ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม – ตอนที่ 229 ผู้อาวุโสอันหลิน

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

เมืองหงเย่ เขตเฮยเหยียน แคว้นเทียนเหอ บัดนี้ในเมืองกว้างใหญ่เงียบสงัดอย่างยิ่ง มีหมอกดำลอยสู่เวหาเป็นระลอกๆ และมีกลิ่นคาวเลือดจางๆ คละคลุ้งในอากาศ

ท้องถนนไร้ผู้คน วังเวง มีซากศพเป็นครั้งคราว เพียงชั่วครู่ก็ถูกเงาดำทมิฬคืบคลานมาเขมือบ สิ่งเดียวที่คงอยู่ มีเพียงคราบเลือดแดงฉานที่ถูกทิ้งไว้บนผิวดิน

อันที่จริงทั้งเมืองเรียกได้ว่าเป็นเมืองร้างแล้ว รอบข้างเงียบสงัด ไม่มีกลิ่นอายชีวิตเลย

ทว่าในมุมหนึ่งของเมืองหงเย่ กลับมีเสียงต่อสู้ที่ไม่เข้ากับบรรยากาศดังแว่วมา

เงาดำคลานดังกรอบแกรบไปหาชายคนตรงหน้า อ้าปากที่กว้างยิ่งกว่ามนุษย์ทั่วไป ภายในปากมีเขี้ยวแหลมร่วมร้อยกำลังขยับ กลิ่นคาวเลือดโชยมา อยากจะเขมือบชายคนนี้

ชายวัยกลางคนรูปร่างกำยำผู้นี้ยกกระบี่แล้วฟันลงอย่างแรง ไอกระบี่สีขาวลอยออกมา โจมตีเงาดำให้ล่าถอย

เงาดำเป็นมดยักษ์สีทมิฬตัวยาวหนึ่งจั้ง ของเหลวสีดำทะลักออกจากศีรษะ

หลังมันถูกกระบี่ฟันจนกระเด็น ก็มีมดยักษ์อีกสามตัวมุดออกมา กระโจนใส่ชายคนนั้น

ชายคนนั้นผลักหญิงสาวร่างบางที่คุ้มกันข้างหลังออก ตะโกนลั่นว่า “ซู่ซู่ รีบหนีไป! ไปที่อารามอัมพร!”

“ท่านพ่อ!” หญิงสาวตาแดงก่ำ สั่นเทาไปทั้งตัว กัดฟันแน่นไม่ยอมถอยร่น

นางรู้ว่าหากไม่หนีตอนนี้ จะไม่มีโอกาสหนีอีกแล้ว จึงตะโกนอย่างร้อนรนว่า “ท่านต้องรอดมาหาข้านะ!”

เมื่อพูดเสร็จ ขณะที่หญิงสาวกำลังจะหันหลังหนี กลับเห็นชายคนนั้นถูกมดยักษ์ตัวนั้นกระโจนใส่จนล้ม จึงยืนนิ่งกับที่ ดวงตาคู่งามเบิกตากว้าง ร่างกายดุจตกลงในอุโมงค์น้ำแข็ง

สมองของหญิงสาวว่างเปล่า จ้องคมเขี้ยวที่เข้าใกล้ศีรษะของผู้เป็นพ่อ ลืมแม้กระทั่งการกรีดร้องด้วยซ้ำ

ในตอนนั้นเอง สายลมอ่อนก็พัดโชยมา

ไม่รู้ว่าชายหนุ่มหน้าตาคมสันคนหนึ่งโผล่มาตรงหน้าชายที่ตอนนี้ล้มไปกองกับพื้นตั้งแต่เมื่อใด กระบี่ดำขลับของเขามีลมสีขาวห้อมล้อม แต่เพียงไม่นานก็จางหายไป

“ฟู่ว…ยังดีที่ข้าวิ่งไว” ชายหนุ่มพรูลมหายใจยาว เก็บกระบี่ใส่แหวนมิติ ไม่มองมดยักษ์สี่ตัวตรงหน้าอีกเลย

ผลุบ…

ศีรษะของมดยักษ์ทั้งสี่หล่นร่วงลงช้าๆ เลือดสีดำพุ่งกระฉูดออกมา

ชายที่ล้มลงเบิกตากว้าง มองภาพตรงหน้าอย่างเหม่อลอย

เมื่อครู่นี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาไม่เข้าใจเลยสักนิด รู้เพียงว่าชายหนุ่มคนตรงหน้าโผล่มา มดยักษ์สี่ตัวนี้ก็ตายเหี้ยนแล้ว

แต่ครู่เดียวเขาก็รู้สึกตัว นี่ต้องเป็นยอดฝีมือสักคนเป็นแน่แท้ คุกเข่าขอบคุณทันที “ขอบคุณผู้อาวุโสที่ช่วย หลิวหู่ซาบซึ้งยิ่งนัก!”

หญิงสาวที่มีรูปโฉมงดงาม รูปร่างค่อนข้างผอมบางคนนั้นวิ่งเข้ามา มาร่วมคำนับกับชายวัยกลางคนด้วย

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็กระแอมเล็กน้อย ทำหน้าสบายๆ “หึ ไม่ต้องมากพิธีหรอก เรื่องเล็กน้อยเพียงหยิบมือเท่านั้น”

ขณะที่พูด ก็พยุงสองพ่อลูกขึ้นด้วย

“เมืองถูกฝูงมดทำลายล้างจนร้าง ไยพวกเจ้าถึงเสี่ยงมาที่นี่อีกเล่า” ชายที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสเอ่ยถาม

หลิวหู่ออกอาการโศกศัลย์เมื่อได้ฟัง แต่เพราะผู้อาวุโสถาม กลับทำได้เพียงกำมือแน่น ตอบตามความจริงว่า “บ้านข้าอยู่ในเมืองนี้ เมื่อหลายวันก่อนข้ากับลูกสาวออกไปหาสมุนไพร จู่ๆ ฝูงมดก็บุกเมือง พ่อแม่ลูกเมียข้าสิ้นในปากมด แค้นนี้ข้าต้องชำระ!”

“ได้ยินว่าในเขตเมืองหงเย่ พรรคหนึ่งเดียวที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อต่อต้านฝูงมดคืออารามอัมพร ข้าคิดว่าฝูงมดถอยออกจากเมืองแล้ว จึงอยากกลับไปเอาของกับอาวุธที่บ้าน มุ่งหน้าสู่อารามอัมพร แต่ไม่คิดเลยว่าเผ่าพันธุ์มดจะซ่อนตัวอยู่ที่นี่…”

ขณะที่พูด ความเจ็บใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหลิวหู่ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกละอายในความโง่เขลาของตัวเอง

ผู้อาวุโสคนนั้นพยักหน้า ถอนหายใจเบาๆ “เผ่าพันธุ์มดโหดเหี้ยมเลือดเย็น นับตั้งแต่สะพานหมอกขาวดำปรากฏขึ้น ก็สร้างบาปกรรมกับมนุษย์อย่างท่วมท้น เป็นศัตรูของนักพรตอย่างเราอยู่แล้ว ข้าก็ตั้งใจจะเข้าร่วมอารามอัมพร ร่วมเดินทางกับพวกเจ้า เข้าร่วมงานกำจัดเผ่าพันธุ์มดด้วย”

ดวงตาของหลิวหู่มีประกายเพิ่มขึ้นหลายส่วน “ผู้อาวุโสจะเดินทางไปกับพวกเราด้วยหรือ”

หากมีผู้อาวุโสที่มีวรยุทธ์แก่กล้าร่วมเดินทาง หนทางที่พวกเขามุ่งหน้าสู่อารามอัมพรก็จะปลอดภัยขึ้นเป็นอย่างมาก

ผู้อาวุโสพยักหน้ายิ้มๆ “แต่ข้าไม่รู้ทาง วานพวกเจ้าช่วยนำทางสักหน่อย”

“ได้เลยๆ” หลิวหู่พยักหน้ารัว

“ขอบังอาจถามผู้อาวุโสมีชื่อว่าอะไรหรือ”

“ข้าชื่ออันหลิน”

“อ้อ ผู้อาวุโสอันหลิน! อารามอัมพรอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้นอกเมืองหงเย่ ห่างจากที่นี่ราวๆ ยี่สิบลี้”

“ไม่เป็นไร เดินไปกันเถอะ”

อันหลินที่ถูกเรียกว่าผู้อาวุโสเป็นครั้งแรก จึงร่วมเดินทางมุ่งหน้าสู่อารามอัมพรกับหลิวหู่และหลิวซู่ซู่ด้วยประการละฉะนี้

นับตั้งแต่มีหมอกดำประหลาดลอยออกจากหุบเหวหมื่นกาลี สร้างหอทมิฬแล้วนั้น เผ่าพันธุ์มดก็บุกแดนจิ่วโจวอย่างบ้าคลั่ง

มีเมืองแปดสิบกว่าแห่งในแคว้นเทียนเหอที่ล่มสลาย ทุกแห่งที่ฝูงมดผ่านนั้นราบเป็นหน้ากลอง เป็นสิ่งมีชีวิตที่กินมนุษย์ไม่เหลือแม้แต่ซากอย่างแท้จริง ชวนให้ประหวั่นพรั่นพรึง

และเพราะหายนะจากเผ่าพันธุ์มด การทดสอบประจำปีในครั้งนี้ของพวกอันหลินจึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

อารามอัมพรแห่งเมืองหงเย่กระจายข่าวแล้ว เชื้อเชิญให้นักพรตแต่ละหนแห่งมาร่วมปราบปรามเผ่าพันธุ์มด พร้อมทั้งปกป้องผู้อพยพที่กำลังหลบหนีลี้ภัยในเมืองด้วย

อันหลินสอบถามสถานการณ์ของอารามอัมพรตลอดทาง หลิวหู่ใฝ่ฝันอยากไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างอารามอัมพรมาเสมอ ปกติก็ศึกษาข้อมูลมาไม่น้อยเลย

ตัวอย่างเช่นประมุขเฉินเทียนหยางแห่งอารามอัมพรเป็นยอดฝีมือระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นปลาย ปรมาจารย์เฉินเยี่ยนเป็นบุคคลสะท้านฟ้าผู้ที่สัมผัสประตูระดับเทวะแล้ว ภายในอารามมีดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ มีความสามารถที่เกินธรรมชาติจะหยั่งถึง…

อันหลินฟังหลิวหู่พูด พยักหน้าเป็นครั้งคราว

หลิวซู่ซู่เหลือบมองผู้อาวุโสหน้าตาหล่อเหลาข้างๆ บ่อยครั้ง จากนั้นใบหน้าก็แดงเรื่อ เบนสายตามองทางอื่น ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

ไม่นานก็เหมือนว่าหญิงสาวจะรวบรวมความกล้า เป็นฝ่ายชวนคุยว่า “ผู้อาวุโสอันหลิน หมาน้อยกับลิงน้อยที่น่ารักสองตัวนี้เป็นสัตว์เลี้ยงของท่านหรือ”

อันหลินชะงักไปเล็กน้อย จากนั้นก็มองมินิป๋ายด้านหลังเขา กับเจ้าอัปลักษณ์บนหัวไหล่เขาแวบหนึ่ง ลูบคางครุ่นคิด

ลิงน้อยที่น่ารักเหรอ ผู้หญิงคนนี้ตาบอดตั้งแต่ยังเด็กหรือไง

แน่นอนว่าเขาไม่มีทางพูดความในใจออกมา แต่แนะนำสัตว์เลี้ยงทั้งสองให้กับหญิงสาวด้วยรอยยิ้ม

“นี่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงนะ ควรจะเรียกว่าสัตว์คู่กาย หมาน้อยตัวนี้ชื่อต้าป๋าย ลิงน้อยชื่อเจ้าอัปลักษณ์”

“โอ้โฮ ผู้อาวุโสอันหลินสุดยอด…ต่อไปหากข้ามีโอกาส ก็อยากจะหาสัตว์คู่กายที่น่ารักเช่นนี้สักสองสามตัวเหมือนกัน!” หญิงสาวยิ้ม

แม้นางจะผ่ายผอม แต่รอยยิ้มกลับไร้เดียงสาอย่างยิ่ง

เจ้าอัปลักษณ์ถูกหลิวซู่ซู่ชมจนหน้าแดงเรื่อ เกาหัวอย่างเก้อเขิน

หลิวซู่ซู่เห็นอันหลินเป็นผู้อาวุโสที่ค่อนข้างสบายๆ และพูดคุยได้ง่าย ไม่มีมาด ไม่นานบทสนทนาก็เริ่มขึ้น พูดคุยกันอย่างผ่อนคลายไปตลอดทาง

ไม่นานตำหนักหลังใหญ่ที่สร้างติดภูเขาปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า

“ในที่สุดก็ถึงสักที…”

อันหลินเงยหน้ามองตำหนักหลังนั้น แววตาเย็นเยียบขึ้นมา

ดวงตาของเขาเริ่มกลายเป็นสีขาวโพลน มองตรงไปข้างหน้า

หึ ค่ายกลตรวจสอบพลังยุทธ์ ค่ายกลสร้างมายางั้นเหรอ รัดกุมทีเดียว…

อันหลินดีดแรงใส่บริเวณหนึ่งกลางอากาศอย่างไม่สะทกสะท้าน จากนั้นก็เอามือไพล่หลัง

ครู่เดียวทุกคนก็มาถึงหน้าประตู

อันหลินแจ้งเจตจำนงแก่องครักษ์ องครักษ์หยิบกระจกสีน้ำเงินออกมาส่อง จากนั้นมองพวกอันหลินแวบหนึ่ง น้ำเสียงกลายเป็นพินอบพิเทา

“ขอเชิญสหายทุกท่านด้านใน ข้าจะพาพวกท่านไปพบท่านประมุข!”

มาถึงก็ได้พบประมุขเลยหรือ หลิวหู่กับหลิวซู่ซู่ต่างก็เกิดความรู้สึกแปลกใจกับความเมตตาที่ได้รับ

แต่เมื่อพวกเขามองอันหลินก็รู้แจ้งกระจ่างใจ

นี่ต้องเป็นเพราะเห็นแก่ผู้อาวุโสอันหลินแน่นอน ถึงได้มีโอกาสนี้

อันหลินพยักหน้านิ่งๆ เดินตามองครักษ์ไป

อารามอัมพรคึกคักมาก มีนักพรตมากมายกำลังชุลมุน และมีนักพรตไม่น้อยที่กำลังปูค่ายกล ตะโกนลั่นว่าจะสังหารเผ่าพันธุ์มด ทำเอาหลิวหู่กับหลิวซู่ซู่ฮึกเหิม

อันหลินเดินตรงไปข้างหน้า ใบหน้าเรียบเฉย ความหนาวเหน็บในใจกลับทวีความรุนแรงขึ้น

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

Status: Ongoing
ในโลกมนุษย์ อันหลินดูเหมือนจะถูกพระเจ้าทอดทิ้งเมื่อจู่ๆ พ่อของเขาก็หายตัวไปพร้อมทิ้งหนี้ก้อนโตไว้ให้ ทำให้ชีวิตเขาตกอยู่ในอันตรายหลังจากถูกเจ้าหนี้บีบจนต้องขึ้นไปถึงดาดฟ้าตึก อันหลินกลับถูกลมประหลาดพัดออกจากดาดฟ้าและดิ่งลงพื้นแต่เขากลับไม่ตาย แถมยังรอดพ้นจากเจ้าหนี้ จากนั้นจึงพบว่าผู้ที่ช่วยตนไว้คือท่านเซียนคนหนึ่งท่านเซียนยังได้มอบของขวัญที่ดูเหมือนมาจากความเมตตาอันบริสุทธิ์ให้กับเขานั่นคือ ‘ระบบเทพสงคราม’ พร้อมกับจดหมายรับรองเพื่อมุ่งหน้าไปบำเพ็ญเพียรบนสวรรค์!?มาร่วมเดินทางในโลกอันเป็นตำนานใบใหม่ไปพร้อมกับอันหลินพบปะเพื่อนใหม่มากมาย ได้รับอาวุธและเครื่องไม้เครื่องมือในตำนานและเริ่มต้นเส้นทางการกลายเป็นผู้บำเพ็ญเซียนที่แข็งแกร่งที่สุด…ชีวิตใหม่ของอันหลินพร้อมกับระบบที่ ‘ยอดเยี่ยม’ ของเขาจะไม่มีช่วงเวลาให้เงียบเหงาอย่างแน่นอน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท