลางถอนใจเบาๆ “เราไม่เหมาะที่จะอยู่ด้วยกันอีกแล้ว นายทำแบบนี้ไม่ดีเลย ฉันจะไม่เป็นมือที่สามของใครหรอกนะ”
จิตสำนึกแค่นี้เธอยังมีอยู่
เซียวเถี่ยเฟิงได้ยินเช่นนี้ แขนซึ่งโอบรอบเอวบางของเธอเอาไว้ก็กระชับแน่นขึ้น
“ไม่เหมาะยังไง? ทำไมถึงไม่เหมาะ? ตอนนี้ข้าสามารถมอบสิ่งที่เจ้าต้องการให้เจ้าได้แล้ว เจ้าอยากได้อะไร ข้าจะหามาให้เจ้าทั้งหมด”
“เสี่ยวจิ้งเอ๋อ ข้าไม่สนใจแดนเซียนหรือโลกมนุษย์อะไรทั้งนั้น หากข้าหาเจ้าไม่พบไปชั่วชีวิตก็แล้วไป แต่ในเมื่อตอนนี้หาเจ้าพบแล้ว นับแต่นี้ไปเจ้าต้องอยู่ข้างกายข้า ไม่ว่าใครก็อย่าคิดแย่งเจ้าไปทั้งนั้น! ต่อให้ต้องฝืนลิขิตสวรรค์ ข้าก็จะไม่ยอมให้เจ้าจากไป”
“แดนเซียนโลกมนุษย์อะไรกัน ฉันไม่เข้าใจ… ฉันรู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เราอยู่ด้วยกันไม่ได้แล้วจริงๆ”
เธอกลายเป็นอดีตไปแล้ว ปัจจุบันและอนาคตของเขาไม่ใช่ของเธอ
“เสี่ยวจิ้งเอ๋อ เจ้ากับข้า…”
คิดไม่ถึงว่าเซียวเถี่ยเฟิงกำลังกอดภรรยาที่พลัดพรากจากกันไปนานแล้วพูดคุยกันอยู่ดีๆ จู่ๆ ก็มีผู้ชายคนหนึ่งกระโดดลงมาจากรถม้า เขามีเส้นผมดำขลับราวกับหมึก บนร่างสวมชุดขาวราวหิมะ
คนผู้นี้ย่อมเป็นคุณชายตระกูลลั่ว
เดิมขบวนรถกำลังแล่นไปข้างหน้า ทุกคนต่างก็กินอาหารไปพลางพูดคุยกันไปพลางอย่างสนุกสนาน จู่ๆ กลับมีม้าเร็ววิ่งตามมาจนฝุ่นตลบ พวกเขาย่อมตกใจมาก ใจก็อดคิดไม่ได้ว่าคนคนนี้เป็นใคร หรืออู่อ๋องเปลี่ยนใจให้คนตามมาจับพวกเขากลับไปอีก?
คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันเห็นชัดว่าคนคนนั้นเป็นใคร อีกฝ่ายก็ทะยานเข้ามาจับตัวกู้จิ้ง…หมอเทวดาหญิงไป
ทุกคนตะลึงงันไปทันที
วิธีที่คนคนนั้นจับตัวหมอเทวดาหญิงไปเรียกได้ว่ากำเริบเสิบสานมาก พวกเขาเห็นไม่ชัดเสียด้วยซ้ำว่าเขาดึงตัวหมอเทวดาหญิงออกไปจากหน้าต่างรถม้าได้อย่างไร!
“ปล่อยนางเดี๋ยวนี้!” คุณชายลั่วถือว่ากู้จิ้งเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต เขาจึงเห็นการปกป้องนางไม่ให้ใครรังแกเป็นหน้าที่ของตัวเอง
คนคนนี้แม้มองแวบแรกจะไม่รู้จัก แต่พอใช้สมองคิดดูดีๆ เขาก็รู้ว่าอีกฝ่ายต้องเป็นเทพแห่งความตายอันดับหนึ่งของแผ่นดิน บุคคลผู้มีชื่อเสียงโด่งดังที่สนับสนุนให้อู่อ๋องก่อกบฏคนนั้น…เซียวชูอวิ๋น
ทำไมเซียวชูอวิ๋นถึงได้จับตัวกู้จิ้งไป เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?
แถมสีหน้าของกู้จิ้งยังบอกชัดว่าไม่เต็มอกเต็มใจ
ด้วยเหตุนี้ ถึงคุณชายลั่วจะกลัวเซียวชูอวิ๋น เขาก็จำต้องแข็งใจก้าวออกมา
“แม่ทัพเซียว โปรดปล่อยนางด้วย!” คุณชายลั่วเห็นเซียวชูอวิ๋นไม่สนใจแม้แต่จะปรายตามองมา เขาก็รวบรวมความกล้าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
เซียวเถี่ยเฟิงกำลังคิดแต่จะกอดภรรยาของตัวเองไว้ ไม่ให้นางจากเขาไปไหนอีกแม้แต่ครึ่งก้าว พอได้ยินนางพูดว่าพวกเขาอยู่ด้วยกันไม่ได้ ในใจย่อมกลัดกลุ้มนัก
คิดไม่ถึงว่าอยู่ดีๆ จะมีคนโผล่มาสั่งให้เขาปล่อยนางอีก
เซียวเถี่ยเฟิงเงยหน้าขึ้นมองคุณชายลั่วด้วยสายตาคมกริบปานใบมีด
“เจ้าเป็นใคร ถือดีอะไรมาสั่งให้ข้าปล่อยนาง!”
พูดจบเขาก็ก้มลงถามกู้จิ้งในอ้อมกอด “ทำไมเจ้าถึงนั่งรถม้าของเขา เจ้ากับเขามีความสัมพันธ์อะไรกัน? ทำไมเจ้าถึงเดินทางไปกับเขา?”
คุณชายลั่วเห็นเซียวชูอวิ๋นเค้นถามก็รีบตอบว่า “ข้ากับนางมีความสัมพันธ์อะไรกันก็ไม่เกี่ยวกับท่าน ตอนนี้ ขอให้ท่านปล่อยนางด้วย! เซียวชูอวิ๋นท่านเป็นวีรบุรุษอันดับหนึ่งของแผ่นดิน จะมาฉุดคร่าสตรีกลางถนนเช่นนี้ได้อย่างไร!”
จริงๆ คุณชายลั่วแค่คิดจะออกหน้าแทนกู้จิ้งเท่านั้น แต่พอเซียวเถี่ยเฟิงซึ่งได้รับความทรมานจากการพลัดพรากมานานได้ยินเข้า เขาก็เข้าใจผิดทันที
เขาคิดว่ากู้จิ้งแต่งงานใหม่แล้ว แต่งกับคุณชายลั่วคนนี้!
เขามองคนในอ้อมแขนด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ พอเงยหน้าขึ้นมองคุณชายลั่วอีกครั้ง แววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความเคียดแค้นแสนสาหัสที่มีต่อคนที่พรากภรรยาของเขาไป ชายหนุ่มแค่นยิ้มเย็น ทันใดนั้น เขาก็กระชับแขนกอดกู้จิ้งแน่นแล้วพาร่างพุ่งทะยานขึ้นไปบนฟ้า ขายาวแข็งแรงตวัดใส่ร่างของคุณชายลั่ว
คุณชายลั่วส่งเสียงร้องคำหนึ่ง พริบตาต่อมา ร่างของเขาก็กระเด็นไปคลุกฝุ่นอยู่ตรงข้างทาง อะไรบางอย่างพุ่งออกมาจากปาก อาหารกลางวันที่กินเข้าไปเสียเปล่าซะแล้ว!
เซียวเถี่ยเฟิงทิ้งร่างลงบนหลังม้าตัวใหญ่พ่วงพี จากนั้นก็พาภรรยาควบม้าจากไปทันที
ทุกคนกรูเข้าไปช่วยกันพยุงคุณชายของตัวเองให้ลุกขึ้น พอเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง ชายชุดดำกับม้าตัวใหญ่ตัวนั้นก็ลับสายตาไปเสียแล้ว