รุ่งอรุณในวันหนึ่ง เหยาซิ่วตื่นมาแต่เช้า รวบผมเงางามยาวสลวยเป็นผมแกละน่ารักสองข้าง
นางมองใบหน้างดงามแม้ไม่แต่งองค์ทรงเครื่อง แต่ยังคงงามสะคราญของตน พยักหน้าอย่างพึงพอใจ เดินฮัมเพลงออกจากห้องไป
วันนี้นางจะฝึกร้องเพลง ‘เหมือนเคยพบคุณที่ไหนมาก่อน’ ผลงานของเซวียเชียนเชียน หลังได้คลุกคลีกับไอดอลในระยะนี้ นางเริ่มเข้าใจรสนิยมของไอดอลแล้ว บทเพลงที่แสดงเปลี่ยนจาก ‘มาตุภูมิของฉัน’ เป็นบทเพลงฮิตได้สำเร็จ
เหยาซิ่วเยื้องย่างด้วยฝีเท้าเบาหวิว เดินย่ำอยู่บนทางเดินหิน การฝึกร้องเพลง ควรไปฝึกในสถานที่ซึ่งมีสภาพแวดล้อมงดงามจะได้อารมณ์กว่า
ด้วยเหตุนี้ นางจึงเดินมายังที่เก่า กลับพบกับร่างแปลกหน้า
นักบวชหน้าตาคมสัน ห่มจีวรรูปหนึ่งกำลังนั่งสมาธิบนก้อนหิน
“เอ๊ะ…นักบวชนี่เอง” เหยาซิ่วเอียงหัวเล็กน้อย ในความทรงจำของนาง เหมือนว่าในสำนักจะไม่มีสิ่งมีชีวิตอย่างนักบวชนะ
ทันใดนั้น นางก็ได้สติโดยพลัน นัยน์ตาก็เป็นประกาย
ใช่แล้ว การชุมนุมแลกเปลี่ยนมรรคเทศนาสี่ทิศจะเริ่มแล้ว เมืองพุทธแห่งแดนสุขาวดีทางพายัพก็จะส่งตัวแทนมาด้วยเช่นกัน นักบวชรูปนี้คงจะเป็นตัวแทนของเมืองพุทธหรือไม่ก็สมาชิกที่ติดตาม!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นเขาก็คือศัตรูของไอดอล!
ความรับผิดชอบในฐานะแฟนคลับของเหยาซิ่วกำลังลุกโชน นางคิดว่าได้เวลาสอดแนมความลับของศัตรูแทนอันหลินแล้ว
นักบวชกำลังหลับตาพริ้ม ราวกับว่ากำลังใคร่ครวญหรือทำสมาธิ
อืม…ใช้นาฬิกาปลุกเวอร์ชั่นคนก่อนก็แล้วกัน
เหยาซิ่วลูบคางขาวผุดผ่องแผ่วเบา ตัดสินใจเดินไปยืนข้างนักบวช ทอดมองท้องฟ้าอันไกลโพ้น ค่อยๆ อ้าปากขับร้องช้าๆ “ไม่ว่าจะไปที่ใดก็เหมือนความสุขถูกจุดประกาย เหมือนเธอเคยเรียนอยู่ข้างห้องฉัน ผู้คนนำความรักที่อธิบายได้ยากฝังกลบดิน มองดูคนอื่นพยายามแสดงความบริสุทธิ์ของตัวเอง ฉันได้ยินเสียงของเธอ และมีหัวใจที่ไม่กล้าพบซ่อนอยู่…”
เสียงใสกังวาน ท่วงทำนองอันไพเราะ แต่กลับทำให้คิ้วของนักบวชขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
เมื่อเหยาซิ่วเห็นฉากนี้ ใบหน้างดงามก็เชิดขึ้นอย่างได้ใจ อ้าปากร้องเพลงต่อไป
หึๆ เจ้าทำสมาธิของเจ้า ข้าร้องเพลงของข้า!
สุดท้ายนักบวชก็ลืมตาขึ้น มองหญิงชุดเขียวที่อยู่ไม่ไกล
ใบหน้าของเขาไร้ความโมโหโทโสแต่อย่างใด กลับกันสองมือพนม โค้งตัวคำนับเล็กน้อยแล้วปลีกตัวออกไปเอง
“นี่! นักบวช ทำไมเจ้าถึงไปเสียแล้วล่ะ!”
เห็นนักบวชจากไปโดยที่ไม่พูดอะไร เหยาซิ่วจึงอดพูดอย่างร้อนรนไม่ได้
นักบวชมองเหยาซิ่วด้วยความงุนงง ตอบกลับมาว่า “โยมหญิงคนนี้ อาตมาเพียงแค่คิดว่าการทำสมาธิที่นี่ จะรบกวนเจ้าร้องเพลง จึงเลือกจะปลีกตัวออกไป”
“ไม่รบกวนๆ เจ้าทำสมาธิต่อไปเถอะ” เหยาซิ่วยิ้มเผล่
มุมปากของนักบวชกระตุก ไม่รบกวนอะไรกัน จะให้เขาพูดออกมาหรือไงว่า โยมหญิงรบกวนการทำสมาธิของตน จึงได้ตัดสินใจปลีกตัวออกไปน่ะ
“อ้อ จริงสิ ไม่ทราบว่าหลวงพ่อมีนามว่าอะไรหรือ” เหยาซิ่วผูกไมตรีอย่างเป็นมิตร
นักบวชพนมมือ พูดอย่างนอบน้อมว่า “มิบังอาจเป็นหลวงพ่อหรอก อาตมามีฉายาธรรมว่าชิงจือ”
“อ้อ สวัสดี ข้าชื่อเหยาซิ่ว!” ขณะที่พูด เหยาซิ่วก็ยื่นมือออกไปอย่างผ่าเผย
ชิงจือจ้องมืองามที่ขาวบริสุทธิ์ดุจหยกที่ยื่นออกมาหาตน เขาตกใจหดตัวเล็กน้อย “เอ่อ…ขออภัย อาจารย์เคยบอกข้าว่า ห้ามสัมผัสสีกา”
“หา จับมือก็นับว่าสัมผัสสีกาหรือ” ดวงตาสุกใสของเหยาซิ่วเบิกกว้าง ทำหน้าไม่อยากจะเชื่อ
ใบหน้าขาวสะอาดสะอ้านของชิงจือแดงระเรื่อ เบนสายตามองไปทางอื่น
ใช่ว่าเขาจะไม่เคยพบเจอสาวงาม แต่กลับไม่เคยได้สัมผัสทางกายกับผู้หญิงคนไหนเลย จึงอยากปฏิเสธตามสัญชาตญาณ
เขาบำเพ็ญเพียรในป่าหินลู่หลีนับยี่สิบปี มีจิตใจที่ไร้มลทิน แต่เพราะหัวใจเป็นกระดาษขาว จึงเปื้อนสีสันทางโลกได้ง่ายด้วยเช่นกัน
ถูกปฏิเสธการจับมือ เมื่อเหยาซิ่วได้สติก็ไม่แยแส แต่ยืนมือไพล่หลัง เพ่งมองชิงจืออย่างนึกสนุก
ชิงจือถูกจ้องจนรู้สึกอึดอัด จึงค้อมตัวเล็กน้อย “โยมหญิงคนนี้ หากไม่มีธุระอื่นแล้ว อาตมาขอตัวก่อนนะ”
“ช้าก่อน ข้าถามได้หรือไม่ว่า…ตัวแทนของเมืองพุทธเป็นใครกันบ้าง” เหยาซิ่วเอ่ยถามอย่างออดอ้อน
ชิงจือเพียงอยากจากไปให้เร็วที่สุด จึงโพล่งออกไปทันทีว่า “เป็นอาตมากับชิงเหยียนและชิงซิน ศิษย์น้องทั้งสองคน”
เหยาซิ่วได้ฟังก็สูดลมหายใจเข้าลึก จ้องมองนักบวชรูปงามตรงหน้า อุทานอย่างตกใจว่า “จริงหรือ!”
ชิงจือพนมมือ พูดเสียงหนักแน่นว่า “ผู้บวชไม่โป้ปด”
“แล้วพลังยุทธ์ของพวกเจ้าสามคนเป็นอย่างไรกันบ้าง”
เหยาซิ่วรู้สึกว่าชือจือค่อนข้างว่าง่าย จึงซักถามต่อ
“นี่มัน…” ชิงจือออกอาการลำบากใจ
เหยาซิ่วพูดยิ้มๆ ว่า “หากบอกข้าจะปล่อยเจ้าไป!”
ชิงจือรีบพูดทันควัน “ข้าระดับกึ่งแปลงจิต ศิษย์น้องอีกสองคนที่เหลือเป็นระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย!”
เหยาซิ่วได้ฟังก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ ท่าทางในการชุมนุมแลกเปลี่ยนมรรคเทศนาครั้งนี้ สำนักเราจะเอาอยู่อีกแล้ว
“โยมหญิง เช่นนั้นอาตมาขอตัวก่อนนะ”
ชิงจือหันหลังกำลังจะจากไป เสียงเสนาะหูก็ดังขึ้นข้างหลังอีกครา
“นี่ ชิงจือ!”
ชิงจือเหลียวมอง “อะไรหรือ”
“อย่าเอาแต่เรียกว่าโยมหญิงๆ สิ ข้ามีชื่อแซ่นะ”
“ต่อไปเจ้าก็เรียกข้าว่าแม่นางซิ่วแล้วกัน!”
หญิงชุดเขียวยิ้มหวานหยาดเยิ้ม ภายใต้แสงอาทิตย์ รอยยิ้มของนางแลดูงดงามมากเป็นพิเศษ
“แม่…แม่นางซิ่วหรือ” ชิงจือจ้องร่างนั้นด้วยใจที่เริ่มหวั่นไหว
“อืม!” เมื่อได้ยินเสียงเรียกขานของชิงจือ เหยาซิ่วก็ขานรับในลำคอพลางพยักหน้ายิ้มๆ
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด หัวใจของชิงจือไม่อาจสงบได้เช่นเมื่อก่อนแล้ว
เขาเริ่มลุกลี้ลุกลน พยักหน้าให้เหยาซิ่ว รีบละสายตาเดินจากไปอย่างกระดากอาย
เหยาซิ่วมองการอากัปกิริยาของนักบวชรูปนี้ ป้องปากขำเบาๆ “นักบวชคนนี้ซื่อจังเลย เขาต้องเป็นเป้าหมายที่ข้าชอบหยอกล้อแน่นอน”
ตอนแรกนางยังอยากจะหยอกเย้านักบวชรูปนี้อีกสักหน่อย แต่เห็นนักบวชรูปนี้ให้ความร่วมมืออย่างว่าง่ายปานนั้น นางก็รู้สึกละอายใจจะหยอกล้อขึ้นมา จำต้องปล่อยให้เขาเดินจากไป
“เอาละ วันนี้หยุดซ้อมร้องเพลงก่อน ต้องรีบนำข่าวนี้ไปบอกศิษย์พี่อันหลิน ให้เขาได้เตรียมตัวล่วงหน้าสักหน่อย!” เหยาซิ่วเดินลงเขาไปอย่างลิงโลด จินตนาการในใจว่าเมื่ออันหลินทราบข่าว จะต้องมองตนเปลี่ยนไปจากเดิม ยิ่งคิดก็ยิ่งตื่นเต้น
ขณะเดียวกัน สำเภาขนาดใหญ่ยักษ์ลำหนึ่งก็ทะลุผ่านชั้นเมฆ แล่นมาแต่ไกล
สำเภาเป็นสีเหลืองอ่อน เก่าครึและยิ่งใหญ่ สองฝั่งมีปีกแสงที่ยาวร่วมร้อยจั้งกำลังเคลื่อนไหว ลำแสงสีขาวปกคลุมเหนือสำเภาทั้งลำ แลดูเลื่อนลอยและลึกลับ
อีกด้านหนึ่ง จานบินสีเงินลำหนึ่งก็ค่อยๆ ร่อนมาอย่างเชื่องช้าเช่นกัน
เปลือกหุ้มของมันแข็งแรงทนทาน แฝงด้วยแสงแวววับของโลหะ ใต้จานบินมีกระแสไฟโลดแล่น หากไม่รู้คงคิดว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์จักรกล แต่มันกลับเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่เท่านั้น
ภายในจานบินมีมนุษย์ต้นไม้ที่รากไม้พัวพันไปทั้งร่าง มนุษย์หินที่เปลวไฟลุกโชนตรงหน้าอก และมีสัตว์ประหลาดที่เด็ดผลไม้บนลำต้นของตัวเองออกมาแล้วลิ้มรสอย่างเอร็ดอร่อยด้วย
พวกมันมาจากอาณาจักรธรรมชาติ เป็นอัจฉริยะของกลุ่มอิทธิพลหอสร้างโลก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้ทอดมองแผ่นดินลอยฟ้าที่ปรากฏสู่สายตา ใบหน้าต่างก็แสดงอาการตื่นเต้นดีใจ
ชัยชนะของการชุมนุมมรรคเทศนาสี่ทิศคราวนี้ ต้องเป็นของพวกมันแน่นอน!